บทที่ 122 เค้าลางความจริง 1
“ประมุขอวิ้น อย่าได้กล่าวอย่างห่างเหินเช่นนั้นเลย ตัวข้าและเจาจื่อเป็นสหายกันมานานกว่าร้อยปีการได้ช่วยเหลือสหายนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณใดๆ
แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะกล่าวแก่ประมุขอวิ้น ระหว่างที่ข้าพึ่งมาถึงนิกายเคลื่อนเมฆาของท่านกลับได้ยินว่ามีจ้าวตำหนักโอสถของนิกายท่องนภามาเยือนที่แห่งนี้
และด้วยความสงสัยข้าจึงใช้เวลาตรวจสอบแต่กลับพบว่าพวกมันทั้งสองเป็นพวกต้มตุ้นหลอกลวง ข้าเกรงว่านิกายของท่านจะได้รับความเสียหายจึงได้แจ้งเรื่องนี้แก่เจาจื่อ” ซีหมิ่นกล่าวออกด้วยเสียงราบเรียบ….
“ถูกต้องแล้วท่านประมุข ข้าได้สืบความจริงและพิสูจน์แล้วว่าพวกมันทั้งสองนั้นไม่ใช่คนของนิกายท่องนภาอย่างแน่นอน ครั้นจะลงโทษอย่างไรนั้นขอให้ประมุขเป็นคนตัดสินใจเถอะ”
หรงเจาจื่อกล่าวออกพร้อมปลายสายตาอันดุร้ายไปยังหนิงเทียนและมู่เสวี่ย
เมื่อหนิงเทียนได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของมันหรี่แคบเมื่อมองกลับไปยังซีหมิ่นและหรงเจาจื่อ ภายในใจของมันครุ่นคิดถึงเหตุผลมากมายว่าเหตุใดทั้งสองถึงมุ่งเป้ามาที่ตัวมัน
ทั้งๆที่พวกมันไม่ได้รู้จักหรือมีความแค้นอะไรกับตัวตนใหม่ที่หนิงเทียนพึ่งจะสร้างขึ้นมาเลย จะมีเพียงเหตุผลเดียวที่หนิงเทียนพอจะคิดออกคือ ชายชราที่ชื่อหรงเจาจื่อนั้นไม่ต้องการให้นิกายเคลื่อนเมฆาของมันหายจากพิษลมหายใจราชันย์
‘แต่มันจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อพิษนี้นอกจากตัวข้าแล้วก็ไม่มีใครรักษาได้อีก’ จากนั้นมันปรายสายตาไปยังมู่เสวี่ยก่อนจะฉุกคิดขึ้นมา พร้อมกับสลับสายตาไปยังซีหมิ่นที่กำลังนั่งอยู่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
‘หรือว่าจะเป็นแผนการของมัน หึถ้าเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าขโมยไก่ไม่ได้แถมยังต้องเสียข้าวสารอีก’
เมื่อหนิงเทียนประมวลความคิดและเห็นถึงความเป็นไปได้เพียงไม่กี่ทาง มันเลือกที่จะเชื่อและกล่าวหยั่งเชิงออกมา
“นี้เป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่ข้าก้าวขาออกมาจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์เลย ตัวตนของข้านั้นแม้แต่เจ้าสำนักโอสถฟ้ายังต้องก้มหัวขอความรู้กับข้า
สำหรับเจ้าเป็นตัวอันใดแม้แต่ศิษย์ของสำนักโอสถฟ้ายังไม่ใช่กลับกล้ามา กล่าววาจาต่อหน้าข้าด้วยท่าทีจองหองเช่นนี้” หนิงเทียนกล่าวออกขณะใช้สองมือๆไพร่ไปด้านหลัง
“น่าขัน!! เจ้าคนหลอกลวง ยังไม่ยอมหุบปากอีก”หรงหยางชี้นิ้วมายังหนิงเทียนพร้อมตะโกนออกเสียงดังด้วยโทสะ จากนั้นมันกล่าวต่อว่า
“เมื่อวานนี้เจ้ากล้าหลอกลวงท่านประมุขแค่เหตุผลนี้คอของเจ้าก็ไม่สมควรที่จะอยู่ติดกับร่างแล้ว แต่ด้วยเพราะความเมตตาของท่านประมุขจึงประวิงเวลาตายให้เจ้าไปก่อน แต่ถ้าเจ้ายังกล้ากล่าวคำใดสอดขึ้นมา
เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าจะสังหารพวกหลอกลวงเช่นเจ้าให้ตกตายเสียตรงนี้”
หรงหยางนั้นไม่สนถึงฐานะหรือเบื้องหลังอะไรทั้งสิ้น มันรู้เพียงแต่ว่าป้ายเทพท่องนภาถึงแม้จะเป็นของจริงก็ตามที แต่ป้ายนั้นหาได้มีขาเดินออกไปเองได้ ถ้าคนที่ถือมันไร้ซึ่งวิญญาณแล้วจะต้องกลัวอะไรกับสิ่งของพวกนี้
“นี้นับเป็นการกระทำที่แสนอุกอาจอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัตินับร้อยปีของสำนักเรา ท่านประมุขโปรดสั่งการลงไป สังหารมันเสียเพื่อไม่ให้มีใครคิดจะกระทำเช่นนี้อีก”หรงเจาเจื่อกล่าวเสริมขึ้นมาอีกแรงหนึ่ง
“แต่ว่า เรื่องนี้พวกยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้านี้เป็นเรื่องที่พวกเราเข้าใจผิดไปเองจะทำอย่างไรกัน การสังหารจ้าวตำหนักโอสถของนิกายท่องนภาจะนำหายนะมาให้แก่นิกายของพวกเรา” อวี้กุ้ยถามออกไปยังอีกฝั่ง
“ผู้อาวุโสที่สอง เรื่องนี้ท่านซีหมิ่นก็ได้ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วไม่ใช่หรือ?... หรือว่าท่านไม่เชื่อในตัวจ้าวโอสถปฐพีกันละ”บุรุษวัยฉกรรณ์ที่นั่งอยู่ฝั่งหรงเจาจื่อกล่าวออกด้วยเสียงทุ้มต่ำ มันยกตัวตนของซีหมิ่นขึ้นมากล่าวอ้างให้อวี้กุ้ยหุบปากลง
ดูเหมือนว่าเสียงที่จะกล่าวเป็นประโยชน์แก่หนิงเทียนจะมีแต่อวี้กุ้ยเพียงคนเดียวเท่านั้น
อวิ้นป๋าที่นั่งฟังทุกคำกล่าวอยู่บนเก้าอี้ มันพิจารณาถึงผลได้ผลเสียก่อนจะเปิดปากออกมา
“คำพูดของผู้อาวุโสสองใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่ในตอนนี้ที่พวกเราต้องทำคือการถอนพิษโดยเร็ว เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรให้ท่านซีหมิ่นทำการถอนพิษให้พวกเราก่อน แล้วเรื่องของคนผู้นี้เราจะจัดการเขาในทีหลัง”อวิ้นป๋ากล่าวออกพร้อมยกมือชี้ไปยังหนิงเทียน
“ประมุขอวิ้น เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แค่ท่านเชื่อถือคำพูดของข้าและจับกุมนักต้นตุ้นพวกนี้ไปก็เพียงพอแล้ว ส่วนในเรื่องการรักษาพิษจิตกระแสนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็น”
กล่าวจบซีหมิ่นสะบัดมือนำขวดโอสถสีขาวผ่องออกมา ภายในมันบรรจุไปด้วยโอสถสีเขียวหยกนับสิบๆเม็ด “นี้คือโอสถขจีละลายใจ เพียงแค่ทานมันลงไปพิษร้ายที่พวกท่านกังวลอยู่จะหายไปโดยทันที”
ได้ยินเช่นนั้นหรงเจาจื่อตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “วิเศษไปเลยท่านซีหมิ่น ไม่ว่าจะเป็นพิษร้ายแรงเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแล้วมันพวกมันกลายเป็นสิ่งไรค่าไปเลยจริงๆ”
แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของโอสถที่ซีหมิ่นนำออกมาจะถูกแต่งแต้มด้วยสีขจีสว่างใส แต่มันไม่สามารถปกปิดกลิ่นจางๆของดอกมายาให้พ้นจากจมูกของหนิงเทียนไปได้
บนพื้นที่ราบภาคกลางนั้นมีคำกล่าวอยู่ว่าผู้ศึกษาพิษหนึ่งชนิดนับเป็นคนใช้พิษ ศึกษาสิบชนิดเป็นหมอรักษาพิษ ศึกษาหนึ่งร้อยชนิดเป็นจ้าวแห่งพิษทั้งปวง ส่วนศึกษาพันชนิดนั้นหาได้ยากจนเกินกว่าจะใช้คำเปรียบเทียบใด
และสุดท้ายผู้ที่บรรลุศึกษาได้ครบหนึ่งหมื่นพิษนั้นจะต้องเป็นราชาเหนือราชันย์ของผู้ใช้พิษทั้งปวงแน่นอน และหนิงเทียนเองก็เป็นผู้ศึกษาตำราหมื่นพิษของบิดารองมาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เองเพียงแค่กลิ่นเท่านั้น หนิงเทียนสามารถบอกได้ทันทีว่าในมือของซีหมิ่นหาใช่ยาถอนพิษไม่ แท้จริงมันคือพิษดอกมายาบังคับใจ
"ไม่ผิดแน่" ด้วยเหตุนี้เองความสงสัยในใจของหนิงเทียนจึงถูกเป่าทิ้งไปทันที "ที่พวกมันพุ่งเป้ามาเล่นงานข้า คงเป็นเพราะหมออย่างข้าไปขัดขวางเส้นทางยึดอำนาจของพวกมันสินะ"
หนิงเทียนมองไปยังอวิ้นป๋าด้วยสายตาพินิจน์ ‘ดูเหมือนว่าขาเก้าอี้ของเจ้ากำลังสั้นลงเรื่อยๆแล้วสินะ’ จากนั้นหนิงเทียนหันไปกระซิบบอกแก่มู่เสวี่ย “รอดูต่อไป บางทีความลับที่พวกเราตามหาอาจจะพบมันในวันนี้ก็เป็นได้”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกหรือลางสังหรณ์หนิงเทียนรู้สึกเหมือนว่าในอีกไม่กี่ลมหายใจข้างหน้านิกายเคลื่อนเมฆากำลังจะเกิดสงครามภายในขึ้น......
“เอาสิ ในเมื่อพวกเจ้าต้องการฆ่ากันเอง ลองมาดูกันว่าใครกันที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์เช่นนี้”
เมื่อหนิงเทียนคิดได้เช่นนั้นแล้ว มันเพียงแต่นิ่งเงียบถึงแม้ว่าจะรู้ว่าโอสถในมือซีหมิ่นหาใช่ยาถอนพิษแต่มันก็มิได้คิดจะกล่าวคำใดออกมาเพื่อเตือนสติ อวิ้นป๋าเลยแม้แต่คำเดียว
“วิเศษที่สุด จ้าวโอสถปฐพี ซีหมิ่นเก่งกาจสมคำร่ำลือ วันนี้ข้าได้เห็นกับตาตัวเอง นับว่าเป็นบุญตาจริงๆ”หรงหยางที่นั่งอยู่ข้างๆรีบกล่าวเยิ่นยอ ออกมา พร้อมกับอาสาตัวเองทดลองยาเป็นคนแรก
เมื่อทุกสายตาเห็นโอสถสีเขียวขจีถูกโยนจากมือของหรงหยางเข้าไปสู่ร่างของมันแล้ว เพียงไม่นานหรงหยางปิดตาลง มันตั้งสมาธิโคจรลมปราณไปทั่วร่าง
ทันใดนั้นเองรอยช้ำสีดำที่เคยปรากฎอยู่ด้านหลังคอของมันค่อยๆจางหายไป ภายในใจของหรงหยางเต้นผิดจังหวะ
แม้มันจะเชื่อถือในคำพูดของซีหมิ่นมากเพียงใดก็ตาม แต่มันก็เป็นดั่งคำกล่าวโบราณที่ว่า ‘สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นก็มิเท่าหนึ่งมือคลำ’
เวลานี้ความวิเศษของโอสถที่ซีหมิ่นนำออกมาได้ประจักษ์ให้เห็นแก่ตัวมันและสายตาของผู้อาวุโสโดยรอบแล้ว
เมื่อได้เห็นปฎิกิริยาของหรงหยาง มู่เสวี่ยดึงแขนเสื้อของหนิงเทียนเบาๆพร้อมกล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล “อะ...อาจารย์พิษของท่านถูกแก้ได้จริงหรือ?”
หนิงเทียนไม่คิดแม้แต่จะกล่าวตอบมันเพียงจับจ้องไปที่ทุกการเคลื่อนไหวของอวิ้นป๋าไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ดวงตา หูหรือแม้แต่มุมปากอย่างจริงจังก่อนจะกล่าวตอบมู่เสวี่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“พวกเรามารอดูกันเถอะว่าหน้าไพ่ที่แต่ละคนหงายออกมา ใครกันแน่ที่ถือแต้มใหญ่ที่สุด”
ด้วยคำตอบของหนิงเทียนนั้นสร้างความสับสนและงุนงงให้แก่มู่เสวี่ยเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นนางทำได้เพียงแต่กลืนความสงสัยลงไปและจับจ้องไปยังสถานการณ์ตรงหน้าที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของตัวเอง
เวลาผ่านไปไม่นานเมื่อลมปราณที่หรงหยางใช้โคจรรอบกายกลับคืนสู่สภาวะปกติ ผู้อาวุโสทั้งหมดในห้องโถงต่างรุกขึ้นและพลัดกันตรวจสอบร่างของหรงหยางทีละคนสองคน
จนทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า พิษประหลาดที่เกิดขึ้นในนิกายเคลื่อนเมฆาถูกกำจัดทิ้งด้วยน้ำมือของแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดในสามเมืองใหญ่และยังเป็นจ้าวโอสถเพียงคนเดียวในดินแดนแห่งนี้ นามว่าซีหมิ่นแล้ว
จากนั้นผู้อาวุโสทุกคนรวมถึงตัวของหรงเจาจื่อได้รับโอสถสีเขียวคนละหนึ่งเม็ดพวกมันทุกคนไม่รอช้าที่จะกลืนโอสถเข้าร่างโดยเร็ว
แม้ว่าในตอนนี้พิษที่พวกมันได้รับจะยังไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้กับพวกมันมากมายนักแต่สำหรับการที่ต้องใช้พลังปราณเพื่อใช้ชะลออาการกำเริบของพิษนั้นแล้ว
ทำให้พวกมันสูญเสียเวลาที่จะก้าวหน้าต่อไปและการบ่มเพาะของพวกมันต้องหยุดชะงักลงเป็นผลให้ความแข็งแกร่งของพวกมันค่อยๆลดลงไปทีละวันตราบเท่าที่พิษนี้ยังคงอยู่ในร่างกาย
เวลาผ่านไปช่วงกาน้ำเดือดเมื่อเหล่าผู้อาวุโสของนิกายเคลื่อนเมฆาทั้งเจ็ดคนปรับสมดุลปราณในร่างจนเป็นปกติแล้ว ใบหน้าของมันยกยิ้มด้วยความสุข ขณะที่ทุกคนกำลังแสดงสีหน้าพอใจกับผลลัพธ์อยู่นั้น
ทันใดนั้นเองเสียงของหรงเจาจื่อได้ดังขึ้นมา “เมื่อท่านซีหมิ่นได้พิสูจน์แล้วว่าโอสถของเขาสามารถถอนพิษได้จริงเช่นนั้นโอสถที่แพทย์จอมปลอมผู้นี้กล่าวอ้างมานั้นก็ย่อมเป็นโอสถพิษฆ่าชีวิตอย่างแน่นอน”
จากนั้นมันมองไปยังหนิงเทียนและมู่เสวี่ยด้วยสายตาโหดเหี้ยมก่อนจะกล่าวสั่งออกแก่หรงหยางว่า “อย่าได้เสียเวลาอีก สังหารพวกมันทิ้งเสียตรงนี้”
ที่หรงเจาจื่อต้องทำเช่นนี้เพียงเพราะตัวมันนั้นหาได้แน่ใจในตัวตนของหนิงเทียน แม้มันจะกล่าวออกอย่างมั่นใจ แต่ลึกๆภายในของมันแล้ว มันเกรงว่าตัวตนของหนิงเทียนนั้นจะเกี่ยวพันกับนิกายท่องนภาอยู่เกิน8ส่วน
เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหายนะขึ้นในภายหลังก็คือ การตัดไฟแต่ต้นลม คนตายเท่านั้นที่ไม่มีปากพูด ถ้าหนิงเทียนและมู่เสวี่ยตายไปแล้วมันก็ไม่ต้องกังวลว่านิกายท่องนภาจะมุ้งเป้ามาเล่นงานพวกมันในภายหลังอีก
แม้คำสั่งการของหรงเจาจื่อจะไม่ได้ผิดอะไรนัก แต่การกระทำเช่นนี้มิใช่เป็นการข้ามหน้ากันไปหรืออย่างไร? มันไม่ต้องกล่าวถามถึงความเห็นของประมุขนิกายหรือ?
เมื่ออวี้กุ้ยคิดถึงตรงนี้มันรีบกล่าวออกว่า “ผู้อาวุโสที่หนึ่ง ช้าก่อน ในที่แห่งนี้ท่านประมุขก็อยู่ด้วยเหตุใดท่านถึงทำอะไรโดยพละการเช่น.....”
ยังไม่ทันได้กล่าวจบประโยคดี ร่างของอวี้กุ้ยสั่นออกพร้อมกับพ่นโลหิตสีแดงสดออกมากองโต พรวด!!! พร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากปากนั้น สองขาของอวี้กุ้ยทรุดลงในลักษณะชั่นเขาขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อพยุงตัวมิให้ทรุดลงไปแนบพื้น
หยุนเกาและอวิ้นป๋า เห็นดังนั้น มันรีบส่งเสียงร้องอย่างตกใจ แต่ไม่ทันจะได้เปล่งเสียงออกมาพวกมันต้องหุบปากและใช้ออกด้วยพลังปราณในแดนวีรชนขั้นเก้าเพื่อปกป้องพิษร้ายที่กำลังโลดแล่นไปทั่วร่าง
อวิ้นป๋าเซถอยหลังออกไปสองก้าวก่อนจะทรุดตัวลงกับเก้าอี้นั่งอันเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของมัน ในขณะที่หยุนเกายืนแข็งค้างไม่ไหวติ่งใดๆจะมีเพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่กลอกไปมาแสดงให้รู้ว่ามันยังไม่ได้ตกตายจากพิษร้าย
เมื่อหรงเจาจื่อเห็นอาการของทั้งสาม มุมปากของมันยกยิ้มออกมา มันลุกขึ้นและก้าวเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าอวี้กุ้ยก่อนจะกล่าวออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“เมื่อสักครู่ท่านกล่าวว่าอันใดหรือผู้อาวุโสที่สอง” มันหยุดรอสักพักก่อนจะกล่าวออกมา “เหตุใดท่านถึงไม่กล่าวอันใดออกมาอีกละ” หรงเจาจื่อจงใจกล่าวออกทั้งๆที่รู้ว่าอวี้กุ้ยในตอนนี้แม้จะเปิดปากออกยังเป็นเรื่องยากสำหรับมัน
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันน่าเกลียดของหรงหยางดังขึ้น“ฮ่าๆๆ อวี้กุ้ยหนออวี้กุ้ย ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าปีศาจแซ่อวี้จะต้องมาตกตายด้วยยาพิษเช่นนี้”
เวลานี้คำพูดของหรงหยางนั้นหาได้มีความเคารพเหมือนแต่ก่อนไม่ มันจงใจเรียกชื่อเต็มแทนที่จะกล่าวเรียกด้วยตำแหน่งเหมือนเช่นก่อน
และด้วยคำพูดเพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าหรงหยางเองนั้นหาได้ถูกพิษแม้แต่น้อยซ้ำมันก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมก่อกบฎครั้งนี้ด้วย
ขณะที่อวิ้นป๋านั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าซีดขาว มันพยามเปิดปากออกมาอย่างยากลำบาก “หรงเจาจื่อ ตั้งแต่ข้าดำรงตำแหน่งประมุขมาไม่เคยมีเรื่องผิดใจกับท่านหรือแม้แต่ใช้อำนาจในตำแหน่งกดขี่ผู้อาวุโสคนอื่นๆแม้แต่น้อย
เหตุใดกันพวกเจ้าถึงคิดก่อกบฎ”มันกล่าวออกขณะใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคลั่งแค้นกวาดมองไปยัง หรงเจาจื่อ หรงหยาง ชายชราและบุรุษวัยฉกรรจ์ อันเป็นสี่ผู้อาวุโสหลักของนิกาย
เมื่อได้ยินดังนี้ บุรุษวัยฉกรรจ์กล่าวออกด้วยน้ำเสียงดูถูก “อวิ้นป๋า โปรดยกโทษให้แก่ฉุนเปาด้วย แต่ตามความเห็นของฉุนเปาแล้วท่านไม่มีคุณสมบัติอันใดเทียบได้กับผู้อาวุโสที่หนึ่งเลยแม้แต่น้อย
อ่อไม่สิ ฉุนเปาต้องกล่าวว่า อวิ้นป๋าท่านไม่มีคุณสมบัติใดเทียบได้กับท่านประมุขคนใหม่เลยแม้แต่น้อย”
“บัดซบ!! ฉุนเปาด้วยสายเลือดของอดีตประมุขและสายเลือดของตระกูลอวิ้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราจงรักภักดีและยอมพลีชีพเพื่อท่าน” อวี้กุ้ยใช้ความพยายามอย่างมากในการกล่าวออกมา
หรงเจาจื่อได้ยินดังนั้นมันเพียงแต่ส่ายหน้าพร้อมกล่าวออกมา “อย่าได้โทษข้า ข้าเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าจะลงมือรวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่ถ้าจะโทษบุคคลที่ทำให้พวกเจ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก่อนเวลาอันควรละก็ คงจะเป็นมัน”
กล่าวจบหรงเจาจื่อยกนิ้วชี้ไปทางหนิงเทียนและกล่าวต่อไปว่า “แค่เจ้ามีความคิดที่จะลอบสังหารมู่ซวนเฟิงหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลมู่ในตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการทำลายแผนการของข้า
และข้าจะไม่ยอมให้ความพยายามนับสิบๆปีของข้าต้องสูญเปล่าไปเพราะเจ้าอย่างแน่นอน”
เมื่อคำกล่าวของหรงเจาจื่อได้ยินชัดเต็มสองหูของมู่เสวี่ย ดวงตาของนางเบิกกว้าง “ท่านลุง!!! คนพวกนี้รู้จักท่านลุงได้อย่างไรกัน??!!!!” ****** ประกาศสำคัญ หนิงๆจะหยุดพักปีใหม่เพื่อตุนผลงานและเก็บข้อมูลเพิ่มเติม อีกทั้งกระผมจะกลับบ้านนอกในช่วงปีใหม่ด้วย ฉะนั้นพวกเราจะกลับมาพบกันอีกทีในวันที่ 2ม.ค. นะครับ รับรองว่าภายใน ม.ค ไม่เกินวันที่ 20 จบกลุ่ม 2อย่างแน่นอนและภายในปีหน้านิยายเรื่องนี้จะจบลงอย่างแน่นอนจ้าาา ทั้งนี้ กระผมขอให้ทุกท่านท่ีเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของผม พบเจอแต่ความสุขใจและสบายกาย ในปี2018ที่กำลังจะถึงนี้ ขอให้ปีใหมนี้รวยๆกันทั่วหน้าและถ้าใครต้องเดินทาง ขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวังและปลอดภัยนะครับ ^^ ด้วยความเป็นห่วง