ตอนที่แล้วบทที่ 120 โผล่หางของเจ้าออกมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 122 เค้าลางความจริง 1

บทที่ 121 คนคำนวณมิสู้ลิิขิตฟ้า


กำลังโหลดไฟล์

เวลาต่อมา อวี้กุ้ยนำหนิงเทียนและมู่เสวี่ยเดินเข้าไปด้านในห้องโอสถ ระหว่างทางเดินนั้นอวี้กุ้ยบังคับกลไกเปิดประตูกลเล็กใหญ่สองถึงสามครั้งก่อนจะมาถึงหน้าประตูไม้ดำที่ถูกปิดอย่างมิดชิด

หนิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มออก ‘ข้าหวังว่าหลังประตูไม้ดำบานนี้จะมีสมุนไพรหรือวัตถุดิบที่สามารถยกระดับพลังปราณได้อยู่บ้าง’

แม้ว่าภายในแหวนมิติของหนิงเทียนจะมีวัตถุดิบและโอสถสวรรค์ชั้นยอดมากมายแต่พวกมันไม่ได้เป็นความต้องการของหนิงเทียนในเวลานี้เลย

โอสถสวรรค์ที่มันมีอยู่รุนแรงเกินไปที่จะใช้มันเพื่อพัฒนาเหล่าทหารของตระกูลซือหม่านับหมื่นนับแสนชีวิต

อวี้กุ้ยนั้นหาได้มีความรุ้สึกสงสัยในตัวของราชันย์พิษที่ยืนอยู่ด้านข้างของมันเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแต่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันภาคภูมิว่า

“หลังประตูบานนี้คือคลังโอสถที่นิกายของเราเก็บสะสมมาตลอด300ปี มันมีทั้งวัตถุดิบระดับโลก ระดับปฐพีและยังมีแก่นแท้สัตว์อสูรขั้น2และ3อีกมากมาย

แม้มันจะไม่สามารถเทียบเท่าหอโอสถในนิกายของท่านหมอได้ก็ตาม แต่ข้ามั่นใจว่าภายในนี้มีวัตถุดิบหายากมากมายไม่น้อยหน้านิกายในระดับอีเทียนโหลว(บันไดสวรรค์ขั้น1)แน่นอน”

ขณะที่มันกล่าวออกนั้นใบหน้าของอวี้กุ้ยแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน

“ไม่เลวจริงๆ แค่เพียงกลิ่นของมัน ข้าสัมผัสได้ถึง ใบไม้ตายบนฟ้า ต้นหิมะธารา หนอนไส้อัคคี ที่เป็นวัตถุดิบในระดับปฐพีขั้นสูง ของทั้งสามชนิดนี้แม้แต่สำนักหรือนิกายในระดับอีเทียนโหลวยังยากที่จะมีมันในครอบครองได้”

อวี้กุ้ยได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ภายในใจของมันสั่นไหวอย่างรุนแรง เดิมความเชื่อมั่นที่มันมีก็เต็ม10ส่วนอยู่แล้ว แต่เวลานี้ความเชื่อมั่นว่านิกายของมันจะหายจากพิษประหลาดนี้เกินเลยไปกว่า10ส่วน

“ท่านสมกับเป็นราชันย์แห่งพิษจริงๆ แค่เพียงกลิ่นไอจางๆของมันก็สามารถบอกถึงรายชื่อของพวกมันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ท่านหมอไม่ต้องห่วงแม้มันจะเป็นวัตถุดิบในระดับปฐพีขั้นสูง

ถ้าท่านจำเป็นต้องใช้มันเป็นส่วนผสมของตัวยาแล้วละก็อย่าลังเลที่จะใช้มัน”

หนิงเทียนพยักหน้าอย่างไม่ใสใจ พร้อมกับยกมือพลักประตูไม้ดำออกไปด้วยท่าทีเป็นปกติ เมื่อประตูไม้ที่ปิดบังมโนภาพด้านในถูกพลักออก คลังโอสถขนาดใหญ่โตประจักษ์ให้เห็นแก่สายตา

หนิงเทียนเดินตรงไปยังชั้นวางสมุนไพรที่มีลิ้นชักไม้นับร้อยๆ ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าลิ้นชักไม้สีแดงขนาดใหญ่และกล่าวออกมา

“ข้าต้องการใช้ความร้อนสลายพิษลมหายใจราชันย์ เช่นนั้นแล้วเพื่อประโยชน์และผลที่ดีที่สุด ข้าจะเลือกใช้แกนอสูรขั้น3และใบ้ไม้รากตะวัน ที่มีฤทธิ์เป็นหยาง

เพื่อเร่งให้ตัวยาออกฤทธิ์ข้าจำเป็นต้องใช้หนอนไส้อัคคีเป็นตัวกลางในการหลอมละลายแกนอสูรและใบรากตะวัน”กล่าวจบหนิงเทียนหันไปทางอวี้กุ้ย ก่อนสั่งออก

“เจ้าไปสั่งให้คนนำเตาโอสถมา และไม่จำเป็นต้องคอยชี้ทางบอกว่าสมุนไพรชนิดใดอยู่ในลิ้นชักใดเพราะทุกสิ่งข้ารับรู้มันด้วยกลิ่นแล้ว อย่าได้ช้ารีบไปนำมันมาโดยเร็ว”

สิ้นคำสั่งของหนิงเทียนอวี้กุ้ยรีบก้าวเดินออกไปภายนอกทันที เพียงไม่นานอวี้กุ้ยเดินกลับมาพร้อมกับศิษย์ของนิกายราวๆ5-6คนที่แบกเตาโอสถขนาดยักษ์เข้ามา เมื่อเตาโอสถถูกวางอยู่เบื้องหน้าของหนิงเทียน

มันโบกมือพร้อมกล่าวออก “ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า อย่าได้เข้ามารบกวนเด็ดขาด”

เมื่อคนของอวี้กุ้ยเดินออกไป หนิงเทียนก้าวเดินราวกับว่าวัตถุดิบที่อยู่ภายในนี้ทั้งหมดเป็นของมัน หนิงเทียนก้าวเดินผ่านชั้นวางแต่ละชั้น

สำหรับบางชั้นมันหยุดเดินและดึงลิ้นชักออกมาอย่างรวดเร็ว “นี้คือน้ำทิพย์จันทรา ดื่มมันเสีย พรุ่งนี้เมื่อเจ้าตื่นมา ระดับพลังของเจ้าสมควรก้าวขึ้นมาอยู่ในแดนองครักษ์ขั้นที่สอง”

“นี้คือ ต้นรากเจ็ดสี เก็บไว้ มันจะมีประโยชน์ในภายหน้า” กล่าวจบหนิงเทียนดึงลิ้นชักออกมาและโยนส่งให้มู่เสวี่ยอย่างไม่ใสใจ

“และนี้ใบอาทรวิญญาณเก็บไว้ ในยามที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ” หนิงเทียนยังคงเลือกของอีกสี่ถึงห้าอย่างจากวัตถุดิบนับร้อยชนิดให้มู่เสวี่ย

“อาจารย์ท่านทำเช่นนี้ ถ้าพวกมันจับได้ละก็ไม่แย่หรือ” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น เอาละจงดื่มน้ำทิพย์จันทราลงไปและทำสมาธิซึมซับพลังของมัน ตัวข้าจะใช้เวลาในการปรุงโอสถสักเล็กน้อย”

ภายในค่ำคืนนั้นหนิงเทียนใช้เวลาทั้งคืนในการปรุงโอสถมากมายกว่าสิบชนิด โอสถทิพย์และโอสถพิษจำนวนร้อยๆเม็ดถูกเก็บลงแหวนมิติของหนิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง

ภายในห้องโอสถอันมืดมิดที่ไม่เห็นแม้แต่แสงของตะวัน แต่ด้วยสัมผัสประสาทหนิงเทียนสามารถคะเนได้ว่าเวลานี้นั้นสมควรที่จะเช้าแล้ว มันรีบเก็บโอสถที่ปรุงได้พร้อมทั้งโยนเศษซากของวัตถุดิบระดับต่ำ2-3ชนิดลงไปในเตาโอสถ

ใช้เวลาเพียงไม่นาน โอสถสีขาวผ่องลอยออกมาจากเตาโอสถ3เม็ด มันรีบเก็บเข้าขวดแก้วและยัดลงไปในคอเสื้อทันที

จากนั้นหนิงเทียนยกแขนเสื้อขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก มันรู้สึกว่าการปรุงยาที่ไร้ซึ่งการใช้ออกด้วยลมปราณแม้คุณภาพของมันจะไม่ได้ถึงระดับความสามารถที่แท้จริงของหนิงเทียนก็ตาม

แต่วิธีการนี้ช่วยไหลเวียนและเติมเต็มตะวันในร่างของมันได้มากกว่าการซึบซับพลังจากหินลมปราณเสียอีก

“อีกนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงที่หนิงเทียนกล่าวกับตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“อาจารย์อะไรหรือที่ว่าเหลือเพียงนิดเดียว” เมื่อได้ยินคำกล่าวมู่เสวี่ยเปิดตาขึ้นพร้อมกล่าวถามอย่างสงสัย

ขณะที่หนิงเทียนกำลังกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มนั้น คิ้วของมันถึงกับต้องขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงย้ำเท้าของคนนับสิบ เพียงไม่นานประตูไม้ดำถูกพลักออกอย่างรุนแรง

ปรากฎเป็นร่างของชายชราหนวดเคราสีขาวยาวจนถึงเอว ดวงตาที่มันมองไปยังหนิงเทียนนั้นคมกริบราวกระบี่ มันตะโกนสั่งออกเสียงดัง

“จับกุมโจรชั่วที่กล้าหลอกลวงนิกายเคลื่อนเมฆาของพวกเราเดียวนี้”

ได้ยินคำสั่งเช่นนั้น หนิงเทียนปลายตามองไปยังบุรุษชุดคลุมดำที่ยืนอยู่ด้านข้างชายชราผู้นี้ มันเป็นใบหน้าที่หนิงเทียนรู้จักมาก่อน ใช่มันคือ เจ้าสำนักร้อยพิษอีกทั้งยังเป็นจ้าวโอสถปฐพีคนเดียวในดินแดนรอบนอก ซีหมิ่น

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าของบุคคลสองคนพุ่งร่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสหนึ่ง ท่านแน่ใจหรือว่า เขาไม่ใช่คนของนิกายท่องนภา”

"คำถามนี้สหายของข้าตอบมันได้ดีกว่าใคร"กล่าวจบชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่าอาวุโสหนึ่งมองไปยังซีหมิ่น

“หึ ผู้อาวุโสกุ้ย พิษลมหายใจราชันย์อะไรนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ ข้านั้นศึกษาตำราแพทย์มานับร้อยชนิด ถ้ามันมีอยู่จริง มีหรือที่ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อของมัน” ซีหมิ่นกล่าวออกพร้อมกับมองไปยังคนที่อวดอ้างว่าเป็นราชันย์พิษด้วยสีหน้าดูถูก

“คำกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อวันก่อนข้าและท่านประมุขได้เห็นกับตาตัวเองว่าโอสถที่ท่านหมอนำออกมาสามารถรักษาศิษย์ของเราได้จริง เรื่องข้าคงต้องขอให้ผู้อาวุโสหนึ่งอธิบายให้ชัดแจ้ง”

อวี้กุ้ยกล่าวถามออกอย่างสงสัย แม้มันจะได้ยินคำพูดที่ผู้อาวุโสหนึ่งและซีหมิ่นกล่าวออกมา แต่สำหรับมันที่ได้เห็นปาฎิหาริย์กับสองตาของตัวเองทำให้ภายในใจของอวี้กุ้ยยังคงเชื่อมั่นในตัวของหนิงเทียนอยู่หลายส่วน

เวลานี้มันจึงไม่อาจสามารถจะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้โดยทันที

“รักษา? หึ!! ในตอนที่ข้ารีบร้อนพาท่านซีหมิ่นกลับมาช่วยพวกเรา ก็ได้ยินถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จึงได้พาท่านซีหมิ่นไปตรวจสอบศิษย์สองคนที่ได้รับโอสถถอนพิษ

แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อข้าไปถึงพวกมันทั้งคู่กลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว”ชายชราเคราขาวกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันดุดัน

ซีหมิ่นพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริมขึ้นมา“ข้าได้ตรวจสภาพศพของคนเหล่านั้นแล้วพบว่า ภายในร่างของมันเต็มไปด้วยพิษดำของทวีปแดนใต้ พิษดำนี้มีชื่อว่า พิษจิตกระแส เมื่อพิษนี้เข้าสู่จุดตันเถียนแล้ว

มันจะแผดเผาตันเถียนและนำพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ทำให้ผู้ป่วยใกล้ตายสามารถลุกขึ้นวิ่งได้ หรือแม้กระทั่งคนแก่ชรากลับกลายเป็นคนหนุ่มในพริบตา แต่หลังจากที่ตันเถียนถูกกลืนกินด้วยพิษร้ายแล้ว มันจะต้องตกตายอย่างสุดแสนทรมาน”

ได้ยินคำกล่าวของซีหมิ่น ดวงตาของหนิงเทียนถึงกับหรี่แคบลง แน่นอนว่าโอสถที่มันได้จ่ายให้ชายทั้งสอง แม้จะไม่ใช่โอสถในระดับที่บริสุทธิ์มากมายนัก

แต่มันก็เป็นถึงโอสถที่ปรุงโดยเทพโอสถปฐพี และโอสถระดับนี้จะไปคร่าชีวิตของคนได้อย่างไรกัน

‘ขอโทษด้วยจริงๆพี่ชายทั้งสอง ด้วยแผนของข้าทำให้พวกท่านทั้งสองต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถใจ’ หนิงเทียนครุ่นคิดพร้อมระบายลมหายใจออกมา

มู่เสวี่ยยืนอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าถอดสี นางเพียงแต่ยกมือขึ้นมาจับกุมไปที่หลังแขนเสื้อของหนิงเทียนอย่างลืมตัว

หรงหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างของอวี้กุ้ยอย่างเงียบๆได้จังหวะมันจึงรีบกล่าวสั่งออก “ทหาร!!จับกุมสารเลวทั้งสองไปขังไว้เดียวนี้ ข้าจะทรมานพวกมันให้สาแก่ใจว่านิกายท่องนภาไม่ใช่นิกายที่ใครจะเข้ามาทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้”

ได้ยินคำสั่งของหรงหยาง อวี้กุ้ยรีบกล่าวขัดออกมา“ผู้อาวุโสสี่ แล้วท่านจะอธิบายเรื่องป้ายเทพท่องนภาว่าอย่างไร ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่พวกเราเชื่อมั่นอย่างสนิทใจนั้นเป็นเพราะป้ายเทพท่องนภาที่อยู่ในมือเด็กรับใช้ของท่านหมอ”

“เห๊อะ ป้ายเทพท่องนภานั้นนะหรือ?? ตัวข้าเองเกิดมาเกินร้อยปียังไม่เคยเห็นมันด้วยตาแล้วจะไปบอกได้อย่างไรว่ามันคือของจริง ผู้อาวุโสอวี้หรือว่าท่านเคยเห็นมันละ??

ท่านลองคิดดูว่าถ้าข้าหยิบป้ายประจำตัวออกมาแล้วกล่าวว่ามันเป็นป้ายประจำตระกูลเย่ ผู้ครองทวีปแดนเหนือ ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ละ?”

หรงหยางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดูถูก ดวงตาของมันจ้องมองไปยังหนิงเทียน ราวกับว่านิสัยที่มันแสดงออกเมื่อวานนี้เป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อสิ้นคำกล่าวกับอวี้กุ้ยแล้วหรงหยางตะโกนย้ำเป็นครั้งที่สอง “จับกุมพวกมัน” ในขณะที่ผู้ฝึกตนกำลังทำตามคำสั่งก้าวออกไปจับกุมหนิงเทียนและมู่เสวี่ยนั้น ชายชราคนหนึ่งพุ่งร่างเข้ามาอย่างเร่งร้อน

“ช้าก่อน!!! ทุกคนหยุดก่อน มีคำสั่งจากท่านประมุข ขอเชิญทุกท่านไปคุยกันในห้องรับรอง นี้ถือว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของนิกายเรา ห้ามมิให้ใครทำอะไรโดยพละการเด็ดขาด”

ชายชราผู้นั้นกล่าวจบมันปรายตาไปยังผู้อาวุโสหนึ่ง คำสั่งนี้แม้จะกล่าวออกโดยรวมแล้วแต่แท้จริงมันมีไว้เพื่อหยุดการกระทำของผู้อาวุโสหนึ่ง จากนั้นมันแปรเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวต่ออย่างยิ้มแย้มอีกว่า

“หรงเจาจื่อ ลำบากท่านแล้วที่เดินทางข้ามมิตินับพันลี้เพื่อติดตามหาท่านจ้าวโอสถซีหมิ่น อ่อไม่สิข้านั้นแก่จนลืมตัวไปแล้วว่าต้องกล่าวเรียกท่านเป็นผู้อาวุโสหนึ่งถึงจะถูกสินะ”

“ท่านลุงหยุนเกาอย่าได้กล่าวเช่นนั้นแม้ข้าจะมีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสหนึ่งแต่ไหนเลยจะกล้าอวดอ้างและใช้มันต่อหน้าอดีตผู้อาวุโสหนึ่งเช่นท่านได้ละ”แม้ศีรษะของหรงเจาจื่อจะก้มลงและน้ำเสียงของมันนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

มู่เสวี่ยมองไปยังตัวตนในระดับ8และ9ของดินแดนวีรชนทั้งห้าคนด้วยลมหายใจที่ติดขัด ตัวตนที่มีพลังในระดับนี้อาจจะหาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียวในเมืองใหญ่อย่างฉางผิง

หนิงเทียนเองปรายตามองผ่านคนพวกนี้ทีละคน ภายในใจมันร่ำร้องออก "ด้วยตันตนระดับนี้ของพวกมันแม้ว่าที่ด้านหลังข้าจะมีปีกงอกออกมา ก็ไม่สามารถอุ้มมู่เสวี่ยและบินฝ่าวงล้อมพวกมันทั้งห้าไปได้แน่

แม้ว่าข้าจะวางแผนทุกอย่างไวอย่างรัดกุม แต่เมื่อฟ้าลิขิตแล้วคนคำนวณหรือจะไปสู้ได้"

อวี้กุ้ยที่ได้ยินคำกล่าวของหยุนเกา มันจึงรีบกล่าวอ้างคำพูดของประมุขนิกายเพื่อสลายความตึงเครียดโดยเร็ว “ในเมื่อประมุขมีคำสั่ง เช่นนั้นพวกเราอย่ามัวแต่รีรออยู่เลย รีบไปกับเถอะ”

จากนั้นมันหันไปกล่าวกับหนิงเทียน “ท่านหมอ นี้อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด และเพื่อความบริสุทธิ์ใจข้าขอเชิญท่านไปด้วย คงไม่มีข้อขัดข้องใด?”

หนิงเทียนพยักหน้าอย่างช้าๆ มือขวาที่กำแน่น ค่อยๆคลายออกจากกันพร้อมกับก้าวเดินตามร่างของอวี้กุ้ยไป

เพียงไม่นานทั้ง7คนเข้าไปรวมตัวกันภายในห้องโถงหลังของประมุขนิกายเคลื่อนเมฆาโดยมี ชายชราและบุรุษวัยฉกรรณ์กำลังนั่งรออยู่

เมื่ออวิ้นป๋าเห็นทั้งเจ็ดคนมาถึงมันรีบกล่าวออก “เชิญพวกท่านทั้งเจ็ดนั่งลงก่อน” สิ้นคำกล่าว ผู้อาวุโสของนิกายเคลื่อนเมฆาแบ่งแยกที่นั่งกันเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน

โดยฝ่ายที่นั่งเก้าอี้ทางด้านขวานั้นมีเพียงอวี้กุ้ย และหยุนเกา ในส่วนเก้าอี้ด้านซ้ายนั้นเดิมถูกนั่งโดยชายชราและบุรุษวัยฉกรรณ์เพียงสองคนแต่เวลานี้มันเพิ่มจำนวนขึ้นด้วยเกาอี้ของหรงเจาจื่อ หรงหยางและซีหมิ่น

จากนั้นเป็นหรงเจาจื่อที่เปิดปากออกมา “ท่านประมุขนี้คือสหายของข้า ท่านซีหมิ่น เขาได้ยุบสำนักร้อยพิษลงและกำลังจะเข้าร่วมกับสำนักโอสถฟ้าสำนักที่อยู่ในระดับอีเทียนโหลว(บันไดสวรรค์ขั้นที่1)ของอาณาจักรฟ้าสวรรค์ในอีกหกเดือนข้างหน้า

ระหว่างระยะเวลาหกเดือนนี้ ท่านซีหมิ่นจะมาเป็นที่ปรึกษาและสอนสั่งวิธีแห่งการแพทย์ให้กับคนในนิกายเรา รวมถึงการถอนพิษที่นิกายของเรากำลังประสบปัญหาพบเจออีกด้วย”

อวิ้นป๋ายกยิ้มออกทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวรายงานของหรงเจาจื่อ “ขอบคุณท่านจ้าวโอสถที่ให้เกีรยตินิกายเคลื่อนเมฆา ข้าจะให้ผู้อาวุโสสี่คอยดูแลความสะดวกให้กับท่านตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่ในสำนักของเรา”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด