บทที่ 119 ข้าขอตัวก่อน
“ให้มันเข้ามา” ชายชราในชุดคลุมสีขาวกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนักใบหน้าของมันยังคงไร้ซึ่งความหวังเช่นเคย
สองวันมานี้แม้จะมีแพทย์พเนจรหรือหมอจากสำนักหลวงมากมายเข้ามา มันก็มิได้มีความตื่นเต้นหรือดีใจเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีชื่อเสียงถึงเพียงใด
เป็นเพราะตลอดสองวันผ่านมา แพทย์เลื่องชื่อนับสิบคนต่างส่ายหน้าแม้กระทั่งจะบอกชื่อพิษให้พวกมันได้ทราบยังไม่สามารถทำได้
สิ่งที่จะทำให้พวกมันแสดงออกถึงความดีใจได้คงจะมีเพียงการได้ยินว่า ผู้มาเยือนคือเจ้าสำนักร้อยพิษ ซีหมิ่นเท่านั้นที่พอจะทำให้ใบหน้าของพวกมันทั้งสามแปรเปลี่ยนได้
ชั่วเวลานั้นเอง หนึ่งในสองคนที่นำพาผู้มาเยือนเข้ามาหันไปกระซิบที่ข้างของหูหนิงเทียน
“ท่านหมอ ท่านผู้นั้นคือประมุขนิกายของพวกเรา ท่านอวิ้นป๋าส่วนด้านข้างที่สวมชุดคลุมสีขาวคือผู้อาวุโสสี่หรงหยาง ส่วนอีกคนที่มีอายุมากที่สุดคือผู้อาวุโสสองอวี้กุย
เห็นแก่ที่ข้าและท่านหมอพูดคุยกันถูกคอ ข้าจะขอเตื่อนไว้เลย ท่านอย่าได้พูดจาอะไรที่ผิดหูผู้อาวุโสอวี้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นชะตาของท่านอาจจะขาดก่อนที่จะได้แสดงความสามารถเป็นแน่”
หนิงเทียนได้ยินคำกล่าวเตือนมันเพียงพยักหน้าอย่างช้าๆขณะที่สายตาจับจ้องไปยังผู้อาวุโสสี่หรงหยางอย่างไม่มีสาเหตุ หรงหยางผู้นี้มีอะไรให้หนิงเทียนสนใจอยู่ไม่น้อย
หรืออาจจะเป็นเพราะมันมีแซ่หรง ดูเหมือนว่าตัวตนของหรงจื่อนั้นจะไม่ใช่เพียงศิษย์อันดับหนึ่งธรรมดาเท่านั้น จากนั้นหนิงเทียนก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปตามคำสั่ง
อวิ้นป๋ามองไปยังแพทย์คนใหม่ที่ศิษย์ของมันนำตัวมาด้วยสายตาและสีหน้าเย็นชา ลักษณะของหนิงเทียนในสายตาของมันนั้นไม่ได้มีเค้าลางของการเป็นแพทย์ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
มันมองหนิงเทียนที่กำลังก้าวเดินมาหาด้วยท่าทีไม่เร่งร้อนใดๆสองมือของหนิงเทียนก็ไม่มีกล่องยาติดตัวมาแม้แต่ใบเดียว แต่มีสิ่งหนึ่งที่อวิ้นป๋าสัมผัสได้คือแพทย์ผู้มาเยือนคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อมันที่เป็นถึงผู้นำนิกายเลยแม้แต่น้อย
แต่นั้นสำหรับทั้งสามแล้วหนิงเทียนไม่ใช่จุดสนใจหลักของพวกมัน พวกมันกลับมองไปยังมู่เสวี่ยด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว
แม้แต่อวี้กุยเองยังมีประกายสังหารจางๆแผ่ออกมาจากดวงตาเมื่อมันมองไปยังกระดาษสีขาวที่มู่เสวี่ยได้ถือไว้ จากนั้นมันหันไปมองทั้งสองคนก่อนจะกล่าวออกมา
“ดี ดีมากข้าสั่งให้พวกเจ้าไปนำตัวแพทย์มาเจ้ากลับพาพวกต้มตุ๋นหลอกลวงมา”
“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นเลยผู้อาวุโสรอง ศิษย์เพียงแค่หวังดี” หนึ่งในสองกล่าวตอบออกมาอย่างหวาดกลัว
“เห๊อะ”อวี้กุ้ยพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวสั่งให้ทั้งสองฉีกกระชากแผ่นกระดาษที่กล่าวอวดอ้างจนเกินความพอดีนั้นออกให้พ้นลูกตาเสีย
ทั้งสองรับคำอย่างเสียไม่ได้ มันทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสรองทันที“ท่านหมอข้าจำเป็น”สิ้นเสียงของมัน หนึ่งในสองคนยื่นมือออกมาหมายจะฉีกกระดาษที่มู่เสวี่ยถือให้ขาด”
“หยุด!!!” หนิงเทียนตวาดเสียงดังไปทั่วห้องโอสถ จากนั้นมันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชาบรรยากาศรอบๆตัวของหนิงเทียนเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง “ถ้าเจ้าไม่คิดจะมีชีวิตอยู่อีกแล้วก็เชิญฉีกมันได้เลย”
“หึ!!คำอวดอ้างที่เขียนอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องล้อเล่นหรอกหรือ?”หรงหยางกล่าวออกด้วยสีหน้าเย็นชา
“ล้อเล่นหรือไม่ อีกเพียง28วัน ท่านก็จะรู้ด้วยตัวเอง ด้วยระดับพลังในแดนวีรชนขั้นปลายของท่านคงจะยับยั้งมันได้ราวๆเท่านั้นและนะ”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมยกยิ้มขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว
เมื่อทั้งสามได้ยินคำๆนี้ทั้งอวิ้นป๋าและอวี้กุ้ยหันมามองหรงหยางโดยทันที พวกมันอยู่ในสำนักเดียวกันการจะได้รับพิษก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ด้วยพิษร้ายนี้พึ่งจะเกิดขึ้นได้เพียง3วันหลังจากที่กลุ่มของหรงจื่อกลับมาจากป่าวิญญาณอสูรเท่านั้น
ในกลุ่มของผู้อาวุโสที่มีพลังในดินแดนวีรชนขึ้นไปจึงยังไม่มีใครได้รับพิษนี้เลยนอกจากสองผู้อาวุโสที่ได้เข้าร่วมภารกิจกับหรงจื่อเท่านั้น แต่ด้วยคำกล่าวที่พวกมันได้ยินนั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ผู้อาวุโสสี่ได้รับพิษประหลาดนั้นเข้าไปแล้ว
“เจ้าว่าอย่างไร เจ้าบอกว่าข้าได้รับพิษประหลาดนั้นด้วยอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้ายังคงแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติใดๆแสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย!!” หรงหยางรีบกล่าวออกด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเชื่อถือนัก
ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองสังเกตบริเวณหลังคอ ท้องน้อย และหลังเข่าดูด้วยตัวเอง ทั้งสามจุดของท่านเวลานี้คงจะมีรอยช้ำจางๆเกิดขึ้นแล้ว นั้นเป็นสัญญาณว่าตัวท่านกำลังถูกพิษ
อวี้กุ้ยได้ยินดังนั้นมันเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของหรงหยางด้วยความสงสัยก่อนจะมองไปยังหลังคอของสหายมัน ปรากฏเป็นรอยช้ำสีดำจางๆหนึ่งจุด มันกล่าวออกด้วยสีหน้าตกใจ “มี...มีจริงๆ”
การจะมีรอยช้ำสำหรับผู้ฝึกตนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเพราะมันต้องผ่านการต่อสู้และฝึกฝนร่างกาย แต่สำหรับหรงหยางมันนั้นรู้ตัวเองดีว่า ตลอดสามวันมามันไม่ได้พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดรอยช้ำเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นหรงหยางเปิดเสื้อคลุมของมันออกเผยให้เป็นจุดสีดำบริเวณท้องน้อยตามที่หนิงเทียนได้บอกไว้ไม่มีผิด
มันถอนหายใจออกยาวและพึมพำกับตัวเองว่า“คงจะเป็นตอนนั้นสินะ” จากนั้นมันกล่าวออกให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง
“เพราะข้าเป็นห่วงหลานอย่างมาก ในยามที่ได้รู้ว่าหรงจื่อป่วยเป็นโรคประหลาด ข้าอดไม่ได้ที่จะส่งปราณของตัวเองช่วยรักษาอาการของมัน
แม้ข้าจะโคจรลมปราณปกคลุมร่างกายไว้แล้ว แต่ไม่นึกเลยพิษร้ายนั้นจะยังสามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างข้าได้”
อวิ้นป๋าไม่ได้ตกใจอะไรกับการที่ผู้อาวุโสสี่ได้รับพิษ มันเข้าใจดีว่าสักวันหนึ่งไม่ว่าอย่างไรถ้าพิษร้ายนี้ไม่หายไปจากนิกายของมัน ไม่ช้าก็เร็วพิษพวกนั้นคงจะเข้าสู่ร่างของมันได้อย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นตัวมันเองก็คาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสที่มีระดับพลังปราณในแดนวีรชนขั้นปลายจะติดพิษประหลาดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นมันเปลี่ยนท่าทีและปลายตามองไปยังหนิงเทียนก่อนจะกล่าวออกมา
“ท่านหมอสามารถมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ถึงอาการ เช่นนั้นท่านคงจะรู้ถึงชื่อของมันและวิธีรักษาใช่หรือไม่”
ถ้าเป็นคนอื่นการถูกไถ่ถามด้วยคำกล่าวและท่าที ที่แสดงถึงการให้เกียรติของประมุขนิกายเคลื่อนเมฆาแล้วละก็พวกมันจะต้องภูมิใจและรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็วเป็นแน่ แต่สำหรับหนิงเทียนนั้นมันเพียงแต่ยิ้มออกและยกสองมือชี้ไปยังกระดาษสีขาว
“ราชันย์แห่งพิษนั้นคือสมญานามที่โลกตั้งให้กับข้า แม้แต่พิษในระดับปฐพีข้ายังนำมันมาใช้แทนหมึกในการเขียนตัวอักษรได้แล้วนับประสาอะไรกับพิษทีพวกท่านกำลังกังวลกันอยู่ พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับธุรีที่อยู่ใต้เท้าเท่านั้น”
หนิงเทียนกล่าวออกด้วยคำพูดที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แม้แต่ชายทั้งสองที่นำตัวมันมาได้ยิน ยังแทบจะคุกเข่าลงและก้มหัวสรรเสริญให้กับคำกล่าวเหล่านั้น
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ไม่เว้นแม้กระทั่งประมุขของนิกายเคลื่อนเมฆา ร่างของอวิ้นป๋าสั่นสะท้านเล็กน้อย
มันเพ่งพินิจไปยังตัวอักษรสีเขียวก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้ามันของแข็งค้างก่อนจะกล่าวออกมา “หรือว่านั้นจะเป็นพิษเจ็ดทวาร พิษในระดับปฐพีที่สำนักร้อยพิษเคยใช้มันเข่นฆ่าผู้ฝึกตนในแดนวีรชน”
ผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นใบหน้าของมันผิดแปลกไปจากเดิมเป็นอย่างมาก “ไม่ใช่มีแต่คนบ้าหรอกหรือที่นำโอสถพิษในระดับปฐพีมาใช้แทนหมึกเขียนตัวอักษร”
ในดินแดนรอบนอกสามเมืองใหญ่แห่งนี้พิษในระดับปฐพีเป็นสิ่งที่สามารถคร่าชีวิตได้แม้แต่ผู้ฝึกตนในดินแดนวีรชนและคนที่สามารถสร้างมันได้มีผู้ปรุงโอสถในระดับจ้าวโอสถเท่านั้น
เป็นอย่างที่รู้ๆกันว่าภายในสามเมืองใหญ่และดินแดนรอบนอกนั้นมีจ้าวโอสถเพียงคนเดียวคือซีหมิ่น ถ้าจะมีจ้าวโอสถคนใดปรากฏในดินแดนรอบนอกเป็นคนที่สองละก็
ถ้าไม่ใช่คนของทวีปอื่น มันผู้นั้นจะต้องเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรฟ้าสวรรค์อย่างแน่นอน
ชายสองคนที่นำพาหนิงเทียนมา มันหวนคิดย้อนไปเมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อนด้วยสีหน้าหวาดผวาขนในกายของมันลุกชันขึ้นมาอย่างไม่สามารถบังคับได้
ถ้ามันใช้สองมือฉีกกระดาษที่ถูกแต่งแต้มด้วยพิษเจ็ดทวารละก็ เวลานี้พวกมันทั้งคู่คงจะกลายเป็นแอ่งน้ำพิษไปแล้วคิดได้เช่นนั้นมันจึงมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาขอบคุณ
“ท่านหมอ เมื่อท่านรู้วิธีรักษามัน เช่นนั้นโปรดช่วยนิกายของพวกเราด้วย ถ้าท่านทำมันสำเร็จแน่นอนว่าพวกเราจะตอบแทนท่านด้วยของมีค่ามหาศาล
ไม่สิ...แม้แต่ตำแหน่งที่ปรึกษาของนิกายเคลื่อนเมฆาถ้าท่านต้องการมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” ในฐานะประมุขของนิกายแล้ว อวิ้นป๋าไม่ลังเลที่จะคว้าจับเชือกฟางเส้นนี้เอาไว้
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆก่อนจะปลายตามองรอบ“ข้านั้นเป็นเพียงแพทย์พเนจรเท่านั้น ข้าไม่ต้องการทั้งเงินทองและยศศักดิ์ แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งที่จะขอให้พวกท่านทำมันให้กับข้า”
“ได้แน่นอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใดที่ท่านหมอต้องการพวกเราจะทำมันให้จงได้ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่ท่านช่วยพวกเราขจัดพิษร้ายนี้ออกไป”อวิ้นป๋าตบปากรับคำอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหนิงเทียนค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหาหรงหยางมันแสร้งทำเป็นพิจารณารอยดำคล้ำที่หลังคออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“โชคดี โชคดีของพวกเจ้าแล้ว ที่นี้ไม่ใช่พิษร้ายแรงอันใด มันเป็นเพียงพิษในระดับปฐพีเท่านั้น ชื่อของมันคือพิษลมหายใจราชันย์ .
พิษนี้ถ้าผู้ใดเป็นมันแล้ว มันจะสามารถแผ่กระจายทางลมหายใจส่งต่อให้คนอื่นๆได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่สามารถใช้ลมปราณเข้าป้องกันได้
วิธีป้องกันไม่ให้ติดพิษคือการปิดจุดลมหายใจในยามที่ต้องสนทนากับผู้ที่ได้รับพิษเพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใดๆอีก ในส่วนของการรักษาผู้ที่ได้รับพิษนั้น....”กล่าวถึงตรงนี้หนิงเทียนหยุดคำพูดลง
“มีเหตุอันใดหรือท่านหมอ ท่านสามารถบอกแก่ข้าได้ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าหรงหยางจะออกไปนำมันมาให้ท่านด้วยตัวเอง” เป็นหรงหยางที่รีบกล่าวออกโดยเร็วเมื่อเห็นหนิงเทียนหยุดคำพูดลง
“พิษนี้แม้จะปรุงยารักษาได้ง่ายแต่ส่วนผสมของมันค่อนข้างซับซ้อน และอย่างที่พวกเจ้าเห็น ข้านั้นมาตัวเปล่าไม่มีแม้แต่วัตถุดิบสักชิ้นที่จะปรุงมันออกมาเป็นยาถอนพิษ”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เรื่องนั้นท่านหมอไม่ต้องเป็นห่วง ภายในห้องโอสถของนิกายเรา มีสมุนไพรนับร้อยชนิด แม้แต่สมุนไพรในระดับปฐพีก็ยังมีให้ท่านได้เลือกหา” อวิ้นป๋ารีบกล่าวออกมันกลัวว่าเรื่องวัตถุดิบจะเป็นข้ออ้างให้หนิงเทียนปฎิเสธที่จะช่วยเหลือนิกายของมัน
“ท่านประมุขแต่ว่าเราเชื่อใจหมอคนนี้ได้แค่ไหนกัน” อวี้กุ้ยกล่าวเตือนอย่างสงสัย มีเพียงแค่คำพูดและกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้นที่พวกมันได้ยินและได้เห็น
สองสิ่งนี้เพียงพอแล้วจริงๆหรือที่นิกายเคลื่อนเมฆาจะฝากชีวิตและความหวังไว้กับคนตรงหน้าพวกมัน
เมื่ออวิ้นป๋าได้ยินคำกล่าวเตือนของผู้อาวุโสรอง มันฉุกคิดขึ้นมาภายในใจก่อนจะมองลึกไปยังหนิงเทียนอีกครั้ง แต่ก่อนที่มันจะได้เปิดปากกล่าวอะไรขึ้นมา
เสียงหนิงเทียนได้เปล่งมาว่า“เอาเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้บังคับให้ใครมาเชื่อถือในตัวข้า ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ขอตัวลา”กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างช้าๆ
การกระทำของหนิงเทียนนั้นสร้างความมึนงงให้กับมู่เสวี่ยเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างไรตัวนางเองก็ทำได้เพียงแต่เดินตามหลังหนิงเทียนเท่านั้น ถ้าหนิงเทียนต้องการจะกลับนางจะอยู่ต่อได้อย่างไร
ขณะที่หนิงเทียนเดินไปยังทิศทางหน้าประตู มันหยุดตรงหน้าชายทั้งสองก่อนจะใช้สองมือตบไปที่บ่าของคนทั้งสองที่นำตัวมันมา จากนั้นมันกล่าวออกด้วยเสียงไม่ดังหรือเบาไป
“ข้าและเจ้านับว่ามีโชคชะตากันเล็กน้อย ข้าจะช่วยเจ้าเหลือเจ้าจากพิษลมหายใจราชันย์เพียงแค่สองคนก็แล้วกัน” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือปรากฏโอสถสีขาวผ่องล่องลอยอยู่กลางอากาศชั่วคู่ก่อนจะตกลงไปยังฝ่ามือของทั้งสอง
“กินมันลงไปเสีย ต่อให้ทุกคนในนิกายของเจ้าจะตกตายด้วยพิษลมหายใจราชันย์แต่มันจะไม่เกิดกับพวกเจ้าทั้งสองคนอย่างแน่นอน” น้ำเสียงที่หนิงเทียนกล่าวออกนั้นราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
การกระทำของหนิงเทียนและโอสถสีขาวผ่องทั้งสองเม็ดนั้น ล้วนอยู่ในสายตาประมุขนิกายและผู้อาวุโสทั้งสองอย่างชัดเจน อวี้กุ้ยรีบกล่าวออกแก่ศิษย์ทั้งสองคนโดยเร็ว “พวกเจ้าอย่าพึ่งกินโอสถนั้นไป นำมันมาให้ข้าตรวจสอบก่อน”
สิ้นเสียงของอวี้กุ้ย จู่ๆจิตสังหารอันน่าหวาดกลัวก่อตัวจนเกิดเป็นเมฆหมอกสีดำทมิฬ ปรากฏขึ้นในห้องโอสถอย่างไม่รู้ที่มามันเกิดขึ้นพร้อมกับคำกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“โอสถนั้นเป็นสมบัติของข้า เมื่อข้าต้องการจะมอบมันให้ใครมันผู้นั้นต้องเป็นคนใช้”
เมื่อเสียงของหนิงเทียนตกกระทบโสดประสาทของทั้งสาม ภายในใจมันรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
ในคร่าแรกทั้งสามมองไปยังหนิงเทียนด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่ง แต่เวลานี้ความรู้สึกเชื่อถือเริ่มจะค่อยๆรุกคืบความรู้สึกสงสัยไปแล้ว