บทที่ 118 เปิดประตูนิกาย
ได้ยินคำถามของมู่เสวี่ย แววตาของหนิงเทียนเจือความเศร้าเล็กน้อย มันหวนคิดถึงอดีตเรื่องราวการทำศึกที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งกองทัพของมันต้องสูญเสียไปกว่าครึ่งโดยที่ยังไม่ได้ออกรบเพราะโรคระบาด
ถ้าในครั้งนั้นมันมีความรู้ทางการแพทย์เหมือนเช่นตอนนี้ ความรู้สึกที่ต้องมองดูทหารของตนตกตายไปทีละคนคงจะไม่เกิดขึ้น
ขณะที่หนิงเทียนกำลังจมลึกอยู่กับความทรงจำในอดีต เสียงของมู่เสวี่ยกล่าวเรียกดึงมันกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง “อาจารย์...อาจารย์ท่านเป็นอะไรไป?”
หนิงเทียนส่ายหน้าพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”
“ว่าแต่อาจารย์ ถ้าพิษที่ท่านสั่งให้แม่นางหมิงหยูใส่ลงไปในคราวที่ท่านบุกไปทำลายค่ายของขุนพลอัคคี มีคนอื่นสามารถถอนได้ พวกเราจะไม่เหนื่อยกันฟรีๆอย่างนั้นหรือ?”
มู่เสวี่ยยังคงกล่าวถามออกด้วยสีหน้ากังวลใจ หลังจากที่นางได้ฟังคำบอกเล่าของแผนการครั้งนี้แล้ว มู่เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะมีคำถามและความสงสัยมากมาย
เพราะแผนการของหนิงเทียนนั้นถูกวางไว้ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่จะปะทะกับกองทัพอัคคีเสียอีก ถึงแม้ว่าตัวนางจะมีความเคารพและนับถือหนิงเทียนเป็นมากแค่ไหน แต่ในหัวของนางกลับเกิดคำถามว่า
“มันจะเป็นไปได้จริงๆหรือที่ทุกคนจะเดินไปตามบทที่เขาได้วางเอาไว้”
หนิงเทียนคร้านที่จะตอบคำถามของมู่เสวี่ย มันจึงกล่าวออกด้วยเสียงแข็ง
“รีบๆทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป ถ้าปลาไม่กินเบ็ดที่ข้าโยนออกไป ก็เป็นเพราะเจ้านั้นและที่ไม่ตะโกนมันให้เสียงดังพอ” กล่าวจบหนิงเทียนใช้สองมือไพล่ไปที่ด้านหลังและค่อยๆเดินบนถนนสายการค้าอย่างเชื่องช้า
บุคลิกท่าทางกอปรกับคำประกาศที่ดูหยิ่งยโสมันชวนให้บรรยากาศรอบๆตัวทั้งสองลึกลับและวิกลจริตเป็นอย่างยิ่ง
“ราชันย์แห่งพิษ ไอ้หมอนี่ช่างกล้าคุยโวใหญ่โตเสียจริงๆ ถ้าคนแบบนั้นมีอยู่จริงเขาคงไม่มาเดินตะโกนร้องปาวๆอยู่ในที่แห่งนี้หรอก”
“เจ้าจะสนใจพวกสิบแปดมงกุฎพวกนี้ไปทำไมกัน แน่นอนว่ามีแต่พวกสติไม่ดีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง”
จากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตรงมายังหนิงเทียน มันกระซิบข้างๆหูด้วยสีหน้าและท่าทางจริงใจ
“น้องชาย ข้าเองก็มีอาชีพคล้ายๆกับเจ้า ข้าจะขอแนะนำสักเล็กน้อย เจ้าควรที่จะปรับปรุงแผนการใหม่อีกครั้ง สิบแปดมงกุฎอย่างพวกเราก็ควรจะมีขอบเขตในการหลอกลวง
ถ้าพวกเราใช้คำพูดที่เกินจริงมากไป ใครกันเล่าจะมาเชื่อถือพวกเราละ” ชายวัยกลางคนกล่าวจบประโยคและเดินจากไปในทันที
หนิงเทียนได้แต่ฟังพร้อมยิ้มรับ จากนั้นมันเดินวนเวียนไปมาตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน พร้อมกับมู่เสวี่ยที่ป่าวประกาศออกเสียงดัง ทว่ากลับไม่แม้แต่คนเดียวที่เขามาสนทนากับมันอย่างจริงจัง
ผู้คนส่วนใหญ่มองการกระทำของหนิงเทียนคล้ายกับกำลังมองคนบ้า
เวลาค่อยๆเดินผ่านไป จนเวลานี้แสงของอาทิตย์ใกล้ที่จะลาลับไปแล้ว มู่เสวี่ยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย “อาจารย์เห็นทีว่าวันนี้พวกเราจะคว้าน้ำเหลว”
“ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเช่นนั้นวันนี้พวกเรากลับกันเถอะ” หนิงเทียนมองดูตะวันที่กำลังจะตกลงสู่พื้นดินและเดินกลับไปอย่างช้าๆ
ระหว่างทางเดินกลับนั้นมู่เสวี่ยรวบรวมความกล้าและเอ่ยถามออกมา “อาจารย์ถ้าในวันพรุ่งนี้ พวกมันยังไม่มาติดกับที่ท่านวางไว้ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“สำหรับคนที่สิ้นหวังใกล้จะตายนั้น แม้เจ้าชี้นิ้วไปที่พื้นและบอกมันว่าดินใต้เท้าคือโอสถทิพย์ มันก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าดินนั้นเข้าใส่ปากอย่างแน่นอน
วันนี้ข้าเพียงแค่ต้องการให้ชื่อเสียงของราชันย์พิษดังกระจายออกไปเท่านั้นและด้วยนิสัยของมนุษย์แล้วชื่อเสียงที่ไม่ดีอันสร้างความอับอายให้แก่ตัวของคนมักจะกระจายไปได้ไวกว่าชื่อเสียงและความสามารถในด้านดี
เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป พรุ่งนี้เช้าคนของนิกายเคลื่อนเมฆาจะต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน”จวบกับที่ทั้งสองเดินมาถึงโรงเตี๊ยมพอดี
เมื่อสิ้นคำกล่าวหนิงเทียนเดินแยกกลับเข้าห้องของมันทันที เวลานี้การซึมซับหินลมปราณเพื่อเติมตะวันดวงที่แปดนั้นสำคัญไม่แพ้กับเรื่องราวของตระกูลมู่
เมื่อเข้าถึงห้องแล้วหนิงเทียนนั่งลงบนเตียงไม้ มันรีบทำการซึมซับพลังจากหินลมปราณทันที จากนั้นหนิงเทียนลองโคจรพลังปราณไปทั่วร่าง
แม้มันจะยังไม่สามารถส่งออกมาภายนอกเส้นลมปราณได้แต่การที่มันสามารถไหลเวียนไปทั่วร่างได้นั้นนับว่าเป็นสัญญาณตอบรับที่ดี
มุมปากของหนิงเทียนยิ้มออกด้วยความสุข ภายในใจมันลิงโลดด้วยความยินดี ‘9ใน10ส่วนแล้ว อีกเพียงแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น พลังปราณของข้าก็จะกลับคืนมา’
ถ้าเวลานี้จักรพรรดิบรรพกาล หวงตี้ยังมีชีวิตอยู่และได้เห็นหนิงเทียน ดวงตาของมันจะตกหล่นลงไปอยู่กับพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย
นับจากที่หนิงเทียนสูญเสียพลังไปมันใช้เวลาไม่ถึง60วันด้วยซ้ำในการเติมเต็มตะวันทั้งแปดดวงเพื่อก่อสร้างทะเลลมปราณขึ้นมาใหม่
นี้นับว่าเป็นผลจากความเข้าใจในม้วนภาพพยัคฆ์ทมิฬของมันที่มีเต็ม10ส่วน พลังปราณที่มันซึมซับเข้าร่างจึงมีความบริสุทธิ์มากกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว..
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงเทียนและมู่เสวี่ยออกจากโรงเตี๊ยมแต่เช้า ทั้งสองมุ่งไปยังถนนสายการค้าอีกครั้งหนึ่ง แต่ในคราวนี้หนิงเทียนไม่ได้เดินป่าวประกาศอีกต่อไป มันเพียงแต่นั่งนิ่งเฉยอยู่ในแผงไม้ที่วางเปล่าที่มีเพียงเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวเท่านั้น
เพียงไม่นานนัก ปรากฏร่างชายสองคน มันสวมใส่ชุดที่ดูหรูหราผิดไปกับคนธรรมดาทั่วไปและชุดที่สวมใสนั้นเป็นชุดที่ดูคล้ายตาเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้วมันคือชุดประจำของนิกายเคลื่อนเมฆา
เมื่อเห็นทั้งสองเดินตรงมา ใบหน้าของมู่เสวี่ยยิ้มออกด้วยความดีใจ
“พวกมันมาโน้นแล้ว เจ้าเก็บความรู้สึกไว้บ้างอย่าได้แสดงออกจนทำให้พวกมันเกิดความสงสัย”หนิงเทียนรีบกล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา
ทั้งสองเดินเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ ใบหน้าของมันซีดขาวไร้ราศีของการเป็นศิษย์นิกายใหญ่อย่างสิ้นเชิง
“เป็นพวกมันนั้นแหละที่ชาวบ้านแถวนี้เขาล่ำลือกัน เจ้าแน่ใจหรือว่า ต้องการนำคนที่ดูคล้ายจะเสียสติเช่นนี้กลับไปและไม่โดนลงโทษจากท่านประมุข” หนึ่งในสองคนกล่าวออกอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“แพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมายทั้งในเมืองจี้หลินและพื้นที่รอบๆเราก็ได้เชิญมาหมดแล้ว แม้กระทั่งส่งสาส์นไปเชิญเจ้าสำนักร้อยพิษ
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจจะรอน้ำไกลมาดับไฟใกล้ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหมา หรือแมว ถ้ามันบอกว่าสามารถรักษาโรคร้ายให้พวกเราได้ละก็ เราก็ควรจะนำตัวมันกลับไป
แต่ถ้าสุดท้ายมันไม่สามารถทำตามคำพูดของตนเองได้ละก็ เราก็จะนำมันกลับมาส่งแต่ร่างที่ไร้วิญญาณ”ชายอีกคนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เฮ้อ..ไม่น่าเลย โรคร้ายนี้มาพร้อมกับศิษย์พี่หรงจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมพวกเราถึงต้องซวยไปด้วย”ชายอีกคนกล่าวกับเพื่อนของมัน
“ถ้าเจ้ายังไม่อยากรีบตายเร็วนัก อย่าได้พูดเรื่องนี้ออกไปให้ใครได้ยินเด็ดขาด ไปเถอะพวกมันอยู่ตรงนั้นแล้ว”
เวลาเดียวกับที่มันสนทนากันเสร็จ ทั้งสองหยุดเดิน มันอยู่ห่างจากแผงไม้ของหนิงเทียนไม่ถึงห้าก้าว ชายคนหนึ่งมองไปยังตัวอักษรสีเขียวบนกระดาษและอ่านมันออกมาจนเกิดเสียง “พิษร้ายทั่วหล้า ล้วนสยบต่อหน้าข้า ราชันย์แห่งพิษ”
ยิ่งมันได้อ่านคำกล่าวขานนั้นด้วยตัวเองแล้ว ใบหน้าของมันยิ่งบูดเบี้ยวขึ้น มันกล่าวย้ำกับสหายของมันอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจนะ”
สหายของมันพยักหน้าตอบและก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงเทียนมันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านหมอ ท่านมีสมญานามอันเลื่องลือ ว่าราชันย์แห่งพิษใช่หรือไม่”
หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่แล้ว เป็นข้าเอง”
“ถ้าเช่นนั้นท่านหมอ ข้าขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ภายในนิกายของเราเกิดโรคแปลกๆขึ้นมา แม้มันจะไม่ร้ายแรงมากก็ตามแต่การรักษามันให้หายขาดคงจะเป็นเรื่องดีกว่าใช่หรือไม่
และข้าได้ยินว่าท่านประกาศออกไปว่าไม่มีโรคใดที่ท่านรักษาไม่หาย ถ้าเช่นนั้นโรคร้ายที่นิกายของเรากำลังเจอคงจะไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับท่านหมอ ขอให้ท่านเดินทางไปกับพวกเราด้วย”
หนิงเทียนยิ้มออกขณะที่มันใช้มือซ้ายจับไปที่คางด้วยลักษณะครุ่นคิด เมื่อทั้งสองเห็นท่าทีเช่นนั้น มันรีบกล่าวออกมา
“ท่านหมออย่าได้ห่วงไป พวกเราไม่ได้ให้ท่านรักษาฟรีๆแน่ ถ้าเกิดท่านรักษาพวกเราได้ ท่านประมุขของเราจะตอบแทนท่านด้วยของขวัญชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน พวกเรานิกายเคลื่อนเมฆาพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้นเสมอ”
“หืมม์ ท่านก็กล่าวเกินไป ข้าเป็นหมอจรรยาบรรณคือการรักษาคน ไม่ว่าสิ่งตอบแทนจะเป็นเหรียญทองเพียงเหรียญเดียวข้าก็จะรับมันด้วยใจ”
แม้จะกล่าวออกเช่นนั้นแต่ดวงตาของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความขบขัน ‘มันกล้ากล่าวออกมาว่าพิษลมหายใจราชันย์ของข้าเป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงอย่างนั้นหรือ?’
พิษลมหายใจราชันย์นั้นเป็นพิษที่หนิงเทียนได้ปรุงขึ้นและเลือกใช้มันกับนิกายเคลื่อนเมฆาเนื่องจากคุณสมบัติที่สามารถติดต่อกันทางลมหายใจคล้ายกับโรคระบาดในชีวิตก่อนของหนิงเทียนนั้นเอง
พิษลมหายใจราชันย์เป็นพิษในระดับในระดับปฐพีที่ถูกปรุงโดยเทพโอสถ ฉะนั้นผู้ที่ถอนพิษนี้ได้ คงจะมีแต่ระดับเทพโอสถปฐพีด้วยกันเท่านั้น แม้ว่านิกายเคลื่อนเมฆาจะตามจ้าวโอสถอย่างซีหมิ่นมามันก็ไม่มีปัญญาที่จะรักษาได้อย่างแน่นอน
มู่เสวี่ยมองแผ่นหลังของหนิงเทียนราวกับว่านางกำลังมองไปยังเทพเซียนผู้ลิขิตเส้นทางชีวิตให้แก่ผู้คน จะมีใครบ้างที่สามารถวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอน และทำให้คนๆหนึ่งไม่สิ ต้องกล่าวว่านิกายๆหนึ่งเสียมากกว่าเคลื่อนไหวไปตามที่ต้องการได้
หนิงเทียนลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสง่างาม มันมองไปยังทั้งสองด้วยสายตาและใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับว่ามันนั้นกำเนิดมาบนโลกเพื่อรักษาชีวิต จากนั้นมันกล่าวออกด้วยเสียงทุ้มต่ำอันเปี่ยมด้วยเมตตา
“รีบนำทางข้าไปเถอะ แค่ข้าคิดว่ามีผู้คนที่ต้องทนทุกทรมานกับโรคร้ายกำลังรอข้าอยู่ด้วยความเจ็บปวดแล้ว หัวใจของข้ามันคล้ายกับถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทง เชิญนำทาง”
เมื่อทั้งสองได้ฟังคำกล่าวของหนิงเทียนแล้ว ภายในใจของพวกมันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มันพายมือไปด้านหน้าแสดงออกถึงการเชื้อเชิญ จากนั้นมันเดินนำพวกของหนิงเทียนออกนอกเมืองไปยังที่หมายทันที
…………..
ผ่านไปไม่นานทั้งสี่ร่างเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูของนิกายเคลื่อนเมฆา
“ทั้งสองนี้คือหมอที่พวกเราตามมา โปรดเปิดประตู” หนึ่งในสองคนกล่าวออกกับทหารยามที่เฝ้าประตู จากนั้นไม่นานประตูอันใหญ่โตของนิกายเคลื่อนเมฆาค่อยถ่างออกเปิดให้เห็นถนนสายยาวที่ทอดไปสู่ภายใน
นิกายเคลื่อนเมฆานั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขาทับตะวัน พวกมันมีอำนาจปกครองบริเวณพื้นที่รอบนอกของเมืองจี้หลินทั้งหมด
ถ้าเมืองจี้หลินไม่ใช่เมืองท่าที่ถูกคุ้มครองโดยอาณาจักรฟ้าสวรรค์แล้วละก็พวกมันจะถูกกลืนกินโดยนิกายเคลื่อนเมฆาอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่กลุ่มของหนิงเทียนเดินอยู่บนถนนสายหลักที่นำเข้าสู่นิกายเคลื่อนเมฆา หนิงเทียนชะลอความเร็วลงจนทำให้มันตกมาเดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่ม
จากนั้นมันใช้ผงโอสถแทนสัญลักษณ์ในการนำทางโปรยไปตามมุมอับต่างๆเพื่อจดจำเส้นทางเดิน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดหรือแผนการเป็นไปตามที่มันคาดการณ์มากเท่าใดก็ไม่ได้ทำให้หนิงเทียนลืมที่จะสร้างเส้นทางหลบหนีไว้เป็นแผนสองได้เลย
หลังจากเดินทางมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แม้ระหว่างทางมันจะพบเจอทหารยามหลายคนคอยเดินตรวจแต่หนิงเทียนสามารถบอกได้เลยว่าภายในของคนพวกนั้นกำลังปั่นป่วนจากพิษร้าย
สิ่งเดียวที่ทำให้มันยังไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นเพียงเพราะว่าระดับพลังปราณของพวกมันเพียงพอที่จะสะกดข่มพิษไว้ได้ แต่เมื่อใดที่ลมปราณถูกใช้ออกจนหมดสิ้นพวกมันเหล่านั้นก็คงหนีไม่พ้นจุดจบแห่งความตาย
ไม่นานนักหนิงเทียนถูกนำตัวมายังห้องโอสถของนิกายเคลื่อนเมฆาที่ภายในนั้นมีชายชราสามคนกำลังนั่งสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านประมุข ภายในเวลา3มานี้ศิษย์ของเราติดพิษประหลาดไปมากกว่าครึ่งแล้ว”ชายชราในชุดคลุมสีขาวกล่าวรายงาน
“ศิษย์สายนอกที่มีระดับพลังในดินแดนองครักษ์ต่างล้มตายกันไปบางส่วนแล้ว จากที่ข้าสัมผัสได้พิษประหลาดนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้เพียงแค่การสนทนาเท่านั้น
ถึงแม้มันจะสามารถยับยั้งด้วยลมปราณ แต่เมื่อใดที่พลังปราณถูกใช้หมด ร่างของคนผู้นั้นจะค่อยๆแห้งและตายในที่สุด”ชายชราอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
“อาวุโสสี่ เวลานี้หรงจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำขลิบแดง ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาหมดจด มันสวมแหวนสีทองที่สลักด้วยรูปลักษณ์ของก้อนเมฆอันเป็นแหวนประจำตัวของผู้นำนิกาย
“ด้วยพลังของหรงจื่อแล้วช่วงเวลา5-10วันนี้ยังคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก แต่สำหรับกลุ่มคนที่ติดตามมันกลับจากป่าวิญญาณอสูรแล้ว นอกจากผู้อาวุโสอัคคีและเยือกเย็น ข้าเกรงว่าทั้งหมดจะมีชีวิตรอดอีกไม่เกิน7วัน”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำขลิบแดงถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวออกว่า“แม้เราจะตามแพทย์จากทุกซอกทุกมุมของเมืองจี้หลินมาก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงชื่อพิษของมันได้เลย
แม้ว่าพวกเราจะรอคอยการมาของเจ้าสำนักร้อยพิษได้ แต่ศิษย์คนอื่นๆในนิกายข้าเกรงว่าพวกเขาจะรอไม่ได้ ครั้งนี้มันคือหายนะของพวกเราจริงๆ”
ชั่วเวลาที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่ พวกมันรับรู้ถึงการมาถึงของคนสี่คน มันจึงปลายตามองไปที่หน้าประตูอย่างพร้อมเพียง
เมื่อสองคนที่นำกลุ่มของหนิงเทียนเห็นทั้งสามมันโค้งศีรษะลงต่ำและกล่าวออกว่า “ศิษย์ได้นำหมออีกคนมาแล้ว”…