ตอนที่แล้วบทที่ 117 ราชันย์แห่งพิษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 119 ข้าขอตัวก่อน

บทที่ 118 เปิดประตูนิกาย


กำลังโหลดไฟล์

ได้ยินคำถามของมู่เสวี่ย แววตาของหนิงเทียนเจือความเศร้าเล็กน้อย มันหวนคิดถึงอดีตเรื่องราวการทำศึกที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งกองทัพของมันต้องสูญเสียไปกว่าครึ่งโดยที่ยังไม่ได้ออกรบเพราะโรคระบาด

ถ้าในครั้งนั้นมันมีความรู้ทางการแพทย์เหมือนเช่นตอนนี้ ความรู้สึกที่ต้องมองดูทหารของตนตกตายไปทีละคนคงจะไม่เกิดขึ้น

ขณะที่หนิงเทียนกำลังจมลึกอยู่กับความทรงจำในอดีต เสียงของมู่เสวี่ยกล่าวเรียกดึงมันกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง “อาจารย์...อาจารย์ท่านเป็นอะไรไป?”

หนิงเทียนส่ายหน้าพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”

“ว่าแต่อาจารย์ ถ้าพิษที่ท่านสั่งให้แม่นางหมิงหยูใส่ลงไปในคราวที่ท่านบุกไปทำลายค่ายของขุนพลอัคคี มีคนอื่นสามารถถอนได้ พวกเราจะไม่เหนื่อยกันฟรีๆอย่างนั้นหรือ?”

มู่เสวี่ยยังคงกล่าวถามออกด้วยสีหน้ากังวลใจ หลังจากที่นางได้ฟังคำบอกเล่าของแผนการครั้งนี้แล้ว มู่เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะมีคำถามและความสงสัยมากมาย

เพราะแผนการของหนิงเทียนนั้นถูกวางไว้ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่จะปะทะกับกองทัพอัคคีเสียอีก ถึงแม้ว่าตัวนางจะมีความเคารพและนับถือหนิงเทียนเป็นมากแค่ไหน แต่ในหัวของนางกลับเกิดคำถามว่า

“มันจะเป็นไปได้จริงๆหรือที่ทุกคนจะเดินไปตามบทที่เขาได้วางเอาไว้”

หนิงเทียนคร้านที่จะตอบคำถามของมู่เสวี่ย มันจึงกล่าวออกด้วยเสียงแข็ง

“รีบๆทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป ถ้าปลาไม่กินเบ็ดที่ข้าโยนออกไป ก็เป็นเพราะเจ้านั้นและที่ไม่ตะโกนมันให้เสียงดังพอ” กล่าวจบหนิงเทียนใช้สองมือไพล่ไปที่ด้านหลังและค่อยๆเดินบนถนนสายการค้าอย่างเชื่องช้า

บุคลิกท่าทางกอปรกับคำประกาศที่ดูหยิ่งยโสมันชวนให้บรรยากาศรอบๆตัวทั้งสองลึกลับและวิกลจริตเป็นอย่างยิ่ง

“ราชันย์แห่งพิษ ไอ้หมอนี่ช่างกล้าคุยโวใหญ่โตเสียจริงๆ ถ้าคนแบบนั้นมีอยู่จริงเขาคงไม่มาเดินตะโกนร้องปาวๆอยู่ในที่แห่งนี้หรอก”

“เจ้าจะสนใจพวกสิบแปดมงกุฎพวกนี้ไปทำไมกัน แน่นอนว่ามีแต่พวกสติไม่ดีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง”

จากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตรงมายังหนิงเทียน มันกระซิบข้างๆหูด้วยสีหน้าและท่าทางจริงใจ

“น้องชาย ข้าเองก็มีอาชีพคล้ายๆกับเจ้า ข้าจะขอแนะนำสักเล็กน้อย เจ้าควรที่จะปรับปรุงแผนการใหม่อีกครั้ง สิบแปดมงกุฎอย่างพวกเราก็ควรจะมีขอบเขตในการหลอกลวง

ถ้าพวกเราใช้คำพูดที่เกินจริงมากไป ใครกันเล่าจะมาเชื่อถือพวกเราละ” ชายวัยกลางคนกล่าวจบประโยคและเดินจากไปในทันที

หนิงเทียนได้แต่ฟังพร้อมยิ้มรับ จากนั้นมันเดินวนเวียนไปมาตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน พร้อมกับมู่เสวี่ยที่ป่าวประกาศออกเสียงดัง ทว่ากลับไม่แม้แต่คนเดียวที่เขามาสนทนากับมันอย่างจริงจัง

ผู้คนส่วนใหญ่มองการกระทำของหนิงเทียนคล้ายกับกำลังมองคนบ้า

เวลาค่อยๆเดินผ่านไป จนเวลานี้แสงของอาทิตย์ใกล้ที่จะลาลับไปแล้ว มู่เสวี่ยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย “อาจารย์เห็นทีว่าวันนี้พวกเราจะคว้าน้ำเหลว”

“ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเช่นนั้นวันนี้พวกเรากลับกันเถอะ” หนิงเทียนมองดูตะวันที่กำลังจะตกลงสู่พื้นดินและเดินกลับไปอย่างช้าๆ

ระหว่างทางเดินกลับนั้นมู่เสวี่ยรวบรวมความกล้าและเอ่ยถามออกมา “อาจารย์ถ้าในวันพรุ่งนี้ พวกมันยังไม่มาติดกับที่ท่านวางไว้ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

“สำหรับคนที่สิ้นหวังใกล้จะตายนั้น แม้เจ้าชี้นิ้วไปที่พื้นและบอกมันว่าดินใต้เท้าคือโอสถทิพย์ มันก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าดินนั้นเข้าใส่ปากอย่างแน่นอน

วันนี้ข้าเพียงแค่ต้องการให้ชื่อเสียงของราชันย์พิษดังกระจายออกไปเท่านั้นและด้วยนิสัยของมนุษย์แล้วชื่อเสียงที่ไม่ดีอันสร้างความอับอายให้แก่ตัวของคนมักจะกระจายไปได้ไวกว่าชื่อเสียงและความสามารถในด้านดี

เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป พรุ่งนี้เช้าคนของนิกายเคลื่อนเมฆาจะต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน”จวบกับที่ทั้งสองเดินมาถึงโรงเตี๊ยมพอดี

เมื่อสิ้นคำกล่าวหนิงเทียนเดินแยกกลับเข้าห้องของมันทันที เวลานี้การซึมซับหินลมปราณเพื่อเติมตะวันดวงที่แปดนั้นสำคัญไม่แพ้กับเรื่องราวของตระกูลมู่

เมื่อเข้าถึงห้องแล้วหนิงเทียนนั่งลงบนเตียงไม้ มันรีบทำการซึมซับพลังจากหินลมปราณทันที จากนั้นหนิงเทียนลองโคจรพลังปราณไปทั่วร่าง

แม้มันจะยังไม่สามารถส่งออกมาภายนอกเส้นลมปราณได้แต่การที่มันสามารถไหลเวียนไปทั่วร่างได้นั้นนับว่าเป็นสัญญาณตอบรับที่ดี

มุมปากของหนิงเทียนยิ้มออกด้วยความสุข ภายในใจมันลิงโลดด้วยความยินดี ‘9ใน10ส่วนแล้ว อีกเพียงแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น พลังปราณของข้าก็จะกลับคืนมา’

ถ้าเวลานี้จักรพรรดิบรรพกาล หวงตี้ยังมีชีวิตอยู่และได้เห็นหนิงเทียน ดวงตาของมันจะตกหล่นลงไปอยู่กับพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย

นับจากที่หนิงเทียนสูญเสียพลังไปมันใช้เวลาไม่ถึง60วันด้วยซ้ำในการเติมเต็มตะวันทั้งแปดดวงเพื่อก่อสร้างทะเลลมปราณขึ้นมาใหม่

นี้นับว่าเป็นผลจากความเข้าใจในม้วนภาพพยัคฆ์ทมิฬของมันที่มีเต็ม10ส่วน พลังปราณที่มันซึมซับเข้าร่างจึงมีความบริสุทธิ์มากกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว..

เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงเทียนและมู่เสวี่ยออกจากโรงเตี๊ยมแต่เช้า ทั้งสองมุ่งไปยังถนนสายการค้าอีกครั้งหนึ่ง แต่ในคราวนี้หนิงเทียนไม่ได้เดินป่าวประกาศอีกต่อไป มันเพียงแต่นั่งนิ่งเฉยอยู่ในแผงไม้ที่วางเปล่าที่มีเพียงเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวเท่านั้น

เพียงไม่นานนัก ปรากฏร่างชายสองคน มันสวมใส่ชุดที่ดูหรูหราผิดไปกับคนธรรมดาทั่วไปและชุดที่สวมใสนั้นเป็นชุดที่ดูคล้ายตาเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้วมันคือชุดประจำของนิกายเคลื่อนเมฆา

เมื่อเห็นทั้งสองเดินตรงมา ใบหน้าของมู่เสวี่ยยิ้มออกด้วยความดีใจ

“พวกมันมาโน้นแล้ว เจ้าเก็บความรู้สึกไว้บ้างอย่าได้แสดงออกจนทำให้พวกมันเกิดความสงสัย”หนิงเทียนรีบกล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา

ทั้งสองเดินเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ ใบหน้าของมันซีดขาวไร้ราศีของการเป็นศิษย์นิกายใหญ่อย่างสิ้นเชิง

“เป็นพวกมันนั้นแหละที่ชาวบ้านแถวนี้เขาล่ำลือกัน เจ้าแน่ใจหรือว่า ต้องการนำคนที่ดูคล้ายจะเสียสติเช่นนี้กลับไปและไม่โดนลงโทษจากท่านประมุข” หนึ่งในสองคนกล่าวออกอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

“แพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมายทั้งในเมืองจี้หลินและพื้นที่รอบๆเราก็ได้เชิญมาหมดแล้ว แม้กระทั่งส่งสาส์นไปเชิญเจ้าสำนักร้อยพิษ

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจจะรอน้ำไกลมาดับไฟใกล้ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหมา หรือแมว ถ้ามันบอกว่าสามารถรักษาโรคร้ายให้พวกเราได้ละก็ เราก็ควรจะนำตัวมันกลับไป

แต่ถ้าสุดท้ายมันไม่สามารถทำตามคำพูดของตนเองได้ละก็ เราก็จะนำมันกลับมาส่งแต่ร่างที่ไร้วิญญาณ”ชายอีกคนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เฮ้อ..ไม่น่าเลย โรคร้ายนี้มาพร้อมกับศิษย์พี่หรงจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมพวกเราถึงต้องซวยไปด้วย”ชายอีกคนกล่าวกับเพื่อนของมัน

“ถ้าเจ้ายังไม่อยากรีบตายเร็วนัก อย่าได้พูดเรื่องนี้ออกไปให้ใครได้ยินเด็ดขาด ไปเถอะพวกมันอยู่ตรงนั้นแล้ว”

เวลาเดียวกับที่มันสนทนากันเสร็จ ทั้งสองหยุดเดิน มันอยู่ห่างจากแผงไม้ของหนิงเทียนไม่ถึงห้าก้าว ชายคนหนึ่งมองไปยังตัวอักษรสีเขียวบนกระดาษและอ่านมันออกมาจนเกิดเสียง “พิษร้ายทั่วหล้า ล้วนสยบต่อหน้าข้า ราชันย์แห่งพิษ”

ยิ่งมันได้อ่านคำกล่าวขานนั้นด้วยตัวเองแล้ว ใบหน้าของมันยิ่งบูดเบี้ยวขึ้น มันกล่าวย้ำกับสหายของมันอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจนะ”

สหายของมันพยักหน้าตอบและก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงเทียนมันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านหมอ ท่านมีสมญานามอันเลื่องลือ ว่าราชันย์แห่งพิษใช่หรือไม่”

หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่แล้ว เป็นข้าเอง”

“ถ้าเช่นนั้นท่านหมอ ข้าขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ภายในนิกายของเราเกิดโรคแปลกๆขึ้นมา แม้มันจะไม่ร้ายแรงมากก็ตามแต่การรักษามันให้หายขาดคงจะเป็นเรื่องดีกว่าใช่หรือไม่

และข้าได้ยินว่าท่านประกาศออกไปว่าไม่มีโรคใดที่ท่านรักษาไม่หาย ถ้าเช่นนั้นโรคร้ายที่นิกายของเรากำลังเจอคงจะไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับท่านหมอ ขอให้ท่านเดินทางไปกับพวกเราด้วย”

หนิงเทียนยิ้มออกขณะที่มันใช้มือซ้ายจับไปที่คางด้วยลักษณะครุ่นคิด เมื่อทั้งสองเห็นท่าทีเช่นนั้น มันรีบกล่าวออกมา

“ท่านหมออย่าได้ห่วงไป พวกเราไม่ได้ให้ท่านรักษาฟรีๆแน่ ถ้าเกิดท่านรักษาพวกเราได้ ท่านประมุขของเราจะตอบแทนท่านด้วยของขวัญชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน พวกเรานิกายเคลื่อนเมฆาพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้นเสมอ”

“หืมม์ ท่านก็กล่าวเกินไป ข้าเป็นหมอจรรยาบรรณคือการรักษาคน ไม่ว่าสิ่งตอบแทนจะเป็นเหรียญทองเพียงเหรียญเดียวข้าก็จะรับมันด้วยใจ”

แม้จะกล่าวออกเช่นนั้นแต่ดวงตาของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความขบขัน ‘มันกล้ากล่าวออกมาว่าพิษลมหายใจราชันย์ของข้าเป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงอย่างนั้นหรือ?’

พิษลมหายใจราชันย์นั้นเป็นพิษที่หนิงเทียนได้ปรุงขึ้นและเลือกใช้มันกับนิกายเคลื่อนเมฆาเนื่องจากคุณสมบัติที่สามารถติดต่อกันทางลมหายใจคล้ายกับโรคระบาดในชีวิตก่อนของหนิงเทียนนั้นเอง

พิษลมหายใจราชันย์เป็นพิษในระดับในระดับปฐพีที่ถูกปรุงโดยเทพโอสถ ฉะนั้นผู้ที่ถอนพิษนี้ได้ คงจะมีแต่ระดับเทพโอสถปฐพีด้วยกันเท่านั้น แม้ว่านิกายเคลื่อนเมฆาจะตามจ้าวโอสถอย่างซีหมิ่นมามันก็ไม่มีปัญญาที่จะรักษาได้อย่างแน่นอน

มู่เสวี่ยมองแผ่นหลังของหนิงเทียนราวกับว่านางกำลังมองไปยังเทพเซียนผู้ลิขิตเส้นทางชีวิตให้แก่ผู้คน จะมีใครบ้างที่สามารถวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอน และทำให้คนๆหนึ่งไม่สิ ต้องกล่าวว่านิกายๆหนึ่งเสียมากกว่าเคลื่อนไหวไปตามที่ต้องการได้

หนิงเทียนลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสง่างาม มันมองไปยังทั้งสองด้วยสายตาและใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับว่ามันนั้นกำเนิดมาบนโลกเพื่อรักษาชีวิต จากนั้นมันกล่าวออกด้วยเสียงทุ้มต่ำอันเปี่ยมด้วยเมตตา

“รีบนำทางข้าไปเถอะ แค่ข้าคิดว่ามีผู้คนที่ต้องทนทุกทรมานกับโรคร้ายกำลังรอข้าอยู่ด้วยความเจ็บปวดแล้ว หัวใจของข้ามันคล้ายกับถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทง เชิญนำทาง”

เมื่อทั้งสองได้ฟังคำกล่าวของหนิงเทียนแล้ว ภายในใจของพวกมันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มันพายมือไปด้านหน้าแสดงออกถึงการเชื้อเชิญ จากนั้นมันเดินนำพวกของหนิงเทียนออกนอกเมืองไปยังที่หมายทันที

…………..

ผ่านไปไม่นานทั้งสี่ร่างเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูของนิกายเคลื่อนเมฆา

“ทั้งสองนี้คือหมอที่พวกเราตามมา โปรดเปิดประตู” หนึ่งในสองคนกล่าวออกกับทหารยามที่เฝ้าประตู จากนั้นไม่นานประตูอันใหญ่โตของนิกายเคลื่อนเมฆาค่อยถ่างออกเปิดให้เห็นถนนสายยาวที่ทอดไปสู่ภายใน

นิกายเคลื่อนเมฆานั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขาทับตะวัน พวกมันมีอำนาจปกครองบริเวณพื้นที่รอบนอกของเมืองจี้หลินทั้งหมด

ถ้าเมืองจี้หลินไม่ใช่เมืองท่าที่ถูกคุ้มครองโดยอาณาจักรฟ้าสวรรค์แล้วละก็พวกมันจะถูกกลืนกินโดยนิกายเคลื่อนเมฆาอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่กลุ่มของหนิงเทียนเดินอยู่บนถนนสายหลักที่นำเข้าสู่นิกายเคลื่อนเมฆา หนิงเทียนชะลอความเร็วลงจนทำให้มันตกมาเดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่ม

จากนั้นมันใช้ผงโอสถแทนสัญลักษณ์ในการนำทางโปรยไปตามมุมอับต่างๆเพื่อจดจำเส้นทางเดิน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดหรือแผนการเป็นไปตามที่มันคาดการณ์มากเท่าใดก็ไม่ได้ทำให้หนิงเทียนลืมที่จะสร้างเส้นทางหลบหนีไว้เป็นแผนสองได้เลย

หลังจากเดินทางมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แม้ระหว่างทางมันจะพบเจอทหารยามหลายคนคอยเดินตรวจแต่หนิงเทียนสามารถบอกได้เลยว่าภายในของคนพวกนั้นกำลังปั่นป่วนจากพิษร้าย

สิ่งเดียวที่ทำให้มันยังไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นเพียงเพราะว่าระดับพลังปราณของพวกมันเพียงพอที่จะสะกดข่มพิษไว้ได้ แต่เมื่อใดที่ลมปราณถูกใช้ออกจนหมดสิ้นพวกมันเหล่านั้นก็คงหนีไม่พ้นจุดจบแห่งความตาย

ไม่นานนักหนิงเทียนถูกนำตัวมายังห้องโอสถของนิกายเคลื่อนเมฆาที่ภายในนั้นมีชายชราสามคนกำลังนั่งสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ท่านประมุข ภายในเวลา3มานี้ศิษย์ของเราติดพิษประหลาดไปมากกว่าครึ่งแล้ว”ชายชราในชุดคลุมสีขาวกล่าวรายงาน

“ศิษย์สายนอกที่มีระดับพลังในดินแดนองครักษ์ต่างล้มตายกันไปบางส่วนแล้ว จากที่ข้าสัมผัสได้พิษประหลาดนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้เพียงแค่การสนทนาเท่านั้น

ถึงแม้มันจะสามารถยับยั้งด้วยลมปราณ แต่เมื่อใดที่พลังปราณถูกใช้หมด ร่างของคนผู้นั้นจะค่อยๆแห้งและตายในที่สุด”ชายชราอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม

“อาวุโสสี่ เวลานี้หรงจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำขลิบแดง ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาหมดจด มันสวมแหวนสีทองที่สลักด้วยรูปลักษณ์ของก้อนเมฆอันเป็นแหวนประจำตัวของผู้นำนิกาย

“ด้วยพลังของหรงจื่อแล้วช่วงเวลา5-10วันนี้ยังคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก แต่สำหรับกลุ่มคนที่ติดตามมันกลับจากป่าวิญญาณอสูรแล้ว นอกจากผู้อาวุโสอัคคีและเยือกเย็น ข้าเกรงว่าทั้งหมดจะมีชีวิตรอดอีกไม่เกิน7วัน”

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำขลิบแดงถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวออกว่า“แม้เราจะตามแพทย์จากทุกซอกทุกมุมของเมืองจี้หลินมาก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงชื่อพิษของมันได้เลย

แม้ว่าพวกเราจะรอคอยการมาของเจ้าสำนักร้อยพิษได้ แต่ศิษย์คนอื่นๆในนิกายข้าเกรงว่าพวกเขาจะรอไม่ได้ ครั้งนี้มันคือหายนะของพวกเราจริงๆ”

ชั่วเวลาที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่ พวกมันรับรู้ถึงการมาถึงของคนสี่คน มันจึงปลายตามองไปที่หน้าประตูอย่างพร้อมเพียง

เมื่อสองคนที่นำกลุ่มของหนิงเทียนเห็นทั้งสามมันโค้งศีรษะลงต่ำและกล่าวออกว่า “ศิษย์ได้นำหมออีกคนมาแล้ว”…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด