บทที่ 117 ราชันย์แห่งพิษ
หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมกับโยนป้ายเหล็กนิลกาฬออกไป เมื่อผู้จัดการสาขารับมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันรีบกล่าวแนะนำตัวอย่างนอมบน้อม
“แขกผู้มีเกียรติ ข้ามีนามว่า เหว่ยฝู เป็นผู้จัดการสมาคมการค้าของเมืองจี้หลิน เมื่อครู่คนของข้าได้แสดงท่าทีเสียมารยาทไป เหว่ยฝูต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอันใดให้สาขาเล็กๆของข้ารับใช้ท่าน”
ตัวตนของผู้จัดการสาขาของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรนั้นแม้แต่เจ้าเมืองทั้งสามในดินแดนรอบนอกยังต้องเกรงใจไม่กล้าแม้แต่จะใช้คำกล่าวหวนๆกลับตัวตนเหล่านั้นได้
แต่เวลานี้ภายในสายตาของมู่เสวี่ย เหว่ยฝูกำลังก่มหัวและกล่าวอย่างถ่อมตนกับหนิงเทียนเสมือนว่าบ่าวกำลังสนทนากับผู้เป็นนายอยู่
“ไม่ต้องมากพิธีข้าเพียงแต่ต้องการซื้ออุปกรณ์มิติที่สามารถพาข้ากลับไปยังเมืองฉางผิงได้ในทันที หวังว่าสาขาของเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
แม้หนิงเทียนจะกล่าวออกเช่นนั้นแต่แท้จริงแล้วตัวมันเองก็ไม่รู้เลยว่าอุปกรณ์มิติชนิดใดกันที่จะสามารถพามันเดินทางผ่านมิติได้เช่นเดียวกับความสามารถของอู๋ชางหรือที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกับกระดิ่งเร้นรอย
เมื่อได้ยินถึงความต้องการเช่นนั้นคิ้วของเหว่ยฝูขมวดเข้าหากัน มันใช้เวลาคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินหายเข้าไปภายในห้องและเดินกลับมาพร้อมกับขวดผลึกแก้วสีใส
ภายในปรากฎจุดสีดำขนาดเล็ก ถ้าเพ่งมองให้ดีจะเห็นว่าจุดสีดำนั้นเป็นแมลงขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสีดำสนิท มันบินวนเวียนเป็นคู่อยู่สี่ตัว
“นี้คือปลวกสิ้นนิรันดร์ มันเป็นอสูรปราณโบราณธาตุมิติที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่ราบภาคกลางไม่ถึง1000ตัว วิธีใช้มันนั้นอาจจะยุ่งยากเล็กน้อย คือท่านต้องสั่งให้ปลวกตัวเมียไปในสถานที่ ที่ท่านต้องการจะไป
และใช้ปลวกตัวผู้เป็นสื่อในการส่งร่างของท่านไปยังสถานที่ ที่ตัวเมียอยู่ เมื่อพวกมันทั้งสองเดินผ่านมิติไปพบกันแล้วอายุขัยของพวกมันก็จะสิ้นลงมันถึงได้ชื่อว่าปลวกสิ้นนิรันดร์
ถ้าจะให้ข้าพูดอย่างให้เข้าใจง่ายๆละก็ปลวกสิ้นนิรันดร์นี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวและยังต้องใช้เวลาเตรียมการอีกเล็กน้อยเพื่อที่จะส่งปลวกตัวเมียไปยังสถานที่ท่านต้องการ”
“ช่างน่าเศร้าจัง เมื่อพบกันแล้วทั้งคู่ก็ต้องตายจากกันไป”เมื่อได้ฟังถึงวิธีการใช้งานมันมู่เสวี่ย อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างลืมตัว
หนิงเทียนไม่ได้สนใจถึงเรื่องราวพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแต่กล่าวถามต่อไป“แล้วข้าจะใช้วิธีใดบังคับปลวกตัวเมีย?”
“เรื่องนั้นแขกผู้มีเกียรติไม่ต้องกังวลไป เมื่อทางเราได้ขายมันให้กับท่านแล้ว ย่อมต้องอำนวยความสะดวกส่งมันไปยังทิศทางที่ท่านต้องการจะไปได้” กล่าวจบเหว่ยฝูโบกมือเรียกบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งออกมา
จากนั้นมันกล่าวต่อว่า “แขกผู้มีเกียรติท่านต้องการไปเมืองฉางผิงใช่หรือไม่ ...ข้าจะให้คนของข้าบังคับปลวกสิ้นนิรันดร์ตัวเมียบินไปยังเมืองฉางผิง ด้วยความเร็วของมัน ท่านสามารถที่จะเดินทางข้ามมิติได้หลังจากนี้อีกสามวัน”
เหว่ยฝูยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวต่อไปว่า “ถ้าแขกผู้มีเกีรยติสนใจ ด้วยป้ายเหล็กนิลกาฬในมือท่านทางเราสามารถลดราคาให้ท่านได้3ใน10ส่วนและขายในราคา 2500หยกนิลเท่านั้น”
“ดี ข้าจะซื้อมันและมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าต้องการให้เจ้าช่วยถอนเงินออกจากป้ายเหล็กนิลกาฬให้ข้าหนึ่งหมื่นหยกนิล”หนิงเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“...ท่านแขกผู้มีเกียรติ หะ...หนึ่งหมื่นหยกนิล” เหว่ยฝูจนกับคำพูดที่จะกล่าวต่ออยู่ครู่หนึ่งเป็นเรื่องจริงที่ว่า สมาคมการค้าสาขาเมืองจี้หลินนี้ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเก็บไว้มากนัก
พวกมันเป็นเพียงสาขาในเมืองเล็กๆเท่านั้น การจะนำเงินออกมาหนึ่งหมื่นหยกนิลนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการรายงานขึ้นไปยังสาขาหลัก
“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ข้านั้นมีธุระต้องทำในเมืองนี้อีก3-4วัน ด้วยเวลาเท่านี้คงจะเพียงพอแล้วที่เจ้าจะสามารถจัดการอะไรต่างๆได้” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยเสียงเย็น
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณท่านที่ไว้หน้าพวกเราสาขาเมืองจี้หลิน ข้าจะรีบทำเรื่องถอนเงินให้ท่านโดยเร็วที่สุด” จากนั้นเหว่ยฝูส่งต่อปลวกสิ้นนิรันดร์ให้แก่หนิงเทียนด้วยรอยยิ้มจางๆ
พร้อมกล่าวออกอย่างระมัดระวัง “สาขาเล็กๆของเรา รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสรับใช้ท่านแขกผู้มีเกียรติ”
หนิงเทียนไม่กล่าวอันใดอีกต่อไปมัน มันเพียงแต่หมุนตัวกลับและเดินออกจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรอย่างนิ่งเฉย หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแล้ว
ทั้งสองเดินสำรวจเมืองจี้หลินอย่างไม่เร่งรีบนัก พร้อมกับเดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
...
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเริ่มปรากฏแดดอ่อนๆ หนิงเทียนนั่งซึมซับพลังของหินลมปราณอยู่ในห้องพักอย่างสงบนิ่ง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “อาจารย์ นี้ก็สายแล้วพวกเรายังไม่ไปกันอีกหรือ?”
“ไป? เจ้าจะไปที่ไหนกัน”หนิงเทียนกล่าวถามออกขณะที่ดวงตาของมันยังคงปิดสนิท
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเข้าไปสืบถึงสาเหตุการตายไปของบิดาข้าหรอกหรือ?”มู่เสวี่ยรีบกล่าวออกด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วหนิงเทียนกลับกล่าวตอบนางเพียงแค่ประโยคสั่นๆว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
แม้ว่ามู่เสวี่ยจะร้อนรนแต่นางนั้นเข้าใจได้ว่า “ช่วงเวลานี้อาจารย์ของนางอาจจะได้รับบาดเจ็บและต้องการพักผ่อน” นางจึงทำใจยอมรับและเดินกลับห้องพักของตัวเองไป....
ค่ำคืนแรกผ่านไป แสงแดดในวันที่สองเริ่มที่จะสาดไล่มาอีกครั้ง ในวันนี้หนิงเทียนเลิกการบ่มเพาะและออกมาเดินยืดเส้นยืดสายภายนอก
“อาจารย์ ท่านสบายดีแล้ว?” มู่เสวี่ยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
หนิงเทียนหันมองตามเสียงไป มันกล่าวออกกับมู่เสวี่ยว่า “เพลงกระบี่ตัดชีพจรที่ข้าได้สอนไป เจ้าฝึกฝนถึงขั้นไหนแล้ว จงแสดงให้ข้าดู”
“เอ๋...อาจารย์ไม่ใช่ว่าพวกเรามีธุระต้องไปทำไม่ใช่หรือ เรื่องฝึกกระบี่เอาไว้คราวหน้าเถอะ เมื่อวานข้าได้หาแผนที่และสอบถามข้อมูลของนิกายเคลื่อนเมฆามาแล้ว พวกเราสามารถไปเคาะประตูพวกมันได้ทันที” มู่เสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้ข้าสั่งให้เจ้าทบทวนเพลงกระบี่ตัดชีพจรตั้งแต่แรกจนถึงกระบวนท่าสุดท้าย ห้ามมิให้มีท่าใดผิดเพี้ยนๆไปแม้แต่น้อย ข้าจะออกไปเที่ยวชมตลาดข้างนอกเสียหนอก” สิ้นเสียงกล่าวนั้นหนิงเทียนเดินออกไปทันที
ในยามเย็นหนิงเทียนเดินกลับมาพร้อมกับไห่สุราที่มันหอบมาอย่างพะรุงพะรัง มันปลายตามองมู่เสวี่ยที่ร่ายรำกระบี่อย่างต่อเนื่องไม่ได้หยุดพัก ก่อนจะกล่าวว่า
"ดีมาก วันนี้เจ้าไปพักได้" สิ้นคำกล่าวหนิงเทียนเดินจากไปโดยมิได้กล่าวคำใดเพิ่มเติมอีก
สองวันผ่านไปแล้วหนิงเทียนก็ยังไม่ได้เริ่มที่จะสืบหาความจริงอย่างที่ได้เคยกล่าวเอาไว้ ทำให้ตอนนี้ภายในใจของมู่เสวี่ยห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก
นางตัดสินใจไว้ว่าถ้าวันที่สามหนิงเทียนยังคงนิ่งเฉยอีก ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางนั้นจะบุกเข้าไปในนิกายเคลื่อนเมฆาด้วยตัวเอง
และแล้วค่ำคืนของวันที่สองก็ได้ผ่านพ้นไป ในยามเช้าตรู่ของวันต่อมา คราวนี้เป็นหนิงเทียนเองที่เดินออกมาจากห้อง มันนั่งลงบนโต๊ะไม้ก่อนที่ร่างของมู่เสวี่ยจะเดินตรงมาที่มัน
ขณะที่นางกำลังจะกล่าวคำพูดที่อัดแน่นตลอด2วันออกมา แต่จู่ๆเสียงของหนิงเทียนได้ดังแทรกขึ้นมาก่อนที่มู่เสวี่ยจะได้พูดคำใดออกไป “เจ้าต้องการที่จะเข้าไปนิกายเคลื่อนเมฆาด้วยตัวเอง?”
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าต้องรู้ใดได้ว่าการตายของท่านพ่อเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือเพราะคนจงใจให้เกิด ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นถ้ำเสือหรือแดนมังกรข้าก็ไม่หวั่นเกรง”มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยสายตาที่มองค้อนไปยังหนิงเทียน
เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะสายตาที่คล้ายจะมีโทสะนั้นช่างเป็นสายตาที่ทำให้บุรุษที่ได้มองกลับไปหลงไหลไปตามมันอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นหนิงเทียนยกยิ้มและกล่าวขึ้น
“ไม่ใช่ว่าภายในใจของเจ้ากำลังกล่าวโทษข้าอยู่หรอกรึ เอาเถอะเจ้าอย่าได้กังวลเลยข้าได้บอกไปแล้วไงว่า ข้ามาที่นี้เพราะคำไหว้หวานของสหายและการตามหาความจริงของบิดาเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของข้าเช่นกัน”
“คนที่ไหว้วานท่านจะต้องรู้จักกับตระกูลมู่ของเราเป็นอย่างดี บางทีเขาอาจจะเป็นสหายของท่านพ่อก็ไม่ได้ อาจารย์ท่านสามารถบอกชื่อของคนผู้นั้นได้หรือไม่” มู่เสวี่ยกล่าวถามด้วยความสงสัย
หนิงเทียนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“มันเป็นความลับส่วนตัวของเขา ข้าไม่สามารถก้าวก่ายได้และเจ้าอย่าได้ถามถึงมันอีกเลย”
มู่เสวี่ยพยักหน้า นางฟังคำพูดของหนิงเทียนอย่างโดยดี ตอนนี้เหมือนนางจะฉุกคิดเรื่องอื่นใดขึ้นมาได้ นางรีบกล่าวถามออกไป
“อาจารย์ แล้วพวกเราจะใช้วิธีใดในการสืบหาข้อมูลเหล่านั้นได้ ไม่สิอย่าพึ่งกล่าวถึงเรื่องการค้นหาความจริง แค่พวกเราคนนอกจะก้าวเข้าไปภายในนิกายเคลื่อนเมฆายังไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย”
“เรื่องที่เหมือนจะยาก บางครั้งมันอาจจะง่ายกว่าที่เจ้าคิดก็ได้ เจ้าไม่ต้องสงสัยในคำพูดของข้า รีบไปนำกระดาษเปล่ามาให้ข้า ข้าจะใช้กระดาษแผ่นเดียวเปิดประตูนิกายเคลื่อนเมฆาให้เจ้าได้
หนิงเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังคำพูดเหล่านั้นแล้ว มันออกจะทำใจเชื่อยากเกินไปนัก นิกายเคลื่อนเมฆาหนึ่งในตัวตนอันยิ่งใหญ่ของผู้คนในดินแดนรอบนอก
มีคำเล่าลือกันอย่างหนาหูว่าผู้อาวุโสลำดับที่1ของนิกายเหลืออีกเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงระดับกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนทรราชย์และนำพานิกายเข้าไปอยู่ใต้อาณัตินของอาณาจักรฟ้าสวรรค์
หนิงเทียนที่เห็นมู่เสวี่ยกำลังยืนนิ่งด้วยดวงตาครุ่นคิด มันจึงกล่าวเตือนออกเสียงดัง “เจ้ายังไม่รีบไปนำมันมาให้ข้าอีกหรือ!!”
ด้วยคำกล่าวเชิงคำสั่งครั้งที่สองดังออกมา มันเตือนสติของมู่เสวี่ยให้รีบหันหลังและวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานมู่เสวี่ยกลับมาพร้อมกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ในมือ
นางยื่นให้หนิงเทียนพร้อมจับจ้องมองไปยังกระดาษแผ่นนั้นอย่างไม่วางตา นางต้องการที่จะรู้ให้ได้ว่ากระดาษเปล่าแผ่นนั้นซ่อนความลับอะไรอยู่ ถึงจะมีความสามารถแง้มเปิดประตูนิกายเคลื่อนเมฆาให้เปิดออกได้
เมื่อหนิงเทียนรับกระดาษเปล่ามาจากมู่เสวี่ยแล้ว มันสะบัดมือนำขวดหยกที่บรรจุของเหลวสีเขียวออกมาจากแหวนมิติ แค่เพียงกลิ่นจางๆที่แผ่ออกมาจากขวดหยกใบนั้นมู่เสวี่ยสามารถบอกได้ทันทีว่า มันคือน้ำพิษ
จากนั้นสิ่งที่ทำให้ดวงตาของมู่เสวี่ยแทบจะกระเด็นออกมาคือการที่หนิงเทียนใช้นิ้วของมันจุ่มลงไปในของเหลวสีเขียวราวกับว่าน้ำพิษนั้นเป็นดังหมึกดำที่มีไว้ใช้เขียนกระดาษ
ต่อมาหนิงเทียนใช้ปลายนิ้วแทนพู่กันและน้ำพิษแทนหมึกในการบรรจงเขียนตัวอักษรลงในกระดาษเปล่าแผ่นนั้นว่า
“พิษร้ายทั่วหล้า ล้วนสยบต่อหน้าข้า ราชันย์แห่งพิษ”
เมื่อตวัดอักษรเสร็จสิ้น หนิงเทียนสะบัดปลายนิ้ว น้ำพิษที่เกาะอยู่ที่ปลายนิ้วมือกระจายลงบนพื้น มันกัดกร่อนจนพื้นที่ถูกสร้างด้วยเหล็กละลายจนผิดรูปไปจากเดิม
จากนั้นหนิงเทียนลุกขึ้นพร้อมกล่าวออกกับมู่เสวี่ย “หรงจื่อเคยเห็นใบหน้าของเจ้าแล้ว ฉะนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนใบหน้าอีกครั้งหนึ่ง รับนี่ไป”กล่าวจบหนิงเทียนโยนหน้ากากหนังมนุษย์ให้แก่มู่เสวี่ย
เพียงไม่นานใบหน้าที่เคยเป็นคาบของบัณฑิตหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นชายแก่หน้าตาเหี่ยวย่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังถนนสายการค้าของเมืองจี้หลิน ไม่นานนักเงาร่างของหนิงเทียนและมู่เสวี่ยปะปนรวมกับฝูงชนอย่างแน่หนา
หนิงเทียนที่สวมหมวกฟางปิดบังใบหน้าเดินนำ มู่เสวี่ยที่ชูแผ่นกระดาษสีขาวที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีเขียวและกล่าวออกด้วยคำพูดอันหยิ่งยโส
“โรคร้ายกำเนิดมาจากพิษ พิษเป็นรากฐานของโรคภัย ไม่มีพิษใดที่ข้ารักษาไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีโรคใดที่รอดพ้นจากมือข้าได้” ทุกการเดินครบร้อยก้าวมู่เสวี่ยจะตะโกนด้วยคำพูดเดิมซ้ำๆ ....
“อาจารย์ท่านว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือ?” มู่เสวี่ยกล่าวถามพร้อมกับเดินตามหลังๆไปติดๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่บ้านของข้าสิ่งใดน่ากลัวกว่าคมของศาสตราวุธ”หนิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
มู่เสวี่ยใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะตอบออกด้วยสีหน้ามั่นใจ“หรือว่าจะเป็นยาพิษ? พิษนั้นสามารถสังหารคนได้ในพริบตา แม้ในยามหลับหรือยามตื่น มันจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุด”
หนิงเทียนส่ายหน้าและกล่าวต่อไปว่า“ที่บ้านข้านั้น จัดให้โอสถพิษอยู่ในลำดับที่สองเท่านั้น”
“ถ้าไม่ใช่ทั้งศาสตราวุธ และโอสถพิษ มันจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวกว่านี้อีกละอาจารย์” มู่เสวี่ยถามกลับด้วยเสียงแข็ง ไม่ว่านางจะคิดคำตอบได้ดีเท่าใดก็ไม่เคยสามารถตอบคำถามให้ตรงกับใจหนิงเทียนได้เลย
“อย่าพึ่งอารมณ์เสียไป ที่บ้านของข้าสิ่งที่น่ากลัวกว่าทั้งศาสตราวุธและโอสถพิษ มันคือโรคระบาด เมื่อเมืองหรือหมู่บ้านใดเกิดโรคระบาดขึ้น ถ้ามันไม่สามารถรักษาหายได้ทันท่วงที
ที่แห่งนั้นจะกลายเป็นพื้นที่รกร้างภายในระยะเวลาไม่ถึงปี” ขณะที่กล่าวหนิงเทียนหวนระลึกถึงความน่ากลัวของสิ่งทีถูกเรียกว่าโรคระบาด
“หือไอ้ โรค ระ บาด ที่ว่านี้มันคืออะไรกันหรืออาจารย์??”มู่เสวี่ยกล่าวถามอย่างสงสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนในโลกแห่งนี้จะไม่รู้จักมัน
เพียงเพราะว่าบุคคลที่ฝึกฝนลมปราณนั้น มีความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจเหนือเกินกว่าที่โรคภัยไข้เจ็บธรรมดาจะสามารถส่งต่อไปยังคนหนึ่งได้
หนิงเทียนคิดอยู่นาน มันกลอกตาไปมาพร้อมกล่าวต่อว่า “เจ้าลองคิดว่า พิษที่สามารถติดจากคนสู่คน ไม่ทางลมหายใจก็การสัมผัส โดยไร้ซึ่ง แสง สี และกลิ่น ที่สำคัญมันจะหยุดแผ่กระจายก็ต่อเมื่อมันไม่หลงเหลือชีวิตให้เข่นฆ่าแล้ว”
ได้ยินถึงคำบอกเล่าของหนิงเทียน ร่างของมู่เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะสั่นออกด้วยความหวาดกลัวนางถามต่อด้วยเสียงอันสั่นเครื่อเล็กน้อยว่า “อาจารย์...ที่บ้านของท่านมีพิษที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”