บทที่ 116 จบชีวิตพร้อมก้าวแรก..
ทั้งห้าใช้เวลาหยุดรักษาตัวไม่นาน เมื่อเห็นว่าหลี่เฟิงได้สติแล้ว เฉียนหยาจึงได้แบกหลี่เฟิงขึ้นหลัง และรีบรุดหน้าเดินทางต่อไปทันที
เวลาผ่านไปราวๆ4ชั่วยามการหลบหนีของพวกมันไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้นใดๆ ในที่สุดทั้งห้าคนก็ออกมาจากป่าวิญญาณอสูรได้อย่างปลอดภัย
“หัวหน้าหลี่ เมื่อพวกท่านรวมตัวพี่น้องได้ครบแล้วขอให้ท่านเดินทางมาหาข้าที่เมืองฉางผิง ตระกูลซือหม่าของข้า ยินดีต้อนรับพวกท่านทุกคน”
จากนั้นหนิงเทียนโยนโอสถสีเขียวอ่อนไปให้แก่เฉียนหยาพร้อมกล่าวต่อว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่เทพเซียนความเจ็บทรมานสุดแสนจากโอสถพิษร่างไร้จิตนั้น ไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าบรรเทาลงได้
แต่โอสถสีเขียวที่ข้าให้ไปแม้มันจะเล็กน้อย แต่มันจะช่วยให้จิตของเจ้าสงบลงได้”
“หนุ่มน้อย ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดเพียงใดข้าก็จะยอมรับมัน เป็นเพราะมันทำให้ตาแก่คนนี้ไม่ต้องทนกับความรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต”เฉียนหยากล่าวตอบอย่างหนักแน่น
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าทั้งสองขอตัวก่อนข้ามีธุระที่ต้องไปจัดการ”กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองจี้หลินอันเป็นที่ตั้งของนิกายเคลื่อนเมฆาทันที.....
"ลาก่อนพี่ชาย พบกันอีกครั้งที่เมืองฉางผิง"หลี่เฟิงกล่าวออกพร้อมกับน้อมศีรษะลงเล็กน้อย
……
ภายในป่าวิญญาณอสูรแสงสีแดงสว่างสาดแสงไปทั่วท้องฟ้าบริเวณนั้น มันปรากฎ ร่างของจี้ซวนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น มันพยามโคจรพลังปราณรักษาอาการบาดเจ็บพร้อมทั้งซึมซึบพลังแห่งไฟจากธรรมชาติเพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังของมัน
ทันใดนั้นเองเปลือกตาที่ปิดอยู่ของจี้ซวนเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วมันมองไปยังใบไม้ที่กำลังสั่นไหวก่อนจะกล่าวออกเสียงดัง “นั้นใคร!!!”
สิ้นเสียงของจี้ซวนนั้น ร่างของหรงจื่อเดินออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับ2อาวุโสเงาอัคคีและเงาเยือกเย็นที่เดินตามติด พวกมันค่อยระวังภัยให้หรงจื่ออย่างไม่ห่าง
“ขออภัยท่านจี้ซวนที่ข้ามาช้าไป”หรงจื่อกล่าวออกด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อจี้ซวนเห็นว่าผู้ที่มาคือหรงจื่อแห่งนิกายเคลื่อนเมฆาแล้ว ภายในใจของมันคลายความกังวลลงไปอย่างมากจากนั้นมันกล่าวออกมา “น้องหรงจื่อพวกมันยังไปได้ไม่ไกลเท่าไร รีบตามพวกมันไปเร็วเข้า”
หรงจื่อจ้องมองไปยังจี้ซวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนั้นท่านจี้ซวนไม่ต้องกังวลไป ที่สำคัญตอนนี้คืออาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ขอบคุณน้องหรงจื่อที่เป็นห่วง ตอนนี้ลมปราณของข้าฟื้นคืนมาได้2ใน10ส่วนแล้ว ข้าสามารถกลับไปที่ค่ายตัวเองได้เพียงคนเดียวอย่างปลอดภัย น้องหรงจื่ออย่าได้กังวลเกี่ยวกับข้าไปเลย
สำคัญตอนนี้พวกเราต้องจับกุมตัวพวกโจรชั่วนั้นให้ได้” จี้ซวนกล่าวออกด้วยความแค้นอย่างสุดแสนต่อกองโจรพิทักษ์ฟ้า
“อืม 2ใน10ส่วนเท่านั้นเองหรือ ไม่ได้แน่ๆ เพียง2ใน10ส่วนข้าเกรงว่าตัวท่านจะถูกสัตว์อสูรลมปราณ ทำร้ายเอาระหว่างทางได้ เอาอย่างนี้เป็นไรท่านเดินทางไปหาพวกมันกับข้าเถอะ”
สิ้นเสียงของหรงจื่อ เงาอัคคีและเงาเยือกเย็น พุ่งตัวออกไปช่วยพยุงร่างของจี้ซวนในลักษณะหิ้วแขนคนละข้าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือด้วยเหตุใด จี้ซวนถึงบังเกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นมา มันคิดอะไรได้บางอย่างถึงความไม่ถูกต้อง ทว่ากับไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ขณะที่จี้ซวนกำลังครุ่นคิดถึงความรู้สึกเช่นนั้น น้ำเสียงของหรงจื่อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มันกล่าวถามออกมาอย่างไม่ดังและไม่เบาจนเกิดไป “ท่านจี้ซวน ท่านรู้หรือไม่ว่าชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต?”
ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวจากปากของหรงจื่อ ภายในใจของจี้ซวนบังเกิดความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา ในยามที่โทสะครอบงำจิตใจ มันได้พลั้งมือสังหารศิษย์ของนิกายเคลื่อนเมฆาไป
แม้มันจะเป็นกังวลแต่มันไม่คาดคิดว่าเพียงเหตุผลนี้เองหรงจื่อจะนำมาเป็นข้ออ้างทวงถามหาความยุติธรรมกับตัวมัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ดวงตาของหรงจื่อที่จ้องมองไปยังจี้ซวนเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร มุมปากของมันยกยิ้มขึ้นมาและกล่าวออกไปว่า
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านขุนพลอัคคีจี้ซวนยังกล่าวถามอะไรข้าอีก ท่านไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่า ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าข้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี ข้าคงจะไม่มีคำตอบให้แก่ท่านประมุขอย่างแน่นอน”
หรงจื่อกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันหยิ่งยโส ถ้าเป็นในยามปกติแล้วต่อให้มันเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งและว่าที่ประมุขคนต่อไปก็ตาม มันจะไม่กล้ากล่าวถามหาความยุติธรรมต่อหน้าจี้ซวนเช่นนี้แน่นอน
แต่ในตอนนี้สถานการณ์มันต่างออกไป จี้ซวนนั้นกำลังบาดเจ็บและพลังปราณที่เหลือก็มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำอีกทั้งถ้าจี้ซวนตายไป
การจะปัดความผิดให้กองโจรพิทักษ์ฟ้านั้นยิ่งเป็นเรื่องง่ายดายเข้าไปใหญ่ และเมื่อกลุ่มของมันได้เข้าทำลายค่ายเงามายาของกองโจรพิทักษ์ฟ้าด้วยเหตุผลในการแก้แค้นแทนขุนพลอัคคีด้วยแล้ว
จิตใจของประชาชนเมืองจี้หลินจะต้องตกอยู่ในมือของมัน และเมืองจี้หลินจะกลายเป็นของนิกายเคลื่อนเมฆาโดยที่ไม่กระทบถึงหูของอาณาจักรฟ้าสวรรค์อีกด้วย
จี้ซวนมองไปยังใบหน้าของหรงจื่อพร้อมก่นด่าเสียงดัง“บัดซบ!! ตระกูลจี้ของเราถูกแต่งตั้งจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์ เจ้าที่ต้องการสังหารข้าก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นกบฎในทวีปฟ้าสวรรค์”
“กบฏนะหรือ ท่านกล่าวถูกแล้ว กองโจรพิทักษ์ฟ้าที่สังหารท่านนั้นแหละที่เป็นกบฎส่วนนิกายเคลื่อนเมฆาของเราจะแก้แค้นให้ท่านโดยการทำลายค่ายของพวกมันซะ”
กล่าวจบหรงจื่อ สะบัดมือเรียกดาบอัปลักษณ์ของมันขึ้นมา “ลาก่อนท่านขุนพลอัคคี”หรงจื่อกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตวัดดาบของมันลงที่คอของจี้ซวน
ศีรษะของจี้ซวนกลิ้งตกลงมาแทบเท้าของหรงจื่อ จากนั้นหรงจื่อสั่งการออก “ยังมีหนูอีกสามตัว ข้าฝากพวกท่านปิดปากมันเสีย ส่วนตัวข้าจะนำกำลังไปทลายค่ายของพวกโจรชั่ว”
สิ้นคำสั่งเงาทั้งสามแยกกันออกไปโดยทิ้งร่างไร้ศีรษะของจี้ซวนให้นอนนิ่งอย่างน่าอนาถใจ
......
ม่านรัตติกาลในค่ำคืนอันวุ่นวายจางหายไป เวลาล่วงผ่านไปยามเที่ยงของวันใหม่ หนิงเทียนและมู่เสวี่ยนั่งอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองจี้หลิน
บนรถม้าปกคลุมด้วยความเงียบสงบ ทว่าหนิงเทียนยังคงไมหลับ มันนั่งสมาธิอย่างต่อเนืองเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายใน
เมื่อหนิงเทียนเปิดขึ้นจากสมาธิมันมองไปยังมู่เสวี่ยที่หลับใหลอย่างอ่อนเพลีย มันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกและส่ายหัว ‘ดูเหมือนว่านางจะปราศจากความระวังตัวใดๆเลยแม้แต่น้อย’
บนรถม้าที่กำลังแล่นเข้าเมืองอย่างไม่เร่งรีบ มู่เสวี่ยที่กำลังนอนหนุนแขนของตนเอง ดวงตาของนางพริ้มหลับอย่างสงบนิ่ง
ถึงแม้ว่าวิชาแปลงโฉมของหนิงเทียนจะไร้ที่ติ แต่ถ้าได้เพ่งมองพินิจใบหน้าของนางอย่างเต็มตาแล้วละก็ ความงดงามของสตรีจางๆจะเอ่อล้นออกมาเหนือใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเป็นบุรุษเพศ
หนิงเทียนเอียงตัวออกเล็กน้อย มือของมันปลดเสื้อนอกของตนออกมา จากนั้นหนิงเทียนค่อยๆย่อตัวลงข้างกายมู่เสวี่ย
หญิงสาวในคาบร่างของบุรุษยังคงหลับใหล ไร้ซึ่งความรู้สึกตัวใดๆ นางปราศจากความระมัดระวังตัวอย่างสิ้นเชิง หรืออาจจะเป็นเพราะข้างกายนางมีอาจารย์ที่เคารพอยู่ หญิงสาวจึงไม่อาจสัมผัสถึงการเข้ามาของหนิงเทียนได้
หนิงเทียนค่อยๆใช้มือขวาโอบไปยังร่างของมู่เสวี่ยจากนั้นมันค่อยๆคลี่กางเสื้อคลุมตัวนอกของมันห่มให้แก่นาง มันมองไปยังมู่เสวี่ย ภายในใจของมันนั้นรู้สึกรักและเอนดูมู่เสวี่ยราวกับว่านางเป็นน้องสาวที่คลานตามกันมา
จากนั้นหนิงเทียนบิดร่างกลับมานั่งขัดสมาธิและเฝ้ามองนางเป็นเวลานาน ยิ่งมองไปนานเพียงใดความรู้สึกสงสารจึงบังเกิดขึ้นมาภายในจิตใจ
“เด็กผู้หญิงตัวแค่นี้กลับต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รักและยังไร้ซึ่งมารดาเลี้ยงดูแต่กำเนิด ปู่แท้ๆก็ไม่สามารถขยับตัวเพื่อช่วยเหลือนางได้ เห้ออ...” เมื่อความคิดเช่นนั้นแล่นเข้ามาในโสดประสาทหนิงเทียนได้แต่ระบายลมหายใจยาวออกมา
เมื่อมู่เสวี่ยสัมผัสได้ถึงเสื้อคลุมที่กำลังปกคลุมบนร่าง เปลือกตาของนางสั่นสะท้าน จากนั้นมุมปากของมู่เสวี่ยเปิดออกช้าๆขณะที่สองตายังคงปิดสนิท "ท่าน...พ่อ..."
ด้วยสองคำพูดที่มู่เสวี่ยรำพันออกมา ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของหนิงเทียนมากขึ้นไปอีก เวลานี้สองตาของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
‘นิกายเคลื่อนเมฆา ถ้าข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของมู่หยุนเจี่ยละก็พวกเจ้าคงหนี้ไม่พ้นการชดใช้หนี้ด้วยเลือดของคนทั้งนิกาย’
ขณะเดียวกันการกระทำของหนิงเทียนนั้นอยู่ในสายตาของคนอื่นอีกจำนวนหนึ่ง มันเป็นพวกของนักเดินทางที่อาศัยรถม้าในการเดินทางเข้าเมืองจี้หลินเหมือเช่นหนิงเทียน
พวกมันมองไปยังหนิงเทียนด้วยความรู้สึกชวนอาเจียน ผู้ชายกับผู้ชายกำลังพลอดรักกัน?? บางคนถึงกับกลั้นอาหารเช้าของพวกมันไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเปล่งเสียงออกมาทำลายความเงียบนี้
...
เวลาผ่านไปไม่นานนักรถม้าของพวกมันก็มุ่งผ่านประตูเมืองจี้หลิน
บนถนนภายในเมืองจี้หลินนั้นยังมีผู้คนเดินผ่านกันอย่างคับคลั่ง ร้านค้าทั้งหลายมีสภาพคล่องทางการเงินมากกว่าเมืองฉางผิงอยู่เล็กน้อย เสียงของผู้คนตะโกนขายสินค้าดังขึ้นอย่างหนาหู
เวลานี้ประชาชนทุกคนไม่มีใครรู้หรือแม้แต่จะคาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่า ศีรษะของจ้าวเมืองที่พวกมันเคารพได้แยกออกจากร่างกายไปแล้วและความจริงเรื่องนี้จะกลายเป็นความวุ่นวายที่ประชาชนในเมืองจี้หลินจะได้รับในไม่กี่วันต่อมา..
เวลานี้หนิงเทียนสวมใส่ชุดของชายวัยกลางคน มันสวมเพียงหมวกไม้ไผ่ในการปิดบังใบหน้า ที่ด้านข้างของมันมู่เสวี่ยในชุดบุรุษสีดำกำลังเดินตามมาอย่างไม่ห่างนัก
“อาจารย์พวกเรากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ใด ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องไปที่นิกายเคลื่อนเมฆาหรอกหรือ” มู่เสวี่ยที่เดินตามหนิงเทียนมาทั้งวันกล่าวถามพร้อมกับยกแขนเสื้อปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะกุมอยู่ที่หน้าผาก
“พวกเราจะไปสมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองจี้หลิน ข้าต้องการหยกนิลเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านประตูมิติในขากลับของพวกเรา”
หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ตั้งสมาคมการค้าจ้าวสมุทรทันที โดยเส้นทางเดินนั้นมันได้ถามมาจากคนขับรถม้าแต่เนิ่นๆแล้ว
สมาคมการค้าจ้าวสมุทรนั้นมีสาขาอยู่ทั่วทั้งสี่ทวีป เหตุเพราะจักรพรรดิของพวกมันราชันจ้าวสมุทร มีความเป็นเอกเทศไม่เข้าข้างดินแดนใดดินแดนหนึ่ง อีกทั้งผลประโยชน์ของตัวสมาคมการค้าจ้าวสมุทรยังเกื้อหนุนทั้งด้านทรัพยากรและอาวุธ
ถ้าจะกล่าวว่าทวีปใดไม่มีสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแล้วละก็ พลังโดยรวมของพวกมันจะต่ำกว่าอีก3ทวีปที่เหลืออย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลนี้เอง มันจึงเป็นสมาคมเดียวที่สามารถก่อตั้งได้ใน4ทวีปและมีสาขาไปทั่วเมืองใหญ่ทุกเมืองในแดนพื้นที่ราบภาคกลาง
นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่หนิงเทียนได้มาเยือนสมาคมการค้าจ้าวสมุทร ในคราวนี้มันแตกต่างจากการมาครั้งแรก เพราะตัวหนิงเทียนได้รู้ถึงคุณสมบัติของป้ายเหล็กนิลกาฬที่บิดารองได้มอบให้แก่มัน
ถ้าจะบอกว่าตัวมันนั้นเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงไปเลย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในร้าน ชายชราที่กำลังนั่งดีดลูกคิดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มันกล่าวขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองหนิงเทียนด้วยซ้ำ น้ำเสียงที่มันใช้แสดงออกถึงความเบื่อหน่าย
“ถ้าต้องการซื้อจงแสดงทรัพย์สิน แต่ถ้าต้องการขายอย่าได้ปกปิดใบหน้าเช่นพวกโจร รีบถอดหมวกออกซะ!”
“ข้าไม่ต้องการซื้อ และ ไม่ต้องการขาย ข้าต้องการมาเบิกเงิน จงไปเรียกผู้จัดการร้านมาคุยกับข้า” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยเสียงทุ้มต่ำจิตสังหารจางๆถูกปล่อยออกมาให้เข้ากับตัวตนที่มันแต่งมา
ชายชราเงยหน้าขึ้นด้วยความรำคาญ ขณะที่มันกำลังจะกล่าวไล่ลูกค้าไล่มารยาทคoนี้ออกไป มันพลันสังเกตเห็นถึงป้ายเหล็กที่หนิงเทียนวางกระแทกกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
มันมองไปยังป้ายเหล็กครั้งแรกก่อนมันจะยกสองมือขึ้นมาขยี้ตา พร้อมกับการมองออกไปเป็นครั้งที่สอง ดวงตาของมันเปิดกว้าง ลูกคิดที่กำลังดีดอยู่นั้นถูกปัดลงใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมันยืนตัวตรง สองมือกุมไปที่ขากางเกงทั้งสองข้างด้วยความเคารพ มันกล่าวออกด้วยเสียงตื่นตระหนก “ผู้...ผู้อาวุโส กรุณารอสักครู่ ผู้น้อยจะรีบไปตามผู้จัดการมาโดยเร็ว” เมื่อจบคำชายชราผู้นั้นวิ่งเข้าไปด้านในโดยทันที
มู่เสวี่ยมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่งุนงง สองตาของนางมองไปยังป้ายเหล็กที่หนิงเทียนวางไว้บนโต๊ะและกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย “อาจารย์นั้นมันคือป้ายอะไรกัน มันคล้ายกับป้ายเทพท่องนภาของข้าหรือไม่?”
หนิงเทียนยิ้มออกเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ป้ายเก่าๆของข้าไหนเลยจะเทียบเท่ากับป้ายที่สั่งเป็นสั่งตายของเจ้าได้ละ ป้ายของข้ามีไว้เพื่อแลกเงินเท่านั้น”
ทิ้งเวลาไม่นาน ผู้จัดการสาขารีบร้อนออกมาจากห้องเพื่อมาพบกับหนิงเทียนโดยเร็ว มันก้มหัวลงพร้อมกล่าวออก
“ท่านลูกค้าผู้มีเกียรติขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอ ไม่ทราบว่าท่านสามารถให้ข้าน้อยดูป้ายเหล็กนิลกาฬอีกครั้งได้หรือไม่?”