บทที่ 113 ไม่มีใครสั่งสอนเจ้า?
เมื่อเยี่ยจางกล่าวจบมันเดินออกมาจากกลุ่มของพวกมัน จากนั้นมันปลายสายตากลับไปยังพวกพ้องทั้งสามก่อนจะหันไปกล่าวกับจี้ซวนว่า
“ท่านขุนพล เจ้าเด็กคนนี้มีความสามารถเพียงแค่เข้าใจในการใช้พิษเท่านั้น มันไม่สามารถทำอะไรข้า ที่ฝึกทักษะกายาภูผาทมิฬได้ พวกท่านรีบไล่ตามนางนั้นไปเถอะ ข้าเชื่อว่าปลายทางของนางนั้นคือกลุ่มหลักของพวกมัน”
เยี่ยเจาได้ยินดังนั้นมันรีบกล่าวเสริมขึ้นมา “ใช่แล้ว กายาภูผาทมิฬของพี่ชายข้า เป็นทักษะเดียวกันกับที่กระเพาะเหล็กตี้หูใช้สร้างชื่อในพื้นที่ราบภาคกลาง
มันสามารถกินพิษเป็นอาหาร และใช้พิษที่ได้รับมาเป็นตัวช่วยในการยกระดับทักษะให้สูงขึ้น ฉะนั้นเจ้าเด็กที่พึ่งแต่วิชาพิษไม่ใช่คู่มือของพี่ชายข้าอย่างแน่นอน ท่านขุนพลที่ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านพี่เถอะ พวกเรารีบไปตามล่าหนูกันเถอะ”
จี้ซวนพยักหน้า พร้อมกล่าวกำชับแก่เยี่ยจาง “จงจับเป็นมาให้ข้า ความตายนั้นสบายไปสำหรับสารเลวเช่นมัน” กล่าวจบพวกมันทั้งสี่พุ่งร่างไปตามทางที่หมิงหยูได้หลบหนีไป
เมื่อได้ยินคำสั่งของขุนพลอัคคี เยี่ยจางยิ้มออกก่อนจะหันไปทางหนิงเทียน มันกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “เจ้าเด็กน้อย รีบๆเข้ามาสะ!! ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้าไปมากกว่านี้
นางผู้หญิงที่ชื่อหมิงหยูนั้นกำลังรอพวกข้าอยู่ เจ้าอย่าทำให้เวลาสนุกของข้าต้องเสียไป”
หนิงเทียนที่ได้ยินการสนทนาของพวกมัน คิ้วทั้งสองข้างของหนิงเทียนเริ่มที่จะขมวดเข้าหากัน ใช่แล้วสำหรับการต่อสู้ในสนามรบเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายมักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ถ้าพวกมันแยกตัวออกเป็นสองกลุ่มแล้วละก็เรื่องราวคงจะยุ่งยากมากกว่านี้เป็นแน่ คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนจึงปรับอารมณ์ลงพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมาเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลากับมดปลวกเช่นพวกเจ้านัก ข้าไม่จำเป็นต้องใช้พิษให้เปลือง เพียงแค่กระบวนท่าง่ายๆสักสองสามกระบวนก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารมดตัวเล็กๆเช่นเจ้า”
ดวงตาของหนิงเทียนกลายเป็นเยือกเย็น จากนั้นมันพุ่งร่างออกมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเยี่ยจาง ต่อมาหนิงเทียนยกกระบี่พิรุณโปรยขึ้นสูงและฟันมันลงมาในแนวทแยง
“เจ้าเด็กน้อย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” เยี่ยจางกล่าวออกอย่างดุร้าย ดวงตาของมันเต็มไปด้วยจิตสังหาร
มันยกมือเปล่าของมันขึ้นมาป้องกันกระบี่ที่หนิงเทียนฟาดลงมา ทันใดนั้นเองท่อนแขนของเยี่ยจางขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติและพลันเปลี่ยนสีเป็นสีดำสนิท
เคร้งง!! ประกายไฟจากการปะทะของกระบี่พิรุณโปรยและท่อนแขนของเยี่ยจางรุกขึ้นสว่างวาบไปทั่วทั้งบริเวณ มุมปากของเยี่ยจางยกขึ้นสูง จากนั้นมันเหยียบพื้นพุ่งร่างออกไป กำปั้นสีดำของมันโจมตีไปยังหนิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด
ทั้งสองปะทะกันอยู่หลายกระบวนท่า ด้านของเยี่ยจางค่อยๆรุกไล่หนิงเทียนทีละคืบกำปั้นสีดำหลายสิบกำปั้นปรากฎซัดออกใส่หนิงเทียนประดุจทะเลคลื่นอันบ้าคลั่ง
ทักษะต่อสู้หมัดดาราปลิดชีพ บวกกับทักษะระดับปราชญ์ขั้นสูงอย่างกายาภูผาทมิฬ ด้วยสองสิ่งนี้ มันเพียงพอที่จะบอกได้ว่าเยี่ยจางคนนี้แข็งแกร่งกว่ารองแม่ทัพอย่างจี้ซูที่หนิงเทียนได้สังหารไปมากมายนัก
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามทีแม้ตัวของหนิงเทียนเองจะถูกรุกไล่อยู่นั้น ภายในใจของมันบังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอันมาก บัดนี้แค่เพียงร่างกายของมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับระดับครึ่งก้าวสู่ดินแดนวีรชนได้อย่างไม่เป็นรอง
นี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครหน้าไหนจะทำได้เหมือนเช่นตัวของมัน หนิงเทียนรู้ดีว่าด้วยทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์ ในภาพที่สองภาพแปดตะวันดาราอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้สร้างปาฎิหาริย์มากถึงเพียงนี้
มันจะต้องประกอบกับทักษะกายาเทพอสูรที่บิดาสามได้สั่งสอนเข้าด้วยกัน ถึงจะแสดงอานุภาพท้าท้ายสวรรค์และแข็งแกร่งดุจปาฎิหาริย์เช่นนี้ได้
การต่อสู้ดำเนินผ่านไปราวๆ สิบกระบ่วนท่า ใบหน้าของเยี่ยจางบิดเบี้ยวจนผิดรูปไป มันฉุกคิดถึงความเป็นจริงที่ว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามันคือผู้พิการไร้ซึ่งลมปราณ แต่แล้วเพราะอะไรกัน
เจ้าเด็กนี่ถึงสามารถต่อสู้กับมันได้อย่างสูสีเช่นนี้ มันเป็นตัวอะไรกันแน่ ทักษะใดกันที่มันฝึกฝนมา คำถามมากมายปรากฏขึ้นในหัวของเยี่ยจางอย่างบ้าคลั่ง
หนิงเทียนเล็งเห็นว่าเยี่ยจางกำลังสับสนอยู่ภายใน ใช่แล้วสมาธิของเยี่ยจางกำลังค่อยๆลดน้อยลง เมื่อได้เห็นดังนั้นแล้วมีหรือที่หนิงเทียนจะปล่อยเรื่องพวกนี้ให้ผ่านไปได้
มันรีบกล่าวออกหมายจะสร้างความสับสนภายในใจของเยี่ยจางให้เพิ่มมากขึ้น
“ภายในใจของเจ้ากำลังเกิดคำถามมากมายเช่นนั้นสินะ อย่าได้สงสัยไป ข้านั้นเพียงแค่ต้องการฝึกฝนกายาของตัวเองเท่านั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่สามารถใช้ออกด้วยลมปราณได้
เปล่าเลยเจ้ากำลังคิดผิด ถ้าข้าใช้ลมปราณช่วยส่งเสริมกระบวนท่าออกไปแม้แต่น้อย เจ้าควรที่จะรู้ถึงผลของมัน แม้แต่กระบวนท่าเดียวเจ้าก็ไม่สามารถตั้งรับข้าได้แน่นอน”
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากของหนิงเทียนแล้ว มันยิ่งเติมเต็มความมั่นใจของเยี่ยจางมากขึ้นไปอีก ภายในจิตใจของเยี่ยจางสั่นไหวอย่างรุนแรง ความสิ้นหวังถาโถมเข้าสู่ดวงตาของมัน
จิตใต้สำนึกของมันร่ำร้องให้หนีไป ถ้าเด็กหนุ่มตรงหน้ามันเกิดเบื่อแล้วใช้ลมปราณเข้าต่อสู้กับมันละก็ แสงตะวันในวันพรุ่ง ตัวมันก็ไม่มีสิทธิ์ได้เห็น
เมื่อจิตใจไม่สงบช่องว่างขนาดใหญ่จากกระบวนท่าที่เยี่ยจางใช้ออกเริ่มที่จะปรากฎให้เห็นอยู่หลายจุด การรุกคืบของเยี่ยจางหยุดลงอย่างไม่มีสาเหตุ
จากที่เคยรุกไล่อย่างโหมกระหน่ำ เวลานี้กลับหยุดลงราวกับร่างของมันกำลังถูกเคือบด้วยชั้นของน้ำแข็ง ช่องว่างในการป้องกันของเยี่ยจางแผ่วลงไปพร้อมกับจิตใจที่กำลังสับสน
หนิงเทียนไม่รีรอมันฉวยจังหวะเพียงชั่วลมหายใจแทงกระบี่พิรุณโปรยเข้าไประหว่างช่องว่างลมปราณที่ไร้ซึ่งการป้องกัน
ซวบ!!! กระบี่ของหนิงเทียนเสียบเข้าไปตัดขั้วหัวใจของเยี่ยจางอย่างง่ายดายมันรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้เยี่ยจางได้แสดงสีหน้าและความรู้สึกสุดท้ายเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นหนิงเทียนไม่รอช้า มันกระฉากกระบี่ออกมาอย่างไร้ซึ่งความปราณีพร้อมกล่าวกับร่างที่ไร้วิญญาณของเยี่ยจางว่า “ไม่มีใครสอนไว้หรือไงว่า เวลาต่อสู้อย่าได้ฟังคำยั่วยุของศัตรู”
กล่าวจบหนิงเทียนยกขาก้าวข้ามร่างไร้วิญญาณของเยี่ยจางไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จากนั้นมันรีบพุ่งร่างไล่ตามหลังกลุ่มของจี้ซวนไปโดยเร็ว
ห่างออกไปไม่ไกลจากตำแหน่งที่หนิงเทียนอยู่มากนัก มันเกิดการปะทะกันอย่างบ้าคลั่งของผู้ฝึกตนในดินแดนแห่งวีรชน หมู่พฤกษาและก้อนหินผาในบริเวณนั้นกระจัดกระจายพังทลายออกไม่เป็นชิ้นดี
“โจรปีศาจเฉียนหยา ข่าวลือที่ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บนั้นเห็นทีจะเป็นกับดักที่กองโจรพิทักษ์ฟ้าสร้างขึ้นมาสินะ”
จี้ซวนกล่าวออกขณะที่สองมือของมันแทงหอกอัคคีเทพอาวุธลมปราณในระดับวีรชนในมือของมันเข้าใส่เฉียนหยาราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ
มันรุกไล่เฉียนหยาให้ถอยหลังไปทีละก้าว สองก้าว บัดนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นแผ่นหลังของเฉียนหยาจะจนมุมกับหน้าผาขนาดใหญ่ที่ตั้งปิดกั้นเส้นทางถอยของมัน
เฉียนหยามองไปยังจี้ซวนด้วยสายตาเย็นชา แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป ภายในแววตาของมันส่ออาการเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
แม้มันจะรับมือขุนพลอัคคีอยู่ตรงนี้ แต่กลุ่มของศัตรูยังมีผู้ฝึกตนในระดับครึ่งก้าวสู่แดนปราชญ์อีกถึงสามคน ที่กำลังไล่ตามกลุ่มของหลี่เฟิงอยู่
เวลานี้เฉียนหยาทำได้เพียงแต่ภวนาให้พวกของหลี่เฟิงหลบหนีไปให้พ้นจากเงื้อมมือของกองกำลังอัคคีโดยปลอดภัย
ด้วยจิตใจที่ทั้งกังวลและต้องพะวงกับการต่อสู้ตรงหน้านั้น ทำให้จี้ซวนที่มีระดับบ่มเพาะเท่ากันกับมันเป็นฝ่ายรุกไล่อย่างต่อเนื่อง
ซวบ!!! ทันใดนั้นหอกอัคคีเทพ แทงทะลุไหล่ขวาของเฉียนหยาจนเกิดเป็นรูขนาดเท่ากำปั่นอย่างน่าหวาดกลัว
เฉียนหยาอาศัยพละกำลังของมันกระชากร่างของตัวเองออกจากหอกอัคคีเทพโดยเร็ว เวลานี้ใบหน้าครึ่งคนครึ่งสัตว์ของเฉียนหยาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“โจรปีศาจ ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่ในขั้นที่7เหมือนกัน แต่จิตใจของเจ้าจะต้องสงบลงให้มากกว่านี้ ถึงจะพอเป็นคู่มือของข้าได้” จี้ซวนกล่าวออกอย่างหยิ่งผยอง
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนจับจ้องซึ่งกันและกันอยู่นั้น เสียงระเบิดดังออกมาจากอีกฝากที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เฉียนหยาอยู่มากนัก
ได้ยินเสียงระเบิดดังนั้นมุมปากของจี้ซวนยกยิ้มขึ้นสูง “ดูเหมือนว่าเด็กๆของข้าจะพบเจอหนูสี่ตัวที่หลบหนีไปได้แล้ว เช่นนั้นพวกเรามาจบเรื่องนี้กันเสียทีโจรปีศาจ เฉียนหยา”
สิ้นเสียงของมัน ทวนอัคคีเทพในมือของจี้ซวนส่องแสงสีแดงเป็นประกาย เวลานี้หอกอัคคีเทพของจี้ซวนมีทั้งพลังและความเร็วมากกว่าปกติถึงสามเท่า
“นี้คือทักษะต่อสู้ระดับปราชญ์ขั้นสูงที่ข้าไม่เคยใช้มันกับใคร เจ้าจะเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสมัน กระบวนท่า เส้นทางแห่งอสรพิษ”สิ้นคำกล่าวของจี้ซวน
ร่างของมันกลายเป็นประกายไฟสีแดงพุ่งตัดอากาศและเข้าโจมตีใส่ร่างของเฉียนหยอย่างรุนแรง มันคล้ายกับอสรพิษนับร้อยตัวถูกปลดปล่อยออกจากที่ขุมขัง ไม่นานนักรูโหว่เล็กค่อยๆปรากฏตามร่างของเฉียนหยา
มันค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นจนเวลานี้ถ้าปลายตามองด้วยตาเปล่าก็สามารถนับได้ถึงสิบกว่ารูแล้ว
ขณะนี้โลหิตของเฉียนหยาไหลออกมาราวกับประตูเขื่อนที่แตกออก ดวงตาของมันแดงก่ำ มันพยามรีดลมปราณในร่างของมันออกมาราวกับว่านี้เป็นการใช้พลังออกครั้งสุดท้าย
ร่างกายครึ่งสัตว์ของเฉียนหยาขยายใหญ่ขึ้น มันบีบบังคับกล้ามเนื้อในร่างของมันให้ขยายออกเพื่อที่จะปิดรูโหว่ที่เกิดจากหอกอัคคีเทพจนหมดสิ้น
จากนั้นมันเปิดปากของด้วยเสียงอันดุร้าย“เข้ามาจี้ซวน ข้าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้หักแขนละขาของเจ้า เจ้าไม่มีวันตามลูกหลานของกองโจรพิทักษ์ฟ้าไปได้อย่างแน่นอน”
“หึ!! ถึงแม้เจ้าจะฝึกกายาคชสารจำศีลจนถึงระดับหลอมรวม แต่มันก็เป็นเพียงทักษะระดับปราชญ์ขั้นต่ำ
ไหนเลยจะเอามาเทียบกับทักษะบ่มเพาะหกอัคคีที่เป็นทักษะบ่มเพราะระดับปราชญ์ขั้นสูงที่ได้สืบทอดมาเฉพาะผู้มีสายเลือดหลักแห่งตระกูลจี้เท่านั้น”
“ก็แค่ทักษะของพวกที่ชอบเล่นกับไฟ มีอะไรให้น่าเอามาคุย” เสียงกล่าวอันเยือกเย็นดังออกมาจากมุมมืดของป่า
ไม่นานนักร่างของหนิงเทียนค่อยก้าวเท้าออกมาจากมุมมืดนั้น เมื่อหนิงเทียนเดินออกมาหยุดยืนด้านข้างระหว่างเฉียนหยาและจี้ซวนแล้วมันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จี้ซวน ถ้าเจ้ายอมถอยไปตอนนี้ ข้าจะลืมเรื่องที่เจ้าเคยสร้างความลำบากให้แก่ข้า แต่ถ้าไม่แล้วละก็ เวลาใดที่ข้าได้ของๆข้าคืนกลับมาเวลานั้นจะเป็นวันที่ตระกูลจี้แห่งเมืองจี้หลินล่มสลายไป”
แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกจะราบเรียบชวนฟังแต่ความหมายในคำพูดของหนิงเทียนนั้นแม้แต่เด็กห้าขวบได้ฟังยังต้องบังเกิดอาการขนลุกขึ้นด้วยความกลัว
“เจ้าหนุ่ม ข้าไม่รู้ว่าเจ้าซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง แต่ถ้าเจ้าจะสามารถทำได้ช่วยรีบรุดหน้าไปช่วยเหลือกลุ่มของหัวหน้าหลี่ด้วยเถอะ” เมื่อเฉียนหยาได้เห็นหนิงเทียนภายในใจของมันบังเกิดแสงแห่งความหวังขึ้นมา
มันหาได้สนใจสถานการณ์ของตัวมันเองไม่ มันมีเพียงสิ่งที่กำลังรบกวนสมาธิของมันอยู่คือความปลอดภัยของหัวหน้ากองโจรพิทักษ์ฟ้าอย่างหลี่เฟิง
เวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าของจี้ซวนกลายเป็นแข็งค้างและซีดลง มันไม่ได้พุ่งตัวเข้าโจมตีเฉียนหยาต่อแต่อย่างใด มันเพียงแค่หันไปด้านหลังเมื่อพบว่าทุกอย่างเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงก้าวเดินของคน
มันจึงกล่าวถามด้วยเสียงต่ำ “เยี่ยจางไปไหน แล้วเจ้ารอดจากน้ำมือของเยี่ยจางมาได้อย่างไร”
แม้ปากของมันจะกล่าวถามออกเช่นนั้นแต่ภายในใจของมันนั้นรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่ลูกน้องคนสนิทของมันจะไม่มีลมหายใจต่อไปแล้วมีมากกว่า9ใน10ส่วน
“เหตุใดถึงถามคำถามที่เจ้าเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วเล่า” หนิงเทียนเปล่งเสียงกล่าวตอบอย่างไม่สนใจจากนั้นมันหันไปกล่าวกับเฉียนหยา
“ต่อให้ข้ารีบเร่งไปช่วยพวกเขาได้แล้วจะมีอะไรดีขึ้น ถ้าตัวเจ้าซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราพ่ายแพ้และตกตายด้วยน้ำมือของจี้ซวน สุดท้ายแล้วพวกข้าก็ไม่สามารถหนีพ้นจากน้ำมือของมันได้ในภายหลังอยู่ดี
และถ้าข้าทำตามที่เจ้าต้องการไม่ใช่ว่าเพียงแค่พยามจะยืดเวลาตายออกไปเท่านั้นหรือ?”
เมื่อเฉียนหยาได้รับฟังคำกล่าวของหนิงเทียนภายในใจของมันตกตะลึงถึงความคิดอ่านของเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
การคำนวณถึงความเป็นไปได้จากผลต่อเนื่องของการกระทำ นี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถฝึกฝนหรืออ่านจากตำราได้แน่ ถ้ามันผู้นั้นไม่ได้มีประสบการณ์และความเยือกเย็นในการพินิจสถานการณ์และตัดสินใจอย่างเฉียบคม
“เจ้าหนุ่มแล้วเจ้ามีแผนการอย่างไร”
คราวนี้หนิงเทียนใช้การกระซิบทางลมปราณแทนที่จะเปล่งเสียงออกมาเพื่อกันคนแอบฟัง“ข้าไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้นแหละ เวลานี้มันถึงคราวที่จะต้องใช้กำลังเป็นตัวตัดสินความเป็นความตายแล้ว
ทั้งเจ้าและมันอยู่ในระดับบ่มเพาะที่เท่าเทียมกัน จะเสียเปรียบก็แค่ทักษะที่มันฝึกมาดีกว่าเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น