ตอนที่แล้วบทที่ 111 หลบหนี 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 113 ไม่มีใครสั่งสอนเจ้า?

บทที่ 112 หลบหนี 2


กำลังโหลดไฟล์

หมิงหยูนำห่อโอสถที่ภายในบรรจุผงหมอกอัสดงขึ้นมา ก่อนจะหวนคิดถึงคำพูดของหนิงเทียนในยามก่อนที่พวกมันจะแยกกันทำหน้าที่ของแต่ละคนว่า

“นี้คือผงหมอกอัสดง ถ้าเจ้าพบเจอศัตรูให้โปรยผงนี้ขึ้นฟ้าในทันที และข้าจะรีบกลับไปช่วยเจ้า…ข้าจะรีบกลับไปช่วยเจ้า”

ด้วยคำกล่าวที่หนิงเทียนเคยกล่าวกับนาง ทำให้หมิงหยูถือผงหมอกอัสดงไว้แน่นและเตรียมที่จะใช้มันเป็นความหวังสุดท้าย

ขณะที่สองมือของนางกำลังสะบัดผงหมองอัสดงให้กระจายขึ้นทั่วฟ้า ฝ่ามืออันแข็งกร้านพุ่งตรงมาคว้าข้อมือของหมิงหยูไว้ราวกับคีมเหล็ก

“สาวน้อยเจ้ากำลังทำอะไร? ไม่ใช่ว่าห่อโอสถในมือเจ้าคือยาพิษหรอกหรือ?? ถ้าเจ้าตายไปแล้วข้าก็หมดสนุกแย่ละสิ”

“ปล่อยข้า!! เดรัจฉานปล่อยมือข้าเดียวนี้!!”หมิงหยูตะโกนใส่จี้จวงที่กำลังจับกุมมือของนางด้วยความเกลียดชัง

แม้จะถูกสตรีตรงหน้าก่นด่าอย่างหยาบคายแต่จี้จวงหาได้สนใจแม้แต่น้อย มันเพียงแต่หันไปกล่าวกับจี้ซวนว่า “ท่านขุนพล ข้าจับนางได้ตามคำสั่งของท่านแล้ว ฉะนั้นข้าขอ...”

ยังไม่ทันได้กล่าวจนจบประโยคดีนัก เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งผ่านระหว่างกลางร่างของหมิงหยูและจี้จวงไป มันหลงเหลือเพียงแค่สายลมเย็นๆที่ทิ้งไว้ให้แก่จี้จวงเท่านั้น

จากนั้นเงาสีดำพัดหอบร่างของหมิงหยูให้ลอยไปตามทิศทางเดียวกันกับร่างของมัน ระหว่างทางที่เงาสีดำล่องลอยผ่านไป ละอองเลือดจางๆสาดกระจายล่วงหล่นเป็นหยาดฝน

ดวงตาของจี้จวงเบิกกว้าง มันเหลือบมองไปยังข้อมือขวาที่เคยจับกุมแขนของหมิงหยูไว้ บัดนี้ข้อมือข้างนั้นถูกตัดขาดจนหายออกไปจากท่อนแขนของมันเรียบร้อยแล้ว

ทันใดนั้นเมื่อดวงตาของจี้จวงได้รับรู้ภาพ ความรู้สึกจากร่างพุ่งตรงเข้าสู่สมองส่วนในทันที ความรู้สึกเจ็บปวดสุดแสนทรมานแล่นไปทั่วทุกส่วนของร่างจนบังเกิดเสียงร้องโหยหวนอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ดังออกมา “อ๊ากกกกก”

ขณะเดียวกันหมิงหยูที่ถูกฉุดกระชากโดยเงาร่างสีดำนั้น นางพยามจับจ้องไปยังใบหน้าของเงาสีดำให้ชัดเจน ปรากฏเป็นใบหน้าที่ในช่วงสองสามวันมานี้นางได้คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

“ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าถ้าพบกับศัตรูเมื่อใดให้โยนผงหมอกอัสดงแจ้งให้ข้าได้รู้ทันที” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมสายตาที่มองไปยังกลุ่มของจี้ซวนอย่างเย็นชา

“เจ้า...เจ้ามาที่นี้ได้อย่างไร??”หมิงหยูกล่าวถามอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะด้วยเวลานี้ร่างของนางถูกโอบกอดด้วยสองมือของหนิงเทียน

“เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกเราจะหนีรอดไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรเสียมากกว่า”

สิ้นเสียงของหนิงเทียนมันออกแรงบิดร่างของหมิงหยูให้ไปอยู่ด้านหลัง ก่อนจะกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ข้านั้นได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบกับขุนพลอัคคีตัวจริงๆเสียที”

จี้ซวนมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาอันกราดเกรี้ยวจากนั้นมันสลับสายตาไปยังจี้จวงที่บัดนี้ความหวังลูกใหม่ของมัน กลับถูกทำให้กลายเป็นคนพิการเพียงชั่วพริบตาเดียว

“บัดซบ!! เป็นเจ้าสินะที่สังหารญาติผู้น้องของข้า และเวลานี้เจ้ายังกล้าทำร้ายลูกน้องคนสำคัญของข้าอีก สารเลววันนี้ถ้าข้าไม่ได้ฉีกร่างเจ้าออกเป็นชิ้นๆอย่าได้เรียกข้าว่าขุนพลอัคคีอีกเลย”

หนิงเทียนได้ยินดังนั้นมุมปากของมันยกยิ้มออกมาพร้อมกล่าวออกไป“ดี ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาเอง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกคนโง่เช่นเจ้าให้ยืดยาวอีก เข้ามาเลยจี้ซวน ข้าจะสอนถึงความกว้างของโลกใบนี้ให้เจ้าเอง”

เมื่อคำกล่าวที่ไร้ซึ่งความเคารพและเต็มไปด้วยคำดูถูกกระทบเข้ากับหูของจี้ซวนเส้นเลือดหลายสายปรากฎขึ้นบนหน้าผากของมันทันที มันคำรามออกมาเสียงดังพร้อมสั่งการทหารของมันให้เริ่มโจมตีทันที

เห็นดังนั้นหนิงเทียนกล่าวออกแก่หมิงหยูโดยเร็ว “เจ้าหนีไปก่อน ตอนนี้ไม่ต้องสนใจตำแหน่งใดๆอีกต่อไป ให้รีบหนีขึ้นไปรวมกลุ่มกับเฉียนหยาให้เร็วที่สุด

ถ้าเจ้ายังอยู่ นอกจากจะไม่ได้ช่วยทำให้ข้าสบายขึ้นแล้ว เจ้ายังทำให้ข้าลำบากมากกว่าเดิมเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอีก” กล่าวจบหนิงเทียนใช้มือซ้ายผลักร่างของหมิงหยูให้ถอยหลังห่างออกไป

หมิงหยูที่ได้ฟังดังนั้นสองขาของนางไม่สามารถก้าวออกได้โดยทันที นางเพียงแต่กล่าวออกมาอย่างวิตกกังวลว่า “เจ้า...เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้า ไม่ได้เด็ดขาด!!”

“นี้คือคำสั่งของผู้นำภารกิจ จงรีบหนีไปเดียวนี้”หนิงเทียนตวาดออกเสียงดัง เมื่อหมิงหยูได้ยินเสียงตวาดของหนิงเทียนดังก้อง นางไม่ลังเลที่จะหันหลังและพุ่งตัวออกตามคำสั่งของหนิงเทียนทันที

สำหรับตัวนางเองที่ทำภารกิจมานับสิบนับร้อยภารกิจ นางเข้าใจได้ดีว่า คำสั่งของหัวหน้าภารกิจสำคัญเพียงใด เมื่อนางฉุกคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงโยนความรู้สึกสับสนทิ้งไปและหลบหนีไปตามคำสั่งของหนิงเทียนโดยเร็ว

“คิดจะหนี มันไม่ง่ายนักหรอก” ทหารนายหนึ่งคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยามในการกระทำที่โง่เขลา

การที่คนๆหนึ่งจะหนีรอดไปจากกองทัพของขุนพลอัคคีที่กำลังลุมล้อมนับร้อยๆคนได้ ถ้ามีคนเช่นนั้นอยู่จริง ชื่อเสียงของกองทัพอัคคีคงไม่ขจรขจายไปทั้งสามเมืองใหญ่อย่างแน่นอน

“นั้นนะสิ ข้าเองก็คิดว่ามันไม่ง่ายนักหรอกที่จะหลบหนีไป” สิ้นคำกล่าวของหนิงเทียนกลิ่นหอมจางๆคละคลุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ

โดยเฉพาะรอบกายของทหารคนหนึ่งที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหามัน กลิ่นหอมนั้นแรงขึ้นเป็นพิเศษ เพียงสูดลมหายใจเข้าออกครั้งที่สามเท่านั้น

ร่างของทหารนายนั้นที่มีพลังฝึกตนอยู่ในแดนแห่งปราชญ์ขั้นต้นขยายใหญ่และผ่องตัวออกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

“นี้!! เจ้ากำลังทำอะไรกับข้า” ทหารที่เคยมีร่างผอมเพรียวกลับกลายเป็นอ้วนฉุกภายในเวลาไม่มีกี่ลมหายใจ แต่ร่างของมันไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้มันกลับขยายออกมากขึ้นและยิ่งมากขึ้น

จนในที่สุดร่างของทหารผู้นั้นระเบิดออกกลายเป็นน้ำพิษสีเขียว หยาดละอองน้ำพิษกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อมันตกกระทบกับผิวหนังของผู้ใด ความเป็นพิษของมันกัดกร่อนจนทำให้เกิดบาดแผลขนาดใหญ่เป็นวงกว้าง

จี้ซวนเห็นดังนั้นมันจึงรีบสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว “โลหิตมีพิษ พวกเจ้ารีบโคจรพลังปราณคุ้มครองร่างกายไว้ซะ”

สิ้นเสียงของจี้ซวนทหารของกองทัพอัคคีไม่ได้สนใจที่จะติดตามหนิงเทียนต่อแต่อย่างใด พวกมันทั้งหมดตั้งสมาธิและรีบโคจรพลังปราณปกป้องร่างของตนเองโดยเร็ว

เมื่อละอองพิษสีเขียวจางหายไปกับสายลมแล้ว ร่างที่เคยยืนอยู่ของหนิงเทียนหายวับไปดุจเมฆหมอก...

เมื่อจี้ซวนเห็นร่างของหนิงเทียนที่หายไป มันรีบสั่งการออกแก่ทหารทุกนาย “เจ้าเด็กนั้นเจ้าเล่ห์มาก พวกเจ้าจงเกาะกลุ่มกันไว้ ถ้าไม่มีคำสั่งของข้าอย่าได้เคลื่อนทัพไปไหนเด็ดขาด”

จากนั้นมันหันไปกล่าวกับทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างของมัน “หยงจาง หยงซู เยี่ยเจา เยี่ยจาง พวกเจ้าทั้งสี่ตามข้ามา”

“เดียวก่อนท่านขุนพล ข้าขอไปด้วยตามล่าเจ้าเด็กนั้นด้วย แค้นที่ถูกตัดข้อมือนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยมันผ่านไปเด็ดขาด”

จี้จวงกล่าวออกด้วยสายตาอาฆาตขณะที่มันใช้ความร้อนจากเปลวไฟปิดปากแผลในข้อมือด้านขวาเอาไว้จนไม่มีหยดเลือดไหลออกมาอีก

จี้ซวนได้ยินและเห็นถึงความมุ่งมั่นของจี้จวง มันจึงพยักหน้าเชิงอนุญาติ ตัวมันนั้นรู้ดีว่าถ้าจี้จวงไม่ได้สลัดปีศาจแห่งความแค้นที่กัดกินจิตใจออกไปได้แล้วเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของมันจะต้องพบเจอกับคอขวดอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อจี้ซวนได้สั่งการเสร็จสรรพแล้ว มันรีบพาคนของมันออกตามหนิงเทียนไปโดยเร็ว ในครั้งนี้มันเลือกใช้คนจำนวนน้อยแต่ง่ายต่อการสั่งการเพื่อจะออกตามล่าหนิงเทียน

ด้วยความเร็วเฉลี่ยของพวกมันที่อยู่ในดินแดนแห่งปราชญ์ขั้นที่9แล้ว กลุ่มของจี้ซวนจึงใช้เวลาไม่ถึง100ลมหายใจในการไล่ตามหนิงเทียนมาได้ทัน แต่นั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของหนิงเทียนเลยแม้แต่น้อย

“มาช้ากว่าที่ข้าคิดไว้เล็กน้อยแฮะ” หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่ตัวมันกำลังลบจิตสัมผัสปรับลมหายใจให้แผ่วเบาที่สุดและใช้มุมมืดของต้นไม้นานาชนิดเป็นที่หลบซ่อน

เมื่อกลุ่มของจี้ซวนก้าวเข้ามาถึงในบริเวณที่หนิงเทียนได้วางกับดักไว้ มันไม่รอช้าที่จะสะบัดกระบี่ตัดเชือกอันเป็นจุดเริ่มของแผนกลไกทั้งหมดทันที

กิ่งไม้ที่แหลมคมนับสิบๆท่อนพุ่งทะลุออกมาจากพุ่มใบไม้ที่หนาแน่น มันพุ่งไปหากลุ่มของจี้ซวนราวกับลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงออกจากคันศร

จี้ซวนดูไม่ได้สนใจกิ่งไม้ที่ถูกเหลาจนแหลมคมพวกนี้เลยด้วยซ้ำ จะมีเพียงแต่หยงจางและหยงซูสองคนที่ก้าวออกไปในทิศทางของเหลาไม้นั้น

หยงจางใช้ดาบทรงกลมฟันกิ่งไม้แหลมที่พุ่งเข้ามาออกเป็นสี่ส่วน ส่วนของหยงซูนั้นใช้เพียงแต่มือเปล่าเท่านั้นในการบดขยี้เหลาไม้แหลมออกเป็นสองส่วน

สองพี่น้องเยี่ยเจาและเยี่ยจางที่มองดู หยงจางและหยงซู จัดการกับกลไกเหลาไม้ของหนิงเทียนอย่างสบายๆ มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ไอ้เจ้าโง่นั้น คิดจะใช้กิ่งไม้ธรรมดาที่มีเพียงปลายแหลมคมในการสังหารพวกเรา ความคิดช่างตื้นเขินยิ่งนัก ท่านขุนพล ข้าว่าผู้ที่วางกับดักให้พวกเราวิ่งเต้นไปมาเห็นที่จะไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าโง่ผู้นี้แล้ว”

“สารเลว ยังไม่รีบออกมาให้ข้าได้ชำระแค้นอีก” จี้จวงตะโกนออกจนความเงียบของป่าช่วยส่งให้เสียงของมันดังขยายไปทั่วทั้งสี่ทิศ

“ชู่ !! ฟุบบ!! ชู่ เฟี้ยว!!!!....” เวลาเดียวกันกับเสียงตะโกนของจี้จวง กิ่งไม้ทั้งสี่ทิศสั่นไหวอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นหอกไม้แหลมทั้งสี่ก็พุ่งเข้าใส่ร่างของจี้จวงอย่างรุนแรง

จี้จวงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ต้องการสังหารข้าแต่ใช้เพียงเหลาไม้อย่างนั้นหรือ? น่าขัน”กล่าวจบมันใช้มือข้างซ้ายวาดออกเป็นวงกลม ปรากฏเปลวไฟสีแดงตัดผ่านกิ่งไม้เหล่านั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

หนิงเทียนเห็นดังนั้น มันจึงโผล่ร่างออกจากที่ซ่อนอย่างช้าๆและจับจ้องไปยังทั้งหกด้วยสายตาเย็นชา “คนตายไม่มีสิทธิ์ยืนพูดต่อหน้าข้า” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือปล่อยกลไกหอกไม้แหลมออกมาอีกครั้งหนึ่ง

แต่มันก็เป็นเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ เพียงกิ่งไม้ธรรมดาที่ถูกเหลาให้แหลมไหนเลยสร้างความหวาดกลัวให้แก่จี้จวงได้ คราวนี้มันใช้เพียงมือเปล่าคว้าจับไปยังหอกไม้แหลมที่หนิงเทียนปล่อยออกมา

จากนั้นเปลวไฟในมือของมันแผดเผากิ่งไม้จนสลายกลายเป็นขี้เถ้า พร้อมกันนั้นกิ่งไม้ที่เหลือแต่เพียงขี้เถ้าถูกสายลมชโลมพัดฟุ้งกระจายไปตามอากาศ

เมื่อเห็นภาพเช่นนั้นหนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา“ไอ้โง่เอ้ย...” สิ้นเสียงของหนิงเทียน ร่างของจี้จวงที่ถูกฝุ่นผงของขี้เถ้าลอยมาเกาะกุม มันแปรเปลี่ยนจากเขม่าสีดำค่อยๆกลายเป็นสีเขียวอย่างช้าๆ

จากนั้นจุดสีเขียวได้กัดกินร่างกายตามจุดต่างๆที่ร่างของจี้จวงได้สัมผัสกับขี้เถ้าเหล่านั้น

“อ๊ากกกกกกก!!!” ความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสนที่ต้องมองร่างกายของตนเอง ค่อยๆถูกกัดกินจนหายไป ภาพเช่นนั้นมันทำให้จี้จวงร้องออกมาดังคนเสียสติ

จี้ซวนมองไปยังร่างของจี้จวงด้วยใบหน้าถอดสี นั้นมันพิษอะไรกัน “เร็วเข้า ต่อหน้าเจ้าหนุ่มคนนี้ อย่าได้ประมาทเด็ดขาด พวกเจ้าจงโคจรพลังปราณคุ้มกายไว้ตลอดเวลา”

หยงซูกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงตกตะลึงขณะที่มันมองไปยังร่างกายที่ค่อยๆแหว่งออกและเป็นรูโหว่ของจี้จวง “ท่านขุนพลแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรกับเจ้าเด็กจี้จวง”

“เจ้าเด็กนั้นประมาทเอง ถึงทำให้ต้องพบจุดจบเช่นนี้พวกเราไม่มีทางไหนจะช่วยเขาจากพิษนั้นได้แล้ว มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ดวงวิญญาณของจี้จวงไปสู่สุขคติได้ คือการสังหารเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้ เซ่นวิญญาณของจี้จวงและจี้ซู”

ขุนพลอัคคี จี้ซวนกล่าวออกด้วยใบหน้าดุร้ายสองมือของมันกำแน่น มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าการเดินทางเข้าสู่ป่าวิญญาณอสูร

จะทำให้มันต้องสูญเสียรองแม่ทัพอันเป็นญาติผู้น้องของตัวมันซ้ำยังต้องสูญเสียผู้เยาว์ที่มีความสามารถในตระกูลไปอีกคน และทั้งหมดนี้มันเกิดจากคนเพียงคนเดียว คือเด็กหนุ่มตรงหน้ามัน

จี้ซวนจ้องมองไปยังหนิงเทียนราวกับว่าดวงตาของมันมีความสามารถในการกัดกินเลือดเนื้อของหนิงเทียนได้

หนิงเทียนยิ้มตอบสายตาอาฆาตของจี้ซวนพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าทั้งห้า สนใจจะเข้ามาพร้อมกันเลยก็ย่อมได้?”สิ้นเสียงของมัน หนิงเทียนตวัดกระบี่พิรุณโปรยลงกับพื้นจนบังเกิดเสียงตัดอากาศอันน่าหวาดกลัว

เยียจางปรายตามองและสำรวจไปทั่วร่างของหนิงเทียน จากนั้นมันกล่าวด้วยดวงตาที่หรี่แคบ

“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ว่าข้าจะมองยังไงมันก็เป็นเพียงผู้พิการลมปราณเท่านั้น หรือแม้มันจะปกปิดและกำลังหลอกลวงพวกเรา ถึงอย่างนั้นพลังของมันก็ไม่สมควรที่จะเกินดินแดนนักรบไปได้เด็ดขาด”

จากนั้นเยี่ยจาง จงใจเปล่งเสียงออกให้หนิงเทียนได้ยิน "แต่ว่าจากการกระทำที่เจ้าสามารถปั่นหัวของพวกเราได้นั้น ข้าสามารถบอกได้เลยว่าเจ้านั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญทางด้านโอสถ

แม้มันอาจจะทำใจให้เชื่อยากก็ตามที แต่ดีไม่ดีแล้ว ตัวเจ้าอาจจะเป็นถึงระดับจ้าวโอสถขึ้นไปด้วยซ้ำ เป็นอย่างไรเจ้าหนุ่ม สิ่งที่ข้าคาดเดาพอจะใกล้เคียงกับความลับที่เจ้าเก็บไว้หรือไม่ละ?”

เยียจางกล่าวออกเหมือนกับว่ามันสามารถมองทะลุไปยังตัวตนและก้นบึ้งของหนิงเทียนได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด