บทที่ 111 หลบหนี 1
เมื่อหนิงเทียนมาถึงสิ่งแรกที่มันทำคือการปลายตาสำรวจร่างของมู่เสวี่ย เมื่อพบว่านางไม่มีบาดแผลใดๆจึงหันไปกล่าวความออกแก่ทุกคน
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี้นานไม่ได้ อันตรายที่แท้จริงมันกำลังจะเริ่มขึ้น ข้านั้นได้คำนวณคราวๆดูแล้ว จากที่นี้จนถึงหมู่บ้านน้ำค้างขาวถ้าพวกเราเร่งกันเต็มฝีเท้าควรจะใช้ประมาณ8-9ชั่วยาม”
“อาจารย์พวกเราหลุดพ้นมาจากพวกมันได้แล้วเหตุใดท่านถึงบอกว่ามันพึ่งจะเริ่มเองละ” มู่เสวี่ยกล่าวถามอย่างสงสัย
หลี่เฟิงหรี่ตาลงแคบก่อนจะเอ่ยถามอย่างระวัง“ดูเหมือนว่าจุดหมายของพวกเราคือการออกจากป่าแห่งนี้ในเส้นทางเดินเข้าหมู่บ้านน้ำค้างขาว พี่ชายหยางท่านคิดว่าพวกมันจะล่วงรู้ถึงจุดหมายปลายทางของเราหรือ?”
“ไม่มีทางแน่นอนที่พวกมันจะล่วงรู้ถึงจุดหมายของเราได้แต่ทว่าภารกิจสุดท้ายของพวกเรา คือการทำให้พวกมันไล่ตามเราไปให้ได้
ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่สามารถรับประกันได้เลยว่า พวกมันจะเบนป้าไปยังกลุ่มของของซีหมินและเตี่ยชางตอนไหน และเจ้าอย่าได้ลืมว่าพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
อย่างน้อยการที่คนพวกนั้นจะออกจากป่าแห่งนี้ได้ต้องใช้เวลาถึง1-2วัน ถ้าพวกของจี้ซวนและหรงจื่อคิดจะเปลี่ยนแผนไล่ตามในตอนนี้ คงไม่ยากเกินความสามารถของพวกมันไปได้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน หลี่เฟิง เฉียนหยาและหมิงหยูเข้าใจในคำพูดของหนิงเทียนที่เคยกล่าวไว้ในตอนแรกทันทีว่า โอกาสเป็นและตายเท่ากันนั้นหมายถึงอะไร
หนิงเทียนไม่รอให้เสียเวลาอีกมันรีบกล่าวสั่งการออกโดยเร็ว “พวกเราทั้งห้า จะจัดขบวนให้คล้ายกับหัวของลูกศรโดยทิ้งระยะห่างจากกันราวๆ1ลี้
เฉียนหยาเจ้าอยู่ในตำแหน่งหน้าคอยนำทางพวกเรา ส่วนมู่เฉิงเจ้าคอยระวังทางด้านซ้าย ส่วนตัวข้าจะเป็นแกนกลางเพื่อที่จะประครองทั้งสี่ทิศ ในส่วนของขวาและท้ายสุด...”
หนิงเทียนหยุดคำพูดลงก่อนจะปลายตามองไปยังหมิงหยูและหลี่เฟิงพร้อมกล่าวขึ้นว่า “ตำแหน่งทั้งสองนี้ถ้าไม่คำนึงถึงฐานะของพวกเจ้าแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจ
และที่สำคัญตัวข้าเองก็ไม่ได้เป็นคนของกองโจรพิทักษ์ฟ้าเช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้ตัดสินใจกันเอง แต่จงจำไว้ว่า ผู้ที่รั้งท้ายจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับศัตรูมากที่สุด”
หลี่เฟิงและหมิงหยูได้ยินเช่นนั้น มันเข้าใจถึงคำพูดของหนิงเทียนได้เป็นอย่างดีว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งท้ายลูกศรจะเป็นตำแหน่งที่อันตรายที่สุด
และผู้ที่ดูแล้วจะเหมาะสมที่สุดคงจะเป็นหลี่เฟิงที่มีพลังในระดับครึ่งก้าวเข้าสู่แดนปราชญ์ แต่ครั้นจะให้ผู้ที่เป็นหัวหน้าของกองโจรพิทักษ์ฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดคงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องนัก
เมื่อหมิงหยูคิดได้เช่นนั้นนางจึงกล่าวอาสาตัวออกมาทำหน้าที่รั้งท้ายขบวนด้วยความกล้าหาญและไม่คิดเกรงต่ออันตรายใดๆ
“ไม่ได้เด็ดขาด หมิงหยูเจ้ามีพลังอยู่ในระดับดินแดนนักรบเท่านั้นถ้าเกิดศัตรูพบเจอเจ้าก่อนเกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสที่จะเอาตัวรอดได้ ฉะนั้นข้าเองจะรับหน้าที่คุ้มกันท้ายขบวนของพวกเราเอง”หลี่เฟิงกล่าวห้ามออกเสียงแข็ง
เฉียนหยาที่ยืนฟังตั้งแต่แรกเริ่มทุกประโยค มันระบายลมหายใจออกมาและกล่าวด้วยความรักความเอนดู
“ท่านหัวหน้า ให้นางรับหน้าที่นี้เถอะ นางได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วพวกเราอย่าได้ทำลายความเชื่อมันของนางเลย และที่สำคัญตัวท่านนั้นเป็นหัวหน้าของพวกเราทั้งหมด ท่านไม่อาจรับหน้าที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้เด็ดขาด”
“ท่านหัวหน้า ท่านอย่าได้ลืมว่าข้านั้นมีอาชามหาอสูรที่อดีตหัวหน้ามอบให้ไว้ ถ้าข้าเรียกมันออกมาแล้วละก็แม้แต่เตี่ยงชางและซีหมินเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”หมิงหยูกล่าวออกด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งยกมือที่ประดับด้วยแหวนผนึกอสูรสีทองขึ้นมา
เมื่อหลี่เฟิงได้ยินคำพูดของทั้งเฉียนหยาและหมิงหยู มันได้แต่หลับตาลงแล้วกำสองมือแน่นโดยไม่มีคำกล่าวใดหลุดออกมาเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่ามันเข้าใจในทุกสิ่งที่เฉียนหยาและหมิงหยูกล่าวมาดี แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ร้องดังอยู่ภายในใจคือคำกล่าวโทษตัวมันที่ไร้ซึ่งความสามารถ
หนิงเทียนมองไปยังหมิงหยูด้วยสายตาชื่นชมอยู่ไม่น้อย นางนั้นมีความกล้าและความซื่อสัตย์เป็นอย่างมากไม่สิต้องบอกว่ากองโจรพิทักษ์ฟ้าพวกนี้มีความกล้าและความซื่อสัตย์กันทุกคน
มันช่างเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาเหล่านั้นจะกลายมาเป็นทัพหน้าที่คอยบุกตะลุยชิงดินแดนทุกสารทิศของตระกูลซือหม่า
มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มออกมาพร้อมกล่าวต่อไปว่า “เมื่อพวกเจ้าตัดสินใจกันได้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ ระหว่างทางมานี้ข้าได้จงใจทิ้งร่องรอยให้พวกมันสืบหาทิศทางได้เจอ คาดว่าอีกไม่เกิน2ชั่วยามพวกมันจะไล่ตามเรามาถึงที่นี้”
เมื่อทุกคนได้ยินคำกล่าวเชิงคำสั่งของหนิงเทียน เฉียนหยาพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรกมันนั้นรู้ดีว่าที่หนิงเทียนสั่งให้มันอยู่ในตำแหน่งหัวลูกศรคือเพื่อสำรวจทิศทางและป้องกันอันตรายจากสัตว์อสูรลมปราณ
มู่เฉิงและหลี่เฟิงทั้งสองพุ่งร่างแยกออกจากกันไปในทิศทางตรงข้าม ซ้ายและขวานั้นจะเรียกว่าเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดก็ว่าได้ พวกมันทั้งสองมีหน้าที่สอดส่องความผิดปกติและอันตรายที่มาจากด้านข้างเท่านั้น
จากนั้นหนิงเทียนหันไปมองหมิงหยูก่อนจะโยนผงโอสถที่บรรจุในห่อกระดาษให้แก่นาง “นี้คือผงหมอกอัสดง ถ้าเจ้าพบเจอศัตรูให้โปรยผงนี้ขึ้นฟ้าในทันที และข้าจะรีบกลับไปช่วยเจ้า” กล่าวจบหนิงเทียนพุ่งร่างออกไป เป็นคนที่สี่
หมิงหยูที่ยืนรั้งเป็นคนสุดท้ายมองไปยังห่อโอสถในมือก่อนจะเก็บมันเข้าไปในชายเสื้อ นางรอเวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะพุ่งร่างออกไปเป็นคนสุดท้าย
ทั้งห้าคนทะยานตัวทิ้งระยะซึ่งกันและกันในรูปแบบการเคลื่อนที่ของหัวลูกศร พวกมันทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้าโดยมีการระวังอันตรายจากทั้งสี่ทิศ
หนิงเทียนนั้นคิดแผนการนี้ออกมาโดยหวังว่าถ้าเกิดเหตุที่เกินความคาดหมายจริงๆละก็การยอมเสียสละหนึ่งคนยังดีกว่าต้องตายกันทั้งห้าคน แต่นั้นก็เป็นความคิดส่วนลึกในใจเท่านั้น
มันไม่พูดออกมาให้คนอื่นได้ยินจนทำลายขวัญและกำลังใจอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปทั้งห้าต่างพากันหลบหนีไปตามทิศทางที่คดเขี้ยวของแม่น้ำและผืนป่าด้วยความเร็วเต็มพิกัด ในเวลานี้สีหน้าของทุกคนล้วนหนักอึ้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย พวกมันทุกคนนั้นรู้สึกได้ถึงเงามืดที่กำลังไล่ตามหลังมากลายๆ
เฉียนหยาที่เป็นผู้นำนั้นมีความชำนาญในพื้นที่แถวนี้ดีกว่าทุกคน ด้วยความชำนาญนับร้อยปีที่ได้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ของมัน จึงพาทุกคนหลบหลีกรังของสัตว์อสูรโดยมิได้บิดพ้นไปจากเส้นทางสายหลักที่พวกมันทั้งห้าต้องการมุ่งไปเลยแม้แต่น้อย...
ด้วยการนำทางอย่างชำนาญพื้นที่ของเฉียนหยา ทำให้ในสองถึงสามชั่วยามมานี้ กลุ่มของหนิงเทียนยังคงไร้ซึ่งอันตรายใดๆ แม้แต่สัตว์อสูรน้อยใหญ่ยังไม่ได้ให้ความสนใจกับกลุ่มของพวกมัน
เวลานี้ดวงตะวันดับแสงลงสู่พื้นเบื้องล่างทำให้ความมืดและความหนาวเย็นย่างกายเข้ามาทดแทน หนิงเทียนกำลังควบคุมการเคลื่อนที่ของคนทั้งห้าอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้าตึงเครียดบนใบหน้า
“คลื่นที่สงบมักจะมีพายุแอบก่อตัวอยู่เสมอ”ด้วยคำกล่าวที่มันใช้เตือนใจยามอยู่ท่ามกลางสนามรบนี้ ทำให้ช่วงเวลาอันเงียบสงบที่ชวนให้ผู้อื่นได้ผ่อนคลายกลับกลายเป็นเวลาที่ตึงเครียดที่สุดของหนิงเทียน
มันเพิ่มความระวังมากขึ้นเป็นสองเท่าโดยเฉพาะที่ด้านท้ายขบวนอันเป็นตำแหน่งของหมิงหยู
...
ระหว่างการเดินทางนั้น หูของหนิงเทียนกลับได้ยินเสียงจากที่ห่างไกลออกไป “ชู่!! เฟี้ยวว.!!!”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของมันหรี่แคบลงทันที เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ได้ดังมาจากทิศทั้งสี่ที่มันได้วางตำแหน่งของแต่ละคนไว้แต่อย่างใด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนิเทียนมั่นใจได้คือตำแหน่งทิศทางของเสียงนั้นดังออกมาจากด้านหลังของกลุ่มพวกมันอย่างแน่นอน คิดได้เช่นนั้นสองเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดอยู่กับที่ พร้อมกับร่างที่หันกลับไปในทิศทางด้านหลัง
...
ในเวลาเดียวกันนั้น จากป่าด้านหลังที่ห่างไกล มีเสียงพูดคุยดังออกมา กอปรกับเสียงของการง้างเกาทัณฑ์ และเสียงของลูกเกาทัณฑ์ที่พุ่งตัดอากาศ
“เฟี้ยววว!!!” “ฮู่วววว” มันปรากฏเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นมาจากฝีมือของมนุษย์ มันครอบคลุมพื้นที่ในป่าเป็นวงกว้าง
“ปัง ปังงงง กัก ...โคร่งงง!!! ฮู่ววว!!!...กุกกก....กัก ปังง!!!” เสียงของต้นไม้ระเบิดออก เสียงของเกาทัณฑ์กอปรกับเสียงร้องคนและสัตว์อสูรดังระงมออกมาจนไม่สามารถแยกจำนวนของพวกมันได้
ท่ามกลางเสียงดังนั้น ปรากฏเป็นร่างของสตรีนางหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับทหารในชุดเกราะสีแดงอยู่ เบื้องหน้าของนางนั้นมีอาชาสีดำทมิฬ ขนาดตัวของมันใหญ่โตกว่าที่อาชาทั่วไปจะเป็นได้
“อาชามหาอสูร!! ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีตัวเล็กๆที่มีพลังในดินแดนนักรบจะสามารถควบคุมอาชามหาอสูรที่ว่ากันว่ามันสืบเชื้อสายกลายๆมาจากสัตว์ในตำนานอย่างกิเลน” จี้ซวนในชุดเกราะสีแดงกล่าวออกขณะมองไปยังหมิงหยูอย่างไม่วางตา
“หึ เมื่อเจ้ารู้ถึงตัวตนของมันแล้ว ยังไม่รีบหนีไปก่อนที่ข้าจะสั่งให้มันกัดกินศีรษะของพวกเจ้าทั้งหมด” หมิงหยูกล่าวออกขณะที่นางหอบลมหายใจยาวเข้าไปในร่างด้วยความเหนื่อย
“ฮ่าๆ สาวน้อยถึงอาชามหาอสูรของเจ้าจะเป็นสัตว์ที่สืบสายพันธ์ชั้นสูงมาแต่มันก็เป็นเพียงแค่สายเลือดที่เจือจางเท่านั้น อีกทั้งพลังของมันยังเทียบเท่ากับแค่สัตว์อสูรลมปราณขั้นที่สองเท่านั้น
คำขู่ของเจ้านั้นหาได้มีใครในกองทัพของข้ากลัวมันแม้แต่น้อย” จี้ซวนกล่าวด้วยสายตาดุร้ายก่อนจะกล่าวต่อไป
“สาวน้อย เจ้าเองก็มีรูปร่างและหน้าตาที่งดงามอยู่ไม่น้อย ถ้าเจ้ายอมจำนนและพาพวกเราไปพบกับพวกของเจ้าที่หลบหนีอยู่ได้นั้น ข้าจะพิจารณาเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ของข้า
แต่ถ้าเจ้าปฎิเสธละก็เกรงว่าคืนนี้เจ้าอาจจะกลายเป็นสาวอุ่นเตียงให้ทหารในกองทัพของข้าทุกคน”
“เฮ้!!” ทหารในชุดเกราะแดงได้ยินดังนั้นมันตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “ท่านขุนพลจะมอบหญิงงามให้พวกเราได้เล่นสนุกกันทั้งกองได้”
“ท่านขุนพลจงเจริญ ท่านขุนพลจงเจริญ” เสียงของทหารโห่ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แววตาของพวกมันนับร้อยจับจ้องไปยังหมิงหยูด้วยความหื่นกระหาย
ความกระหายอยากในอารมณ์ทำให้พวกมันลืมเลือนความน่ากลัวของอาชามหาอสูรไปจนหมดสิ้น
หมิงหยูมองไปยังทหารเกราะแดงด้วยสายตาดูถูก ก่อนผิวปากส่งสัญญาณให้อาชามหาอสูรเคลื่อนไหวออก ร่างอันใหญ่โตของมันบดขยี้ไปยังทหารคนแล้วคนเล่าอย่างโหดร้าย
ทหารหนุ่มในชุดเกราะสีแดงนายหนึ่งเห็นเช่นนั้นมันจึงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮา หญิงสาวนางนี้ช่างป่าเถื่อนจริงๆ เข่นฆ่าพี่น้องของพวกเราไปมากเช่นนี้ เห็นทีว่าจะให้ตายง่ายๆไม่ได้เสียแล้ว”
มันกล่าวออกพร้อมกับใช้สายตาที่เปี่ยมด้วยตัณหามองไปยังหมิงหยู จากนั้นมันกล่าวออกแก่หัวหน้าของมัน
“ท่านขุนพล ท่านได้กล่าวไปแล้วห้ามกลับคำเด็ดขาด” กล่าวจบทหารผู้นั้นเปล่งพลังในแดนแห่งปราชญ์ขั้นปลายออกมาและพุ่งร่างเข้าใส่อาชามหาอสูรโดยเร็ว
“จี้จวง!! ระวังด้วย อาชามหาอสูรตัวนั้นไม่ใช่สัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2ทั่วไป”จี้ซวนตะโกนเตือนความคะนองของทหารหนุ่มผู้นั้น
“ไม่มีปัญหาท่านขุนพล แต่ถ้าท่านจะนำนางมาให้พี่น้องของเราเสพสมละก็ ข้าขอเป็นคนแรกแล้วกันฮ่าๆ” มันกล่าวกับจี้ซวนจบ มันหันไปหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์กับหมิงหยู “ข้าอยากเห็นร่างของเจ้าภายใต้เสื้อผ้านั้นจริงๆ”
ปัง!!! ฝ่ามือที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงเข้าปะทะกับร่างของอาชามหาอสูรอย่างรุนแรง การปะทะกันครั้งนี้มันสร้างความตกตะลึงให้แก่หมิงหยูและทหารนายอื่นๆมาก
เพราะภาพที่เกิดขึ้นทำให้สายตาทุกคู่ได้เห็นคือการที่ มนุษย์ตัวจ้อยกำลังผลักร่างของอาชาตัวมหึมาให้เซถอยไปด้านหลังด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
“เจ้านั้น สามารถฝึกทักษะฝ่ามือ6อัคคีได้ถึง อัคคีขั้นที่5แล้ว มันนับเป็นอัจฉริยะของตระกูลจี้จริงๆ”จี้ซวนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา
จากนั้นจี้จวงที่กำลังลุกไล่อาชามหาอสูรอยู่ มันกางสองมือออกจากกัน เปลวเพลิงสีแดงโหมกระหน่ำบนฝ่ามือทั้งสองของมันจากนั้นมันวาดมือทั้งสองข้างมาบรรจบกันหอกเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกจากสองมือที่กำลังประสานกันอยู่
“นั้นมัน ทักษะระดับปราชญ์ขั้นสูง หอกอัคคีผลาญฟ้า เจ้าเด็กนั้นทำให้ข้าต้องประหลาดใจจริงๆ”
จี้ซวงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถึงแม้มันจะเสียรองแม่ทัพอย่างจี้ซูไปแต่สำหรับความจริงที่ว่าคลื่นลูกเก่าไล่คลื่นลูกใหม่เสมอนั้นก็ไม่ทำให้มันต้องผิดหวัง
วันนี้มันได้เห็นความสามารถของจี้จวงผู้เป็นหลานชายของมันเต็มสองตาแล้ว อนาคตอีกไม่ไกลตำแหน่งรองแม่ทัพจะต้องตกเป็นของจี้จวงผู้นี้แน่นอน
เวลาเดียวกันขณะที่หอกอัคคีผลาญฟ้าของจี้จวงพุ่งทะลุร่างของอาชามหาอสูร ใบหน้าของหมิงหยูซีดขาวลงในทันทีพร้อมกับลมหายใจอันรวยรินของอาชามหาอสูร
นางรีบสะบัดมือนำอาชามหาอสูรกลับเข้าแหวนมิติอสูรโดยเร็ว เมื่อไร้ซึ่งอาชามหาอสูรแล้วตัวนางก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่แม้แต่ผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์ก็สามารถเอาชนะนางได้
เวลานี้ดวงตาของนางปิดลงพร้อมกลับล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหมายจะหยิบมีดสั่นขึ้นมาปลิดชีวิตของตัวเอง แต่สิ่งแรกที่นางค้นเจอก็คือห่อโอสถที่หนิงเทียนเคยให้ไว
และด้วยความมั่นใจในตัวเองกอปรกับการไม่เชื่อมั่นในตัวของหนิงเทียนมากนักทำให้หมิงหยูนั้นลืมเลือนว่าตัวเองมี ห่อโอสถนี้ไปทันที ...