ตอนที่แล้วบทที่ 109 เริ่มการสังหารหมู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 111 หลบหนี 1

บทที่ 110 จุดไฟในใจ


กำลังโหลดไฟล์

“เจ้ากล่าวผิดแล้ว ที่ข้ามีความมั่นใจไม่ใช่เพราะวารีน้อยในมือ แต่ที่ข้าก้าวเข้ามาด้วยความมั่นใจเป็นเพราะว่าพวกเจ้ามันอ่อนแอก็เท่านั้นเอง” หนิงเทียนกล่าววาจายั่วยุออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อชายร่างผอมได้ยินเช่นนั้น ภายในใจของมันไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด มันกลับถูกโทสะและความโลภเข้าครอบงำ

มันหัวเราะออกเสียงดังก่อนจะกระชับง้าวในมือแน่น พร้อมกันนั้นมันสั่งการให้ทหารทุกนายตั้งขบวนทัพล้อมรอบหนิงเทียนเอาไว้

หนิงเทียนไม่ได้สนใจทหารที่กำลังรายล้อมมันแม้แต่น้อยในหัวของหนิงเทียนคิดออกเพียงเรื่องเดียวว่า จับโจรต้องจับที่ตัวหัวหน้า

เมื่อคิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนถีบพื้นพุ่งตัวออกฝ่าวงล้อมของทหารไปโดยเร็วเป้าหมายของมันมีเพียงอย่างเดียวคือต้องปลิดชีวิตชายร่างผอมผู้นี้ให้ได้โดยเร็ว

แม้ทุกถ้อยคำที่หนิงเทียนกล่าวออกจะเต็มไปด้วยความมั่นใจและรอยยิ้มก็ตามทีแต่สำหรับตัวมันในเวลานี้

หนิงเทียนเข้าใจดีว่าการที่จะเอาชนะผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์มากมายถึงสิบกว่าคนอีกทั้งยังมีชายร่างผอมที่เหลืออีกเพียงครึ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนวีรชน คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

และยิ่งถ้าพวกมันต่อสู้อย่างระวังและรัดกุมด้วยแล้วการจะสังหารพวกมันทั้งหมดให้ได้ก่อนที่ทัพของขุนพลอัคคีจะกลับมานั้นเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เองหนิงเทียนจึงจงใช้กระบี่พิรุณโปรยและจงใจแสดงให้เห็นถึงความสามารถของอาวุธที่มีจิตวิญญาณโดยหวังที่จะใช้ความโลภในใจของพวกมันกระตุ้นให้พวกมันมีความคิดที่จะเริ่มโจมตีเข้ามา

และสุดท้ายพวกมันก็เป็นดังเช่นที่หนิงเทียนหวังไว้ คราวนี้รอยยิ้มที่มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มออกด้วยความอำมหิต

หนิงเทียนคิดถึงผลได้ผลเสียของการใช้เพลงกระบี่สังหารเทพอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนใจ ‘แม้กายาเทพอสูรกอปรกับม้วนภาพ8ตะวันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกายา

แต่ก็ยังไม่มีอะไรรับประกันได้อยู่ดีว่าร่างกายของข้าจะทนทานแรงสะท้อนของ13กระบี่สังหารเทพได้’ เมื่อคิดได้เช่นนี้มันจึงร่ายรำและใช้ออกด้วยเพลงกระบี่ตัดชีพจรของตระกูลมู่

หนิงเทียนฟาดฟันกระบี่ออกไปในอากาศนับสิบๆครั้ง เพียงไม่นานนักรังสีกระบี่อันหนาวเย็นกลายเป็นตาข่าย ครอบคลุมพื้นที่รอบๆตัวของชายร่างผอม จากนั้นตาข่ายที่เกิดจากรังสีกระบี่นับสิบสายค่อยๆพุ่งเข้าโจมตีเพื่อสังหารศัตรู

เวลาเดียวกันชายร่างผอมที่กำลังถูกความโลภครอบงำจิตใจ มันพุ่งร่างเข้าใส่หนิงเทียนอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆภาพตรงหน้าของมันกลับปรากฎเป็นตาข่ายเงินขนาดเท่านิ้วมือขยายออกและพุ่งเข้าหามันโดยไร้ซึ่งทางหนี

ชายร่างผอมเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกตะลึง ใบหน้าของมันซีดขาวลง แม้ว่ามันจะใช้ง้าวของมันฟาดฟันออกสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถที่จะตัดตาข่ายสีเงินที่เกิดจากรังสีกระบี่นั้นได้เลย

บัดซบ!! นี้มันอะไรกัน เจ้าเด็กไม่มีพลังปราณจริงๆหรือ ด้วยความตกใจชายร่างผอมรีบโคจรปราณอัคคีในร่างของมันออกมาเป็นเกราะป้องกัน

ด้วยทักษะบ่มเพาะเส้นปราณโลกันต์อันเป็นทักษะเฉพาะที่ตกทอดกันมาในตระกูลผู้ปกครองเมืองอย่างตระกูลจี้ เพียงพริบตาเดียวร่างของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน อุณหภูมิรอบๆตัวบิดเบี้ยวด้วยไอของความร้อน

เมื่อตาข่ายสีเงินเข้าปะทะกับเกราะไฟ มันระเบิดออกเสียงดัง ตูมม!!!

ชายร่างผอมนั้นพุ่งร่างลงพื้นด้วยบาดแผลจากรอยของกระบี่นับสิบแห่ง มันหอบหายใจยาวพร้อมกับมองไปยังร่างของหนิงเทียนด้วยดวงตาตกตะลึง “มัน..มันหายไปไหน!!!!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีเงาร่างของหนิงเทียนปรากฏอยู่ด้านหลัง จิตสังหารที่หนิงเทียนปล่อยออกมานั้นกดร่างของมันให้ทรุดลงกับพื้น จากนั้นหนิงเทียนบรรจงใช้กระบี่พิรุณโปรยเสียบเข้าไปที่ท้ายทอยของชายร่างผอม

ซวบ!!! เสียงของกระบี่แทงทะลุผ่านลำคอดังออกอย่างน่าสยดสยอง ชายร่างผอมร่างสั่น เลือดสีแดงเข้มทะลักออกมาจากลำคอประดุจแอ่งน้ำพุสายใหม่

มันพยามยกสองมือขึ้นมาจับกุมไปที่ลำคอแต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ความพยายามสุดท้าย เมื่อหนิงเทียนกระชากกระบี่ออกสองมือของมันก็ต้องตกลงไปพร้อมกับวิญญาณที่สลายออกจากร่าง

ทหารในชุดเกราะสีแดงได้เห็นภาพตรงหน้าเต็มสองตา มันตะโกนร้องออกด้วยความหวาดกลัว“ท่านจี้ซู .... ท่านจี้ซู”

หนิงเทียนใช้เสื้อของชายร่างผอมแทนผ้าในการเช็ดโลหิตก่อนจะกล่าวออกมา“อ่อ ที่แท้เจ้าก็ชื่อจี้ซูเองสินะ” กล่าวจบหนิงเทียนปลายตามองไปยังทหารที่ลุมล้อมตัวมันพร้อมกับสะบัดกระบี่อีกครั้ง

มันไม่สนใจคำร้องขอชีวิตใดๆจากทหารเกราะแดงที่ไร้ซึ่งจิตสำนึกในการต่อสู้ สภาพศพของแต่ละคนนั้น ยิ่งมองดูยิ่งอนาถใจ

หมิงหยูที่มองดูการกระทำของหนิงเทียนทุกๆขั้นตอน ภายในใจของนางบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที “นี้มันไม่ใช่การกระทำของมนุษย์แล้ว มันเป็นการกระทำของปีศาจเสียมากกว่า”

เมื่อหนิงเทียนทำลายซากศพของทหารนับสิบๆชีวิต มันไม่ลืมที่จะตัดคอของจี้ซูและวางไว้ที่หน้าประตูทางเข้า จากนั้นมันเปล่งเสียงเรียกสติของหมิงหยูก่อนจะกล่าวออกมา

“จะเอาแต่มองอยู่ทำไม มาช่วยกันละเลงเลือดให้ทั่วบริเวณ เรามีเวลาอีกไม่มากนักก่อนที่กองทัพหลักของพวกมันจะกลับมา”

“ป่าเถื่อน เจ้าสังหารพวกมันแล้วเหตุใดถึงต้องย้ำยี่ศพของพวกมันถึงเพียงนี้” หมิงหยูกล่าวถามอย่างไม่เต็มเสียงนักแม้พวกมันจะเป็นศัตรูกันแต่การกระทำเช่นนี้นับว่าโหดร้ายเกินไปจริงๆ

หนิงเทียนปลายสายตาที่คมเช่นดาบไปทางหมิงหยูพร้อมกล่าวออก “เจ้าคิดว่าข้ากำลังเล่นอยู่? เจ้าจะยืนดูเฉยๆก็ตามใจ แต่ถ้ากองทัพของขุนพลอัคคีกลับมาจงแน่ใจได้เลยว่าข้าจะทิ้งเจ้าแล้วเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว”

แม้จะเป็นคำพูดที่ธรรมดาแต่ด้วยน้ำเสียงของหนิงเทียนเวลานี้มันเยือกเย็นชวนให้หมิงหยูรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

นางรู้สึกว่าแขนขาของตัวเองเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง จากนั้นจึงกล่าวถามออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก “ข้า..ข้าต้องทำอะไรบ้าง?”

“เจ้านั้นเป็นโจรที่ชอบยั่วยุอารมณ์ผู้คนไม่ใช่หรือ? เจ้าคิดว่าต้องทำให้ค่ายของมันเป็นอย่างไรถึงจะยั่วยุอารมณ์ของขุนพลอัคคีได้จนถึงขีดสุดละ”

ได้ยินคำพูดของหนิงเทียนหมิงหยูปลายตามองไปยังที่พักของผู้ฝึกตนนิกายเคลื่อนเมฆาก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย“แล้วเราไม่ต้องจัดการพวกนั้นด้วยหรือ?”

ทั้งนิกายเคลื่อนเมฆาและกองทัพอัคคีทั้งสองล้วนเป็นศัตรูของกองโจรพิทักษ์ฟ้า แต่ด้วยการกระทำของหนิงเทียนนั้นดูเหมือนว่ามันจะมีความแค้นฝังลึกกับคนของกองทัพอัคคีเสียมากกว่า

“ไม่จำเป็นปล่อยให้พวกมันนอนไปอย่างนั้นแหละ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกมันทั้งสองกลุ่มกลับมาและได้เห็นสภาพของทั้งสองค่ายที่แตกต่างราวกับว่าพวกมันได้ไม่ตั้งอยู่ข้างๆกัน”

หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่มันตวัดกระบี่แยกชิ้นเนื้อของทหารผู้หนึ่งออกจากกันเป็นห้าส่วน

หมิงหยูได้ยินเช่นนั้นนางเข้าใจถึงเจตนาของหนิงเทียนทันที “หรือว่าท่านต้องการจุดไฟให้ขุนพลอัคคี จี้ซวนบังเกิดความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวของนิกายเคลื่อนเมฆา....”

หนิงเทียนใช้เพียงรอยยิ้มแทนคำตอบ จากนั้นมันและหมิงหยู ทั้งคู่ใช้เวลาในการละเลงโลหิตจนทั่วค่ายของกองทัพอัคคีอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นหนิงเทียนยกศีรษะขึ้นมาพร้อมมองออกไปในทิศทางตรงกันข้าม ก่อนจะรีบหันไปกล่าวกับหมิงหยู “แค่นี้ก็พอแล้ว พวกเรารีบออกจากที่นี้กันเถอะ ข้ามีลางสังหรณ์ใจแปลกๆ” กล่าวจบหนิงเทียนไม่รอช้า มันรีบพุ่งร่างออกไปทันที

หมิงหยูเห็นเช่นนั้นนางเก็บความสงสัยและพุ่งร่างตามติดไปทันที ระหว่างทางนั้นหมิงหยูได้กล่าวถามขึ้นมา “เจ้าบอกว่าเรามีเวลาราวๆ1เค่อเหตุใดถึงต้องรีบร้อนเช่นนี้”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่สัญชาตญาณของข้ามันบอกว่าให้รีบออกมาไม่เช่นนั้นจะต้องพบเจอกับเรื่องปวดหัวแน่นอน”หนิงเทียนกล่าวตอบโดยไม่สนใจที่จะหันไปมองแม้แต่น้อย

ได้ฟังคำบอกเล่าของหนิงเทียน หมิงหยูอดไม่ได้ที่จะอุทานซ้ำออกมา“แค่เพียงสัญชาตญาณเนี้ยนะ”

ดวงตาของหนิงเทียนหรี่ตาลงพร้อมปลายตามองไปยังหมิงหยูและกล่าวออกด้วยเสียงเย็น “ในอดีตเพราะสัญชาตญาณที่ไม่มีเหตุผลนี้ละทำให้ข้ารอดชีวิตจากคมดาบมานับสิบนับร้อยครั้ง”

“เห๊อะ ถ้ามองยังไงตัวเจ้าก็มีอายุไม่เกิน16-17ปีเท่านั้น หรือว่าเจ้ากำลังจะบอกข้าว่า เจ้านั้นสู้รบตั้งแต่อายุ5ขวบกันละถึงได้ผ่านคมดาบมานับร้อยๆครั้ง”หมิงหยูกรอกตาไปมาและกล่าวล้อเลียนออกมา

“ลืมมันไปเสียเถอะ คำพูดของคนโง่มักจะมีแต่ลมเท่านั้นที่ออกมาจากปาก” กล่าวจบหนิงเทียนเพิ่มความเร็วพร้อมกับทะยานร่างไปข้างหน้า

“เดียวรอข้าด้วย” หมิงหยูร้องเรียกเสียงดัง .....

.......

...........

เวลาเดียวกันภายใต้ที่ตั้งค่ายของกองกำลังอัคคี จี้ซวนที่ได้รับสัญญาณจากจี้ซู มันรีบนำกำลังคนกลับมาทันที แต่ภาพตรงหน้าที่มันได้พบเห็นนั้น ถึงกับทำให้เส้นโลหิตบนหน้าผากของมันปรากฏออกมาหลายสาย ดวงตาที่มองกลับไปยังค่ายของมันแดงก่ำไปด้วยสีของโลหิต จี้ซวนกวาดสายตาไปรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่หน้าประตูทางเข้าและสิ่งที่มันได้เห็นต่อมาคือ ศีรษะญาติผู้น้องของตัวมัน ใช่แล้วมันคือศีรษะที่ปราศจากร่างกายของรองแม่ทัพ จี้ซู

เมื่อจี้ซวนได้เห็นเต็มสองตา มันคำรามออกมาด้วยโทสะที่สูงเสียดฟ้า “เดรัจฉานตัวไหน เป็นเดรัจฉานตัวไหนที่กล้าทำเช่นนี้”

ขณะที่จี้ซวน กำลังคำรามออกโดยโทสะ ทหารนายหนึ่งที่ได้ล่วงเข้าไปสำรวจภายในค่ายได้วิ่งออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมคุกสองเข่ารายงานออกด้วยน้ำเสียงหวาดวิตก “ระ...เรียนท่านขุนพล พี่น้องของเราเกือบยี่สิบชีวิต มะ...ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว ระ...ร่างของพวกเขาแต่ละคน” กล่าวถึงตรงนี้ทหารนายนั้นกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังก่อนจะกล่าวต่อไป “ไม่มีร่างใดที่ถูกแยกออกน้อยกว่า5ส่วนเลยขอรับ”

“บัดซบ!!!!” จี้ซวนคำรามก้องไปด้วยพลังอำนาจของผู้ฝึกตนดินแดนวีรชนขั้นปลาย ไม่รู้ว่าด้วยเสียงคำรามของจี้ซวนหรือฤทธิ์ของโอสถที่หนิงเทียนได้วางไว้คลายลง ทำให้ผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆาตื่นจากหลับไหลและวิ่งออกมาตามเสียงคำรามที่ดังขึ้น

เมื่อมันเห็นจี้ซวนแล้ว คนของนิกายเคลื่อนเมฆารีบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตร“ท่านขุนพลอัคคีมีเรื่องอันใดกัน?”

จี้ซวนปลายตามองไปยังคนของนิกายเคลื่อนเมฆา มันกล่าวถามออกด้วยเสียงเย็น “ค่ายของพวกเจ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วหรงจื่อไปไหน”

“เอ๋? นายน้อยหรงจื่อนำกำลังออกไปสำรวจพื้นที่ยังไม่กลับมาและค่ายของพวกเราปกติดีทุกอย่าง แม้แต่ยุงสักตัวก็ไม่สามารถเข้ามาได้เด็ดขาด” ผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มมันจะกล้าบอกคนนอกไปได้อย่างไรว่าเมื่อครู่นี้ตัวมันแอบงีบหลับไปตื่นหนึ่ง

เวลานี้ใบหน้าของจี้ซวนดำมืดมันกล่าวออกด้วย เสียงอันเย็นเฉียบจนหนาวไปถึงกระดูก“แล้วพวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงดังหรืออะไรที่ผิดแปลกในค่ายของข้าเลยหรือ?”

“ไม่มีแน่นอน ท่านขุนพลอัคคี ทุกอย่างเงียบสงบแม้แต่เสียงร้องของสัตว์อสูรก็ยังไม่ดังให้ได้ยินเลยแม้แต่ตัวเดียว หรือว่าทหารของท่านแอบจัดงานเลี้ยงร่ำสุรากันในเวลากลางวันแสกๆไม่…ไม่คงไม่ใช่แน่นอน ถ้าเป็นจริงละก็พวกข้าคงต้องได้ยินเสียงบ้างแล้วละ” ผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

เมื่อจี้ซวนเห็นรอยยิ้มและคำตอบอย่างสบายๆ ยิ่งทำให้โทสะของมันมาคุขึ้นอย่างดุร้าย มันใช้ฝ่ามือตบไปยังใบหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นโดยไม่สนถึงภูมิหลังว่ามันจะเป็นคนของนิกายใด จากนั้นมันคำรามรอดลายฟันออกมา “บัดซบที่สุด!!!”

ทันใดนั้นร่างของผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆาที่กระเด็นออกด้วยแรงตบกลับเกิดประกายไฟล้อมทั่วร่าง จากนั้นร่างของมันก็ค่อยๆลุกลามไปด้วยไฟสีคราม มันกรีดร้องอย่างโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่ร่างของมันจะสลายหายไปเป็นขี้เถ้า

ภาพของกองขี้เถาขนาดเท่ามนุษย์กำลังถูกสายลมอ่อนๆชำระพัดพาไป มันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นบังเกิดอาการขนลุก ใบหน้าซีดขาวแม้แต่คนสนิทของจี้ซวนยังไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาแม้แต่น้อย การที่จี้ซวนบันดาลโทสะสังหารคนของนิกายเคลื่อนเมฆานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแต่อย่างใด

จากนั้นมันกล่าวต่อด้วยโทสะ“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจค่ายนี้อีกต่อไปจงใช้สุดกำลังตามรอยโจรชั่วพวกนั้นให้ได้ ข้าคิดว่าพวกมันคงจะหนีไปได้ไม่ไกล จำไว้ให้ดีไม่ว่าอย่างไรจะต้องลากตัวสารเลวพวกนั้นมาให้ข้าฉีกเนื้อให้ได้”

....

.......

บริเวณพื้นที่ ไม่ไกลจากทะเลสาบเขียวขจีมากนัก มู่เสวี่ยกำลังใช้ผ้าพันปิดรอยแผลจากคมกระบี่ให้แก่เฉียนหยาอย่างระมัดระวัง ท่าทางของนางเวลานี้เกือบที่จะเผยความเป็นสตรีออกให้มาทั้งหลี่เฟิงและเฉียนหยาได้เห็นแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าใบหน้าและน้ำเสียงของนางถูกหนิงเทียนเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์

ขณะที่หลี่เฟิงกำลังดูต้นทาง อย่างกระวนกระวาย “นี้ก็เกือบจะได้เวลานัดหมายแล้วเหตุใดพวกเขายังไม่มากันอีก” หลี่เฟิงยังไม่ทันกล่าวจบดี เสียงกู่ร้องอันเป็นสัญญาณที่ใช้กันระหว่างกองโจรพิทักษ์ฟ้าดังขึ้นมา

“นั้นมันเสียงของหมิงหยู พวกเขามาถึงแล้ว” กล่าวจบเฉียนหยากู่ร้องเป็นสัญญาณเรียกขานทันที เพียงไม่นานร่างของหนิงเทียนและหมิงหยูพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด