MDB ตอนที่ 20 การกลั่นเม็ดยา PART 1
เนื่องจากความประทับใจที่เปลี่ยนไปของหลู่เสี่ยวหยุน เธอจึงถอยห่างไปพร้อมกับจ้าวหยิงด้วยความกังวลว่าจะรบกวนหลินจิน ในขณะที่เขาฟื้นพลังจิตวิญญาณของเขา
ทางด้านหลินจิน เขาไม่ได้หมดพลังจิตวิญญาณไปทั้งหมด เขาเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท้ายที่สุด การโยนจิ้งจอกแดงที่ตัวไม่ใช่เบา ๆ ลงไปในสระน้ำอย่างต่อเนื่องทำให้แขนของเขาชา พลังจิตวิญญาณของเขาหายไปเพราะเขาช่วยจิ้งจอกแดงควบคุมจุดฝังเข็มของมัน
จิ้งจอกแดงนี้เป็นสายพันธุ์ที่หายากซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถบอกวิธีการวิวัฒนาการได้ แต่เนื่องจากพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษมีเทคนิคมากมายที่วางไว้ให้เขาเลือก
และเขาเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด
ซึ่งก็คือการใช้พลังจากสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในจิ้งจอกแดงตัวนี้ เพื่อช่วยในกระบวนการวิวัฒนาการของมัน
สายเลือดหลักที่จิ้งจอกแดงตัวนี้มีคือ 'จิ้งจอกภูเขาลาวา' นอกจากนั้นยังมีร่องรอยของสายเลือด 'จิ้งจอกวารีทานตะวัน' มันเป็นรายละเอียดที่ซ่อนไว้อย่างคลุมเครือและแน่นอนว่าหลู่เสี่ยวหยุนไม่รู้เรื่องนี้ แต่ด้วยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ความลับใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์วิเศษจะไม่ถูกเก็บเป็นความลับอีกต่อไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จิ้งจอกแดงนี้ได้รับการเลี้ยงโดยสิ่งของที่เสริมพลังธาตุไฟ อันที่จริงพลังของมันเพิ่มขึ้นแต่ด้วยสิ่งนี้ ทำให้สายเลือดอีกอันที่ซ่อนไว้ถูกระงับโดยไม่ได้ตั้งใจและด้วยสาเหตุดังกล่าว มันจึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นเมื่อต้องการจะยกระดับมัน
หากจะพูดตรง ๆ อย่างไร้ความปราณี หากพวกเขายังคงใช้วิธีเดิมต่อไป มันจะไม่ใช้เวลาเพียงแค่สามปีเท่านั้น แม้แต่หกปีก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้จิ้งจอกแดงวิวัฒนาการเพราะมันเป็นวิธีที่ผิด
เช่นเดียวกับการเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง หากเส้นทางผิดตั้งแต่แรก การเดินหน้าต่อไปก็จะไร้ประโยชน์เท่านั้น
ดังนั้น ด้วยการใช้พลังจิตวิญญาณของเขาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียน หลินจินช่วยให้จิ้งจอกแดงกระตุ้นและเสริมความแข็งแกร่งของสายเลือดจิ้งจอกวารีทานตะวัน สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการโยนสิ่งมีชีวิตลงไปในน้ำเพื่อดูดซับพลังงานจิตวิญญาณของน้ำ
น้ำไม่เคยเข้ากันได้กับไฟ แต่เมื่อหลินจินเปิดใช้งานจุดฝังเข็มในสัตว์วิเศษ มันก็เรื่องง่ายทันที จิ้งจอกแดงได้สะสมพละกำลังเพียงพอ และจากแผ่นหินของพิพิธภัณฑ์บอกหลินจินว่า เจ้าตัวเล็กได้กินอัญมณีล้ำค่าไปแล้ว นั่นคือ ‘เห็ดหลินจือไฟ’ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการวิวัฒนาการ
น่าเสียดายที่สิ่งนี้ทำให้โอกาสวิวัฒนาการของจิ้งจอกแดงต้องหยุดชะงัก ถ้ามันไม่มีสายเลือดจิ้งจอกวารีทานตะวันและถ้ามีคนมาช่วยควบคุมการไหลของพลังงานมาก่อนหน้านี้ มันคงจะมีวิวัฒนาการไปนานแล้ว
หลินจินจึงใช้ประโยชน์จากสภาพของสัตว์วิเศษและรวมเทคนิคที่ไร้สาระนี้เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับบุคคลภายนอก สิ่งที่เขาทำนั้นลึกซึ้งและเหนือจินตนาการของพวกเขา
หลังจากนั้นไม่นาน หลินจินก็ลุกขึ้นยืนจ้าวหยิงลากหลู่เสี่ยวหยุนไปหาเขาทันที
"ข้าแพ้แล้ว ข้าไม่ควรฟังข่าวลือและไม่เคารพท่าน ผู้ประเมินหลิน!”
หลู่เสี่ยวหยุนมีบุคลิกตรงไปตรงมาและสามารถปรับตัวภายใต้สถานการณ์ที่ผันผวน เธอเคยไม่เคารพต่อหลินจินแต่หลังจากที่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเขาแล้ว เธอไม่กล้าแสดงท่าทีอวดดีใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่เขาช่วยให้เธอพัฒนาสัตว์เลี้ยงของเธอ หลู่เสี่ยวหยุนรู้ว่าเธอเป็นหนี้ต่อหลินจินอย่างใหญ่หลวงแล้ว
หลินจินและปัดมันออกไป "ไม่เป็นไร ข้าไม่สนใจข่าวลือพวกนั้นและนี่เป็นเพียงงานง่าย ๆ!”
ความเฉยเมยของเขาทำให้เกิดความเคารพในหัวใจของหลู่เสี่ยวหยุนมากยิ่งขึ้น เธอรู้สึกถึงคลื่นแห่งความชื่นชมและสงสัยระหว่างผู้ประเมินเกากับผู้ประเมินหลินว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน?
อาจเป็นผู้ประเมินหลินเพราะผู้ประเมินเกาไม่สามารถยกระดับสัตว์เลี้ยงของเธอได้
หลินจินเหยียดฝ่ามือออก “ตอนนี้ข้าขอวิญญาณอสูรได้หรือไม่?”
หลู่เสี่ยวหยุนสงบสติอารมณ์จากฝันกลางวันของเธอและนำวิญญาณอสูรออกมาอย่างรวดเร็วโดยใช้มือทั้งสองข้าง
ด้วยเหตุนี้ ส่วนผสมในการผลิตเม็ดยาวิญญาณสุริยาจึงเสร็จสมบูรณ์
เมื่อจ้าวหยิงจำได้ว่าเธอยังไม่ได้เข้าเป็นศิษย์กับผู้ประเมินหลินอย่างเป็นทางการเลย เธอจึงถามอย่างคร่าว ๆ ว่า “ผู้ประเมินหลิน ข้าต้องการเป็นศิษย์ของท่านเพื่อเรียนรู้วิธีการประเมินสัตว์วิเศษจากท่าน”
หลินจินรู้ดีว่าการขอเป็นศิษย์หมายความอย่างอย่างไร มันเป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ประเมินฝึกหัด ไม่ว่าอย่างไร คำแนะนำของอาจารย์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเรียนที่จะมีคุณสมบัติสำหรับการสอบรับรองของผู้ประเมินสัตว์วิเศษ
ลองคิดดู ผู้ประเมินฝึกหัดส่วนใหญ่ในสมาคมนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวหน้าหรือผู้ประเมินทางการอื่น ๆ ส่วนหลินจินไม่มีศิษย์คนไหน ดังนั้นเมื่อมีคนเข้ามาหาเขา เขาก็เต็มใจที่จะยอมรับ ท้ายที่สุด การมีเด็กฝึกงานในสังกัดก็มีประโยชน์ ไม่เพียงแต่เงินเดือนของเขาจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เขายังสามารถได้รับวัสดุเพิ่มเติมอีกด้วย นอกจากนี้ ถ้าเขาขอทดสอบเลื่อนระดับเป็นระดับสอง การผลิตนักเรียนที่มีอำนาจจะเพิ่มตามอัตราความสำเร็จของเขา
ดังนั้น หลินจินจึงพยักหน้า จ้าวหยิงจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น หลู่เสี่ยวหยุนก็พูดว่า “ผู้ประเมินหลิน ขะ…ข้าอยากขอเป็นศิษย์ของท่านด้วย!”
เนื่องจากเธอตระหนักว่า หลินจินไม่ใช่ขยะตามข่าวลือ แต่กลับมีบุคลิกอันสูงส่งและมีความสามารถที่เหนือกว่าผู้ประเมินเกาอย่างมาก หลู่เสี่ยวหยุนจึงตัดสินใจขอเป็นศิษย์เช่นกัน
ที่สำคัญกว่านั้น เธอได้ยินจากจ้าวหยิงว่าผู้ประเมินหลินไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียว ผู้เชี่ยวชาญอย่างเขาไม่ควรถูกฝังอยู่ภายใต้การดูหมิ่นทั้งที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้นด้วยบุคลิกที่ร้อนแรงของหลู่เสี่ยวหยุนที่ชิงชังต่อความอยุติธรรม เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนความสนใจจากผู้ประเมินเกามาเป็นผู้ประเมินหลินแทน
ตอนนี้มีคนเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับเขา หลินจินก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
เขารีบพาทั้งสองคนไปที่สมาคมเพื่อลงทะเบียน กระบวนการของจ้าวหยิงนั้นเรียบง่ายเพราะเธอไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ประเมินคนใดเลย ส่วนของหลู่เสี่ยวหยุนนั้นซับซ้อนกว่าเล็กน้อย แต่มันเป็นแค่เรื่องของพิธีการเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หลินจินจึงมีนักเรียนอยู่ใต้ปีกของเขา ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการประเมินหรือการปรึกษาหารือ เขาสามารถพาลูกศิษย์ไปด้วยและพวกเขาสามารถทำงานธรรมดา ๆ แทนเขาได้
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้หลินจินได้สั่งให้เด็กผู้หญิงนำเตาหลอมอัดเม็ดมาให้เขาเพื่อทำการกลั่นเม็ด
“ผู้ประเมินหลิน ท่านต้องการกลั่นเม็ดยาหรือเจ้าคะ?” หลู่เสี่ยวหยุนตกใจ
นี่เป็นเรื่องปกติเพราะการกลั่นเม็ดยานั้นยุ่งยากและน่าเบื่อ คนในสมาคมส่วนใหญ่ทำแต่การอัดเม็ดเท่านั้น แม้แต่ผู้ประเมินเกาก็ไม่ทราบวิธีกลั่นเม็ดยา มีเพียงหัวหน้าที่อยู่ในระดับสองเท่านั้นที่รู้วิธีการ ถึงแม้ว่าเขาจะทำมันเป็นครั้งคราวเท่านั้น
"ถูกต้อง ข้าต้องการกลั่นเม็ดยา เจ้าสามารถเอาเตาหลอมมาให้ข้าได้หรือไม่?” หลินจินเป็นคนยากจนดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นเจ้าของเตาหลอม
จ้าวหยิงก็ไม่มีเช่นกันแต่หลู่เสี่ยวหยุนมีพี่ชายที่น่าทึ่ง ดังนั้นงานนี้จึงขึ้นอยู่กับเธอ
“พี่ชายของข้ามีเตาหลอม เดี๋ยวข้าจะไปเอามันมา” หลู่เสี่ยวหยุนรับงานนี้อย่างเต็มใจ ตอนนี้หลินจินเป็นอาจารย์ของเธอแล้ว ทำไมเธอถึงต้องหลบเลี่ยงงานที่อาจารย์ให้มา?
ในชั่วพริบตา หลู่เสี่ยวหยุนไปและกลับมาพร้อมกับเตาหลอม
เตาหลอมมีราคาแพงเนื่องจากผลิตจากวัสดุการผลิตหายาก สำหรับหลู่เสี่ยวหยุนที่จะเป็นคนใจกว้าง ทำให้หลินจินรู้สึกขอบคุณ หลังจากครุ่นคิด เขาก็หยิบพู่กันและเขียนรายงานการประเมินสัตว์วิเศษให้หลู่เสี่ยวหยุน
“นี่คือรายงานการประเมินของเสี่ยวหูงั้นหรือเจ้าคะ?” ขณะที่หลู่เสี่ยวหยุนอ่าน เธอกลายเป็นใบ้ทันที ความปั่นป่วนของเธอเพิ่มขึ้นเมื่อเธออ่านต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเธออ่านเสร็จแล้ว หลู่เสี่ยวหยุนก็โค้งคำนับหลินจินทันที
ความสำคัญของรายงานนี้มันมากเกินไป
รายงานนี้ไม่เพียงแต่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสายเลือดที่ซ่อนเร้นของเสี่ยวหูเท่านั้น แต่ยังระบุความเจ็บป่วยที่ซ่อนอยู่ภายในอีกด้วย ยังมีวิธีการเลี้ยงดู วิธีการเพิ่มศักยภาพของจิ้งจอกแดงและยิ่งไปกว่านั้น รายงานได้รับระบุใบสั่งยาที่เหมาะสมอีกด้วย สามารถพูดได้เลยว่า แม้แต่หัวหน้าหวังจีก็ไม่สามารถเขียนรายงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้
หลู่เสี่ยวหยุนเข้าใจราคาของรายงานการประเมินนี้ มันมีค่ามากกว่าวิญญาณอสูรที่เธอให้ไปอย่างไม่มีขอบเขต ดังนั้นโดยรวมแล้ว เธอคือผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้
นับจากนี้เป็นต้นไป หลินจินจะเป็นบุคคลต้นแบบของเธอ
ตอนนี้เขามีเตาหลอมแล้ว หลินจินก็เดินทางตรงไปยังพื้นที่ที่เงียบสงบในสมาคม มีสถานที่ลึกลับตั้งอยู่ที่นี่ เขาไปตามถนนที่คดเคี้ยว ผ่านกำแพงความร้อน ประตูหินก็โผล่ออกมาให้เห็น
ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตูพร้อมกับสัตว์วิเศษ กิ้งก่าไฟขนาดยักษ์นอนอยู่ข้าง ๆ
หลินจินทักทายชายชรา “ผู้เฒ่าโม!”
สมาคมประเมินสัตว์วิเศษของเมืองเมเปิ้ลมีผู้อาวุโสสามคนและผู้เฒ่าโมเป็นหนึ่งในนั้น เขาดูแลสถานที่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของสมาคม นั่นคือสายธารวิญญาณแห่งอัคคีและปฐพี
ผู้เฒ่าโมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้า “หลินจิน เจ้ามาที่นี่เพื่อขอยืมเปลวเพลิงจากพื้นพิภพเพื่อฝึกฝนสัตว์วิเศษของเจ้าอย่างงั้นหรือ?”
คุณสมบัติสัตว์เลี้ยงธาตุไฟสามารถปรับปรุงได้ดีขึ้นในสถานที่ที่มีพลังงานจิตวิญญาณแห่งอัคคีหนาแน่น หลินจินมาสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ แต่เสี่ยวฮั่วทำให้เขาผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า มันดูดซับวิญญาณแห่งอัคคีเพียงเล็กน้อยทุกครั้งที่พวกเขามาเยือน
หลินจินส่ายหัว “ข้ามาที่นี่เพื่อขอยืมเปลวเพลิงเพื่อกลั่นเม็ดยาขอรับ”
“กลั่นเม็ดยา?” ผู้เฒ่าโมเบิกตากว้าง หลังจากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าหลินจินก็ถือเตาหลอมมาด้วย ผู้เฒ่าโมตอบอย่างโกรธเคืองทันที “เจ้าควรจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นเดียวกับการประเมินสัตว์วิเศษ การกลั่นเม็ดยาไม่สามารถเชี่ยวชาญได้ภายในวันเดียว เจ้าไม่เคยรู้จักการอัดเม็ดยามาก่อนด้วยซ้ำแต่เจ้ากลับข้ามขั้นตอนไปกลั่นเม็ดยาเลย ช่างเปล่าประโยชน์อะไรอย่างนี้!”
หลินจินยังคงให้ความเคารพ “ข้าแค่พยายามเรียนรู้ ข้าหวังว่าผู้เฒ่าโมจะอนุญาตข้า”
ผู้ที่ศึกษาการอัดเม็ดยาย่อมต้องผ่านกระบวนการนี้ พวกเขาไม่ได้กลั่นเม็ดยาจริง ๆ เพียงแต่ทำความคุ้นเคยกับกระบวนการและการควบคุมเปลวไฟ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่คำขอที่แปลก
ดังนั้นผู้เฒ่าโมจึงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก จากนั้นสัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา กิ้งก่าไฟขนาดใหญ่ มันเหวี่ยงหางของมันและเปิดประตูหิน หลินจินขอบคุณผู้เฒ่าโมอย่างรวดเร็วและเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อหลินจินเข้าไปข้างใน ผู้เฒ่าโมพึมพำกับตัวเองว่า “เขาเป็นคนหนุ่มนิสัยดีแต่ทักษะแย่มาก สัตว์วิเศษของเขาก็แย่พอกัน ช่างน่าเสียดายจริง ๆ”