MDB ตอนที่ 19 วิวัฒนาการอย่างแท้จริง
“แล้ววิญญาณอสูรล่ะ? ถ้าข้าชนะและเจ้าตัดสินใจกลับคำโดยบอกว่าเจ้าไม่มี เจ้าก็ได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเจ้าควรเตรียมของไว้ก่อนที่เจ้าจะมาหาเรื่องข้า สิ่งที่ข้าต้องการคือวิญญาณอสูรธาตุไฟที่มีระดับหนึ่งขั้นสูงเป็นอย่างน้อย หากเจ้าไม่มีมันก็ควรหยุดได้แล้ว มันเสียเวลาของข้า” หลินจินโบกมือให้เธอ
“ใครบอกว่าข้าไม่มี” เสี่ยวหยุนดึงเครื่องรางวิญญาณอสูรออกมา มันเป็นวิญญาณอสูร ระดับหนึ่งขั้นสูงและเป็นธาตุไฟ
มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ พี่ชายของหลู่เสี่ยวหยุนเพิ่งมอบวิญญาณอสูรนี้ให้เธอเมื่อวานนี้เพื่อให้เธอเพิ่มศักยภาพของจิ้งจอกแดงของเธอ สัตว์เลี้ยงของเธอก็บังเอิญเป็นธาตุไฟเช่นกัน
'เธอมีมันจริง ๆ ด้วย!'
หลินจินยิ้มในขณะที่เขาไม่สามารถต้านทานการถูมือของเขาด้วยกันได้ ด้วยวิญญาณอสูรนี้ เขาสามารถผลิตเม็ดยาวิญญาณสุริยาได้ เมื่อรวมกับผลึกวิญญาณอัคคี ด้วยของพวกนี้แม้แต่เจ้าหมาป่าศักยภาพต่ำอย่างเสี่ยวฮั่วก็สามารถพัฒนาได้ในที่สุด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินจินก็ยื่นมือไปทางสัตว์เลี้ยงของหลู่เสี่ยวหยุนทันที
"ไม่นะ!" จ้าวหยิงอุทานในขณะที่หลู่เสี่ยวหยุนมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของเธอ
สัตว์เลี้ยงของเธอไม่ใช่สายพันธุ์ปกติ พี่ชายของเธอได้เดินทางไปทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อค้นหาสัตว์วิเศษที่หายากตัวนี้ แม้จะมีขนาดที่เล็กแต่มีนิสัยก้าวร้าว แม้ว่ามันจะยังคงเป็นระดับหนึ่ง แต่มันก็สามารถยืนหยัดต่อสู้กับสัตว์วิเศษระดับสองได้
เนื่องจากชายผู้นั้นประเมินตัวเองสูงเกินไปโดยการยื่นมือโดยปราศจากความยินยอมของหลู่เซี่ยวหยุนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ แถมหลู่เสี่ยวหยุนยังสะบัดเหรียญตราสัตว์วิเศษทองสัมฤทธิ์ออกทันที เรียกคาถาและสั่งให้สัตว์เลี้ยงของเธอโจมตี มันจะกัดเข้าไปในแขนของชายคนนั้น ฉีกแขนเสื้อของเขาเป็นชิ้น ๆ และปล่อยให้เขาอับอายขายหน้าต่อสาธารณชน
เมื่อจิ้งจอกแดงได้รับคำสั่งเช่นนั้น ขนของมันก็แหลมขึ้น มันย่นจมูก แยกเขี้ยวและส่งเสียงคำรามเบา ๆ
เมื่อแขนของหลินจินลอยอยู่เหนือจิ้งจอกแดงและลงไปที่ศีรษะของมัน
ไม่มีการต่อต้าน ไม่มีการโจมตีที่รุนแรง ไม่มีแม้แต่การหลบหลีก
เจ้าจิ้งจอกแดงซุกหัวของมันเข้าไปในมือของหลินจินเพื่อให้เขาลูบไล้ขนของมัน
*แกร๊ง!*
หลู่เสี่ยวหยุนปล่อยมือของเธอ ปล่อยให้เหรียญตราสัตว์วิเศษตกลงบนพื้นขณะที่เธออ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ เมื่อจ้าวหยิงมองดูเบื้องหน้า เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน ตอนเมื่อวานนี้ในหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง ชายคนนั้น เว่ยชางหยงดูเหมือนจะแสดงท่าทางเช่นนี้ด้วย
'นี่ข้ากังวลไปเพื่ออะไร ผู้ประเมินหลินเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นเขาจะไม่รู้ถึงอันตรายได้อย่างไร? ถ้าไม่มั่นใจเขาคงไม่ทำ ข้าต้องเลิกตกใจกับเรื่องทำนองนี้ได้แล้ว” จ้าวหยิงจดจำไว้ในใจ
ส่วนหลู่เสี่ยวหยุน เธอตกตะลึงอย่างแท้จริง
เธอชี้นิ้วที่สั่นคลอนไปที่หลินจินและพูดตะกุกตะกักว่า “จะ…เจ้าทำอะไรกับสัตว์เลี้ยงของข้า?”
หลินจินไม่ตอบ เขาปิดเปลือกตาของเขาลง แม้ภายนอก ดูเหมือนเขาจะคิดลึก แต่จริง ๆ แล้ว หลินจินกำลังอ่านคำแนะนำบนแผ่นหินของพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ
“นั่นสินะ อย่างนี้นี่เอง!” เมื่อเขาอ่านจบแล้ว เขาเปิดตาของเขาและลูบจิ้งจอกแดง จากนั้นเขาก็จับเจ้าสิ่งมีชีวิตที่หลังคอของมันแล้วโยนมันลงไปในสระข้าง ๆ
*ซู่ม!*
คลื่นน้ำกระเด็นออกมาจากร่างกายของเจ้าจิ้งจอก
"ไม่นะ!" หลู่เสี่ยวหยุนรู้สึกเจ็บปวด "เจ้ากำลังทำอะไรกับสัตว์เลี้ยงของข้า!?"
เธอกำลังจะเดินไปหาหลินจินเพื่อขอคำอธิบายจากเขา
จ้าวหยิงก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของเธอพยายามหยุดหลู่เสี่ยวหยุน แต่ทันใดนั้นเอง ลูกบอลความร้อนก็พุ่งออกมาจากก้นสระและเงาสีแดงเข้มก็พุ่งทะลุผืนน้ำ ตกลงไปที่ด้านหน้าของหลู่เสี่ยวหยุน
“เสี่ยวหู!” หลู่เสี่ยวหยุนรีบจับมันไว้ใกล้ ๆ อย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกเป็นทุกข์ แล้วหันไปจ้องมองหลินจินราวกับจะกินเลือด
ทุกคนคงจะโกรธถ้าสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของพวกเขาถูกโยนลงไปในน้ำเช่นนี้
หลู่เสี่ยวหยุนพร้อมที่จะมีเรื่องกับหลินจิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้เธอต้องอ้าปากค้าง จิ้งจอกแดงของเธอกระโจนออกจากเธอและพุ่งเข้าหาหลินจินและกระดิกหางต่อหน้าเขา
'นี่แกกระดิกหางเพื่ออะไร? แกไม่ใช่สุนัขนะ!'
ร่างกายของหลู่เสียวหยุนทรุดตัวลงด้วยความพ่ายแพ้
หลินจินจับจิ้งจอกแดงที่คอของมันอีกครั้งแล้วโยนลงไปในสระโดยไม่พูดอะไร
หลู่เสี่ยวจ้องมองอย่างว่างเปล่า เธอไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี แม้แต่จ้าวหยิงก็อ้าปากค้างขณะที่เธอดูพูดไม่ออก
ในขณะที่จิ้งจอกแดงขึ้นมาจากน้ำ หลินจินก็ถูกโยนมันกลับลงไปในสระน้ำอีกครั้ง ขณะที่พวกเธอดู จ้าวหยิงแอบสะกิดหลู่เสี่ยวหยุนและกระซิบถามว่า “สัตว์เลี้ยงของเจ้าไม่ได้ชอบความรุนแรงใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของหลู่เสียวหยุนกลายเป็นเคร่งขรึม พลังงานทางวิญญาณกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวเธอและเธอก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
"พอได้แล้ว!"
เธอคำรามด้วยความบ้าคลั่ง
หลินจินไม่สนใจเธอ ภายนอกทุกอย่างดูปกติดีแต่ผู้ที่มีตาแหลมเท่านั้นที่จะสังเกตเห็นเหงื่อเล็กน้อยบนหน้าผากของหลินจิน จิ้งจอกแดงกระโดดขึ้นจากน้ำครั้งสุดท้ายและวิ่งไปหาหลินจินโดยยังคงกระดิกหางของมันอยู่
คราวนี้หลินจินส่ายหัว “เอาล่ะ แกได้บีบพลังจิตวิญญาณของข้าจนแห้งแล้ว พอแค่นี้ล่ะกัน”
เมื่อกล่าวอย่างนั้นเสร็จแล้ว เขาก็นั่งไขว่ห้างและเปิดใช้งานตราประทับเพื่อฟื้นฟูพลังงานทางจิตวิญญาณที่หายไปของเขา
ในที่สุดเมื่อสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างแปลก ๆ จ้าวหยิงเขย่าหลู่เสี่ยวหยุนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “เสี่ยวหยุนดูจิ้งจอกแดงของเจ้าสิ ดูเหมือนมันจะ…วิวัฒนาการ!”
หลู่เสี่ยวหยุนยุ่งอยู่กับการดุด่าด้วยความโกรธจนเธอไม่สนใจ เมื่อเธอได้ยินจ้าวหยิงพูด เธอก็ระงับอารมณ์เพื่อมองดูและต้องตกตะลึง!
เสี่ยวหูเต็มไปด้วยพลังงาน มันพัฒนาขึ้นมากจริง ๆ!
จิ้งจอกแดงตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ดังนั้นนอกจากการสังเกตแล้ว หลู่เสี่ยวหยุนยังสามารถสัมผัสผ่านช่องทางพิเศษในร่างกายของเธอ น่าแปลกที่ร่างของจิ้งจอกแดงนั้นไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว แม้มันจะถูกโยนลงสระไปตั้งหลายรอบ ขนสีแดงเข้มของมันก็หนาขึ้น ร่างกายของมันปะทุด้วยเปลวเพลิงที่รายล้อมตัวมัน
“มันเป็นไปได้อย่างไร” หลู่เสี่ยวหยุนยังคงปฏิเสธพยายามร่ายคาถาด้วยเหรียญตราสัตว์วิเศษและเห็นเสี่ยวหูยิงทะลุต้นไม้ใกล้ ๆ เสียงดังตามมาและต้นไม้ก็ลุกเป็นไฟโดยจุดไฟสูงอย่างน้อยหนึ่งเมตร
สิ่งที่ประจักษ์ตรงเบื้องหน้า มันอธิบายได้ดีกว่าคำพูดใด ๆ
สัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอได้เข้าสู่ระดับสองแล้วอย่างแท้จริง โดยได้รับความสามารถในการใช้พลังธาตุของมัน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้น่าตกใจและน่าเหลือเชื่อเกินไป จนเธอเริ่มตั้งคำถามกับความรู้ของเธอ ในความเข้าใจของเธอ พี่ชายของเธอบอกว่ามันจะยากขึ้นที่จะเลื่อนระดับของมัน เนื่องจากมันเป็นสายพันธุ์ที่หายาก บวกกับผู้ประเมินเกาที่เธอชื่นชม เขาได้ตรวจสอบสัตว์เลี้ยงของเธอด้วย โดยสรุปว่าจิ้งจอกแดงต้องใช้เวลาสองปีในการสะสมประสบการณ์หรือแม้กระทั่งสามปีเพื่อให้ถึงกระบวนการวิวัฒนาการ ดังนั้น หลู่เสี่ยวหยูจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น
แต่ตอนนี้ หลังจากที่เสี่ยวหูถูกโยนลงไปในสระน้ำเกินกว่าสิบครั้งแล้ว สัตว์เลี้ยงของเธอก็วิวัฒนาการขึ้น
เธอจะเข้าใจได้อย่างไร?
เมื่อเทียบกับความประหลาดใจและความสับสนของหลู่เสี่ยวหยุน จ้าวหยิงสามารถยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดายมาก เธอเริ่มที่จะชินกับมันได้แล้ว
“เสี่ยวหยุน ข้าบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย ว่าผู้ประเมินหลินมีความสามารถและวิธีการของเขานั้นพิเศษมากจนไม่มีผู้ประเมินทั่วไปกล้าเปรียบเทียบ เจ้าควรจะเชื่อข้าได้แล้ว ข่าวลือเหล่านั้นแพร่กระจายโดยผู้ที่มีเจตนาร้ายเพื่อทำให้ชื่อเสียงของผู้ประเมินหลินเสื่อมเสีย” จ้าวหยิงคุยโวด้วยความภาคภูมิใจ
การแสดงออกของหลู่เสี่ยวหยุนเปลี่ยนไป หัวของเธอเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความประหลาดใจอันบริสุทธิ์
จ้าวหยิงกล่าวเสริมว่า “ดูผู้ประเมินหลินสิ เขาใช้พลังงานจิตวิญญาณของเขาจนหมดเพื่อช่วยให้สัตว์เลี้ยงของเจ้าวิวัฒนาการ ถึงเจ้าจะตกลงเดิมพันกับเขาแล้วและจะเสนอวิญญาณอสูรไป แต่ใครเล่าสามารถช่วยสัตว์เลี้ยงของเจ้าวิวัฒนาการได้อีก? หากนี่คือการแลกเปลี่ยนในการช่วยยกระดับล่ะก็ วิญญาณอสูรอีกสองสามดวงก็คงไม่คู่ควรกับผลลัพธ์นี้ด้วยซ้ำ”
หลู่เสี่ยวหยุนค่อย ๆ สงบสติอารมณ์และคิดตามสิ่งที่จ้าวหยิงพูด
เหมือนกับที่จ้าวหยิงพูด ข้อสงสัยต่างได้รับการพิสูจน์แล้ว จากข่าวลืออื้อฉาวเหล่านั้น หลู่เสี่ยวหยุนไม่เคยได้ยินผู้ประเมินหลินตอบโต้พวกเขาเลย เขาอดทนกับมันอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเทคนิคที่ใช้ก่อนหน้านี้จะน่าทึ่งแต่ผลลัพธ์ก็สามารถพูดแทนได้มากมาย
คนเดียวที่เธอสามารถตำหนิได้ก็คือตัวเธอเองที่อายุน้อยเกินไปและไร้เดียงสา เธอเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่รับข่าวลือโดยไม่แสวงหาความจริง เมื่อนึกถึงพฤติกรรมและลักษณะการพูดของเธอก่อนหน้านี้ หลู่เสี่ยวหยุนก็รู้สึกผิด
'ได้ยินกับหูหรือจะสู้พิสูจน์ด้วยตา ข้าเกือบเข้าใจผู้ประเมินหลินผิดไป อย่างที่หยิงหยิงพูดไปก่อนหน้านี้ ว่าเขาเป็นคนที่ถ่อมตัวและไม่แยแสต่อชื่อเสียง แต่ถึงอย่างนั้น ชายคนนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง!'
ความประทับใจต่อหลินจินของหลู่เสี่ยวหยุนเข้ามาแทนที่หัวใจที่เย็นชาของเธอด้วยความชื่นชม ขณะที่เธอดูหลินจินนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น ยิ่งเธอศึกษาเขานานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งดูลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น