King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 251 ร่วมมือ
ตอนที่ 251 ร่วมมือ
“ร่วมมือกับพวกข้าสิ!”
ระหว่างพูดเจ้าหมายเลขสองก็ยืนมือออกมา พร้อมกับใบหน้ายิ้มอย่างมีนัยผมก็เลยตอบไปแบบทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรเลยว่า
“ไม่เอา”
“เอ่ะ?!?!?”
ใบหน้าของหมายเลขสองเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะพูดออกมาอีก
“นี่เจ้าไม่รู้สถานะของตัวเองหรือไง ตอนนี้เทเนสันต์มันได้อำนาจควบคุมพวกขุนนางไปกว่า 50% ของประเทศเข้าไปแล้ว ถ้าพวกเราที่เหลือไม่ร่วมมือกันด้วยตำแหน่งของมันแล้วละก็ มันต้องได้เป็นราชาคนต่อไปแน่”
เทเนสันต์คงหมายถึงหมายเลขหนึ่งสินะ อื้ม! อย่างน้อยก็รู้ชื่อหนึ่งคนแล้ว
“แล้วมันยังไง”
“หา???”
“ข้าถามว่าแล้วมันยังไง ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยแล้วกันว่าข้าไม่ได้สนใจตำแหน่งราชาอะไรนั่นเลยสักนิด ใครจะได้เป็นราชาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”
พูดจบผมก็หยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้น
“นะ นี่เจ้าพูดจะ จริงงั้นเหรอ…”
“อื้ม!”
ผมตอบพร้อมกับพยักหน้าให้คำถามของหมายเลขสอง แต่หลังจากตอบไปก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหน้าว่า
“งั้นก็แปลว่าเรื่องที่ได้ยินมามันเป็นเรื่องจริงสินะ กับเรื่องที่ว่าองค์รัชาทายาทลำดับที่ห้าไม่สนใจตำแหน่งการแย่งชิงอำนาจของราชา”
เมื่อได้ยินผมก็มองไปยังจุดที่เสียงออกมา แล้วก็ได้พบกับเจ้าหมายเลขสี่กำลังยืนมองหน้าผมอยู่ด้วยสายตาปกติที่ไม่สามารถเดาความคิดได้ ตอนนี้ถ้าคิดตามปกติเหมือนสองคนนี้จะร่วมมมือกันก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย
ตอนนนี้หมายเลขสองมันโดนหมายเลขสี่ควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันยังไม่ได้รู้ตัวเท่านั้นเอง ผมยืนคิดและสับตามองระหว่างหมายเลขทั้งสองที่ด้านหน้า จากนั้นก็พูดออกไป
“สิ่งที่ได้ยินถูกต้อง เพราะงั้นก็เปิดทางข้าจะรีบเดินทางกลับ”
“ดะ-”
“ปล่อยไปเถอะครับท่านพี่!”
เสียงของหมายเลขสี่ขัดหมายเลขสองก่อนที่จะพูดจบ ส่วนทางผมเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินกลับไปที่รถม้าเหมือนเดิมเพราะหมายเลขสี่คงเข้าใจสถานการณ์ดี แต่มันก็แปลกหน่อยๆ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้เพราะถ้าตามปกติแล้วคนอย่างเจ้าหมายเลขสี่ต้องเข้าใจแน่นอนว่าผมไม่มีทางตกลงด้วย แต่มันก็ยังมาแบบนี้อีก
รู้สึกกังวลยังไงไม่รู้แฮะ....
…
….
…..
หลายวันต่อมา
ในที่สุดขบวนรถม้าของผมก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศเมซัส แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้กลับไม่สู้ดีนักเพราะด้านหน้าประตูเมืองต่างก็เต็มไปด้วยทหารหลวงที่เป็นพวกทหารขึ้นตรงต่อราชากำลังขวางประตูทางเข้าเอาไว้อยู่
แล้วตอนนี้ผมก็กำลังจะเดินไปถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่มาดักทางกันแบบนี้ จุดที่พวกทหารกำลังขวางทางอยู่ดูยังไงมันก็ไม่ใช่การตอนรับแบบอบอุ่นแน่ เพราะพวกทหารกำลังทำเหมือนกับว่าผมไปทำเรื่องอะไรเอาไว้แล้วมารอควบคุมตัวชัดๆ อาวุธครบมือแถมยังจำนวนคนขนาดนั้น
เมื่อเดินมาถึงประตูผมก็ถามไป
“นี่มันหมายความว่ายังไง พวกเจ้ามาขวางข้าทำไม???”
“เรื่องนั้นข้าจะเป็นคนอธิบายเอง!”
หนึ่งในทหารพูดออกมา แต่พอลองมองชัดๆ ก็เหมือนกับว่าผมจะคุ้นหน้าของทหารคนนี้อยู่เหมือนกันแต่จำไม่ได้เลยว่าเป็นใคร ระหว่างกำลังคิดถึงใบหน้าของทหารในความทรงจำเสียงทหารคนเดิมก็ดังขึ้นมาอีก
“ข้าคือหนึ่งในองครักษ์ทั้งสี่ของราชาชื่อว่า กริม และได้รับหน้าที่ให้ควบคุมตัวท่านที่ทำผิดกฎการแย่งราชบัลลังก์เพื่อไปรับโทษกับองค์ระ-”
“เดี๋ยวก่อน!”
ผมขัดไปก่อนที่กริมจะพูดจบ แล้วตอนนี้เองผมก็เริ่มจำได้แล้วว่าหมอนี่เป็นใคร เพราะเมื่อได้ยินเสียงก็เลยจำได้ว่าหมอนี่เป็นองครักษ์ของดิวนีสันต์ที่เคยสู้กับผมเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่กลับมาจากประเทศเอลฟ์เพื่อเข้าร่วมพิธีแย่งตำแหน่งราชานั่นเอง
แต่เรื่องที่กริมพูดออกมาผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมายถึงอะไร???
“ข้าไม่เข้าใจตอนนี้เจ้าหมายถึงอะไร ข้าไปทำผิดกฎอะไรตอนไหน?”
“ท่านอย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้ดีกว่าองค์ชาย”
น้ำเสียและสีหน้าที่กริมกำลังแสดงต่อหน้าของผมตอนนี้บอกได้เลยว่าหมอนี่ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน แล้วเมื่อพูดจบกริมก็เอามือจับดาบของตัวเองเอาไว้
พวกทหารด้านหลังของกริมเองก็เช่นกัน
ตอนนี้พวกทหารต่างจับดาบของตัวเองเพื่อเตรียมชักออกมา แต่ก็ยังไม่มีใครชักออกมาสักคน เห็นแบบนั้นผมก็พูดออกไปอีก
“เอาสิ!”
“ท่านจะยอมไปกับพวกเราสินะ”
“ไม่!”
ผมตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปที่มือจับดาบของกริม แล้วก็พูดต่อไปอีก
“ถ้าจะชักก็ชักออกมาอย่ามัวแต่ลีลา…”
“องค์ชายท่านอย่าบังคับให้ข้าต้องทำแบบนี้เลย ตอนนี้พวกข้ายังไว้หน้าท่านเพราะท่านเป็นองค์ชายอยู่แต่คำสั่งขององค์ราชะ-”
“ข้าบอกว่าอย่าลีลาไง!!!”
ผมตะโกนขัดไปด้วยน้ำเสียงสูง พร้อมกับปล่อยไอพลังเวทย์ออกไปด้วย
ผลจากการทำแบบนั้นทำให้พวกทหารด้านหลังของหกริมพากันทำสีหน้าตกใจ แล้วผ่านไปได้ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นมาจากพวกทหารเหล่านั้น
“-พะ พลังอะไรกัน….?”
“-พลังขององค์ชายดรารอน์ที่ปล่อยออกมามันน่ากลัวกว่าท่านแม่ทัพอีก นี่ท่านดรารอน์พลังอยู่ขั้นไหนแล้ว???”
“-บะ แบบนี้ไม่ไหวหรอก….”
เมื่อได้ยินพวกทหารพูดกันด้วยน้ำเสียงเสียขวัญเป็นไปตามแผนที่ผมต้องการ ผมก็พูดออกไปอีกว่า...