บทที่ 36 โชคลาภและความโชคร้าย
เฟลิกซ์ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเรียกดูผลิตภัณฑ์จากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง เขาซื้อยาทุกอย่างที่จำเป็นล่วงหน้าเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการปลุกสายเลือดของเขา และยาที่ทำให้เขาสามารถรักษาตัวเองหลังจากกระบวนการสิ้นสุดลง ไปจนถึงยาที่เพิ่มเปอร์เซ็นต์การปลุกสายเลือดด้วย
เฟลิกซ์ไม่เคยวางแผนที่จะใช้เพียง 1% เปอร์เซ็นต์ในการรวมครั้งแรก เขามั่นใจในความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวดของเขา ว่าจะรับมือกับเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้นทั้งหมดได้ในครั้งเดียว เขาอาจจะไม่ใช่พวกประหลาดที่ผสาน 20%-30% ได้ทันที แต่เขามั่นใจว่าอย่างน้อยเขาก็สามารถปลุกได้ 10%
"อ๊ะ! วันนี้เป็นวันสำคัญจริง ๆ"
เขาถอนหายใจขณะนั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะอย่างผ่อนคลาย เลียไอศกรีมโคนที่ถืออยู่อย่างเพลิดเพลิน ขณะคิดถึงกิจกรรมทั้งหมดที่เขาทำในหนึ่งวัน
เขาเปิดบัญชีธนาคารและได้รับเงินกู้ จากนั้นเขาก็แก้แค้นแก็งค์ 5S โดยหลอกเอาเงินของพวกเขา และสุดท้ายเขาสั่งของที่ต้องใช้ในการปลุกสายเลือดของเขาล่วงหน้า สิ่งเดียวที่เหลือคือการซื้อสายเลือดสัตว์ร้าย
แต่เขามีแผนจะซื้อมันวันพรุ่งนี้หลังจบเกม เนื่องจากการสั่งซื้อล่วงหน้าใช้ไม่ได้สำหรับขวดสายเลือด เว้นแต่จะมีเครดิตดี หรือมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้ขาย
“น่าจะถึงเวลาออกจากระบบแล้ว”
เขาหาวอย่างง่วง ๆ และขอให้ราชินีล็อกเอาท์
.....
2 นาทีต่อมา
เขาสวมเสื้อผ้า วางแผนจะมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารเพื่อกินข้าวเย็นหรืออะไรก็ตามที่ยังเหลืออยู่
เมื่อเขาออกจากห้อง เขาได้พบกับโนอาห์ที่ไร้อารมณ์ซึ่งกำลังจะปิดประตูห้องตัวเองพอดี
หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง ทั้งสองก็พยักหน้าให้กันเป็นคำทักทาย และเดินไปที่ลิฟต์เคียงข้างกันโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ขณะที่พวกเขาก้าวเข้าไปในลิฟต์ เฟลิกซ์ก็ยื่นนิ้วไปที่เลข 40 ที่ตั้งโรงอาหาร โนอาห์ไม่ได้กดอะไรอีก เนื่องจากชั้น 40 ก็เป็นจุดหมายของเขาเช่นกัน
เมื่อลิฟต์หยุด เฟลิกซ์และโนอาห์ก็ออกมาพร้อมกันและเดินไปทางเดียวกัน
"ขอนี่ นี่ และอันนี้ด้วย เพิ่มซอสบนไก่ให้อีกนิดด้วยครับ" เฟลิกซ์สั่งอาหารเย็นโดยใช้นิ้วชี้บอกสาวที่เคาน์เตอร์
“กินให้อร่อยนะคะนายน้อย” เธอยิ้มอย่างมีมารยาท
“หอมจัง ขอบคุณครับ” เขานั่งโต๊ะว่างที่ใกล้ที่สุด
โนอาห์เริ่มสั่งทันทีด้วยนิ้วของเขาอย่างเงียบ ๆ ราวกับเป็นใบ้ หลังจากสั่งครบแล้ว เขาก็พยักหน้าให้สาวที่เคาน์เตอร์และไปนั่งที่โต๊ะตรงมุมคนเดียว
ไม่นานก็มีเพียงเสียงช้อนส้อมสะท้อนอยู่ในโรงอาหาร เนื่องจากไม่มีใครอยู่ในนั้นนอกจากเฟลิกซ์และโนอาห์
คนอื่น ๆ รับประทานอาหารก่อนและออกไปชมการแข่งขัน Supremacy Games หรือเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ร้ายที่มีองค์ประกอบธาตุเดียวกับตน
เฟลิกซ์สังเกตโนอาห์ขณะที่เขากินช้า ๆ เขาสงสัยอยู่เสมอว่าบุคลิกของเขาจะเหมือนกับโนอาห์หรือไม่ ถ้าเขาไม่มีปู่คอยดูแลเขา
เขาถอนหายใจอย่างหดหู่หลังจากนึกถึงอดีตอันขมขื่นที่โนอาห์ต้องเผชิญ เพื่อหล่อหลอมให้เขาเป็นท่อนไม้ ไม่ตอบสนองต่อใครเลยยกเว้นน้องสาวของเขา
ชะตากรรมของเขาค่อนข้างคล้ายกับเฟลิกซ์ เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่ตอนที่พวกเขาเสียชีวิตเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เขาสูญเสียแม่ของเขาในขณะที่เธอให้กำเนิดน้องสาว ไม่กี่ปีต่อมา สุขภาพกายและใจของพ่อเขาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภรรยาของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน จนกระทั่งเขาไม่สามารถรับมือกับมันได้อีกต่อไปและตายลง ปล่อยให้พี่น้องต้องอยู่กันตามลำพัง
ในช่วงเวลานั้นโนอาห์อายุเพียง 8 ขวบ ส่วนน้องสาวของเขายังอายุยังไม่ถึง 4 ขวบด้วยซ้ำ
อาการเขาแย่กว่าเฟลิกซ์ แต่เขาไม่ได้บ่นหรือขอความช่วยเหลือ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ปกป้องน้องสาวของเขาจากอันตราย
อีกทางหนึ่ง มีเฟลิกซ์ซึ่งแสดงอารมณ์โกรธเคืองอย่างเต็มที่หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต ราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดนี้
ถ้าเขาไม่มีปู่คอยสนับสนุนในเงามืด เขาคงถูกเนรเทศออกจากครอบครัวไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว เนื่องจากการกระทำที่น่าอับอายของเขาซึ่งส่งผลให้ครอบครัวเสียหน้า
เฟลิกซ์รู้เรื่องนี้หลังจากที่เขาโตเต็มที่และกลายเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่โนอาห์ต้องเติบโตเต็มที่เมื่ออายุเพียง 10 ขวบเนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ
เขาเห็นสิ่งที่เฟลิกซ์มองไม่เห็น และทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ อดีตของพวกเขาเหมือนกัน แต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในเวลาเดียวกัน
เขาเหลือบมองโนอาห์ด้วยความชื่นชมเป็นครั้งสุดท้าย และก้มหน้าลงกินต่อไปอย่างสงบ
....
10 นาทีต่อมา
เฟลิกซ์ยกจานเปล่าของเขาขึ้นและวางไว้ข้างเคาน์เตอร์ จากนั้นเขาก็ล้างมือด้วยสบู่และเดินกลับไปที่ลิฟต์อย่างง่วงนอน
เขาต้องการพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้จะมีเหตุการณ์สำคัญกว่าวันนี้
....
เช้าวันต่อมา เวลา 10.00 น.
ชั้นเดียวกับที่รุ่นน้องได้รับการประเมินองค์ประกอบธาตุเมื่อวาน
เหล่ารุ่นน้องยืนเรียงกัน 4 แถว พวกเขาสวมชุดกีฬารัดรูปและรองเท้าผ้าใบสีขาวมาตรฐาน
ผู้อาวุโสและผู้ปกครองสังเกตลูก ๆ ของพวกเขาที่ยืนตัวตรงอย่างภูมิใจด้วยความตื่นเต้นผสมกับความอิจฉาริษยาและความสิ้นหวัง
ในไม่ช้าผู้อาวุโสอับราฮัมก็ชี้แจงเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงมองเหล่ารุ่นน้องเช่นนั้นอย่างเคร่งขรึม
“พวกคุณไม่รู้หรอกว่าโอกาสที่คุณเพิ่งได้รับในยุคใหม่นี้ยิ่งใหญ่เพียงใด จิตใจของคุณไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความผิดหวังรุ่นที่ 1 และ 2 ที่ไม่ได้เป็นรุ่นน้องในเวลานี้”
เขานำไมโครโฟนมาใกล้ปากและพูดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้เกิดก่อนทุกคนในโลกด้วยน้ำเสียงอิจฉา
“คุณมีสิทธิ์ได้รับพลังสายเลือด ที่สามารถเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะที่ทรงพลังด้วยอายุขัยมากกว่าพันปี ในขณะที่พวกเราคนชราสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 500 ปี และนั่นก็ต่อเมื่อเราใช้ยา”
“ใครก็ตามที่อายุเท่าฉันหรืออายุเท่าพ่อแม่เธอแทบอยากฆ่าตัวตายเพื่อกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง เพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้มีทางเลือกว่าจะตื่นขึ้นหรือไม่” เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “แต่เราไม่มีทางเลือกนั้นเหมือนคุณ”
ทุกคนก็รู้เช่นกัน เป็นความรู้ทั่วไปว่ามนุษย์ที่อายุเกิน 30 ปีไม่สามารถจัดการกับกระบวนการปลุกสายเลือดได้ไม่ว่าจะทำอย่างไร
มันได้รับการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีผลเชิงบวกใด ๆ ดังนั้นจึงถูกตัดสินว่าใครก็ตามที่อายุเกิน 30 ปี จะมีชะตากรรมที่ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ที่ตื่นขึ้นได้
นี่เป็นรอยแผลเป็นที่ผู้ปกครองทุกคนพยายามซ่อน และระงับความเจ็บปวดอันแสนเศร้าที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูก ๆ
อย่างไรก็ตาม คำพูดของอับราฮัมฉีกแผลเปิดหลังจากที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ในที่สาธารณะ ส่งผลให้บรรดาแม่ ๆ สะอื้นไห้และอย่างเงียบ ๆ ขณะที่พ่อเอาแขนปิดบังใบหน้าเพื่อซ่อนดวงตาที่แดงก่ำ
พวกเขาได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการไม่สามารถปลุกสายเลือดได้ เพราะบางคนยังอยู่ในวัย 30
ความคิดเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนคือ
'ถ้าเพียงแค่ฉันเกิดช้ากว่านี้ 2-3 ปี ฉันอาจจะมีโอกาสได้ตื่นขึ้น ถ้า...'
โชคไม่ดีที่โชคชะตาไม่เป็นเช่นนั้น หากมีผู้ใดได้รับโชคลาภ ก็จะมีคนอื่นที่โชคร้ายอยู่เสมอ
โชคชะตาก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน หนึ่งเป็นตัวแทนของโชคลาภและอีกหนึ่งคือความโชคร้าย การตัดสินใจ ทางเลือก และโอกาสทั้งชีวิตของเราที่ปรากฏต่อหน้าเรา ล้วนแต่เป็นโชคชะตาที่โยนเหรียญขึ้นไปในอากาศและรอดูผลลัพธ์ ว่าเราโชคดีหรือไม่
“เหตุผลที่ฉันพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อทำให้คุณรู้สึกแย่กับเรา ไม่ใช่! ฉันพูดเพื่อให้คุณรู้ว่าคุณมีบางอย่างที่หลายคนอยากได้แต่ทำไม่ได้”
ผู้อาวุโสอับราฮัมตะโกนอย่างโกรธจัดหลังจากเห็นรุ่นน้องบางคนกำลังจะร้องไห้เพราะได้ยินพ่อแม่สะอื้น
“ฉันพูดเพื่อให้คุณรู้สึกว่าถ้าคุณไม่ทำงานหนักพอ คุณจะไม่เพียงทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ยังทำให้พ่อแม่และผู้ปกครองของคุณที่คอยสนับสนุนคุณจากด้านหลังโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนผิดหวังด้วย”
เขาทุบแท่นด้วยหมัดข้างหนึ่งแล้วพูดต่อ “ฉันพูดเพื่อให้คุณเข้าใจว่าการตื่นไม่สำเร็จก็เหมือนกับการตบหน้าเรา”
“สุดท้ายฉันจะบอกให้คุณรู้ว่าคุณคืออนาคตของพวกเรา ถ้าคุณทำงานหนักและเข้มแข็งขึ้น เราอาจจะอายุยืนยาวขึ้นเพื่ออยู่ดูความรุ่งโรจน์ของคุณ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ เราจะตายตอนอายุ 80 เหมือนเดิม เพราะการได้มาซึ่งทรัพยากรที่จำเป็นในการเพิ่มอายุขัยของเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมันก็ไม่เคยง่ายมาก่อน”
"ถ้าคุณต้องการให้พ่อแม่ของคุณเดินทางไปกับคุณให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางเลือกเดียวที่คุณต้องมีคือเข้มแข็งขึ้น และมีพลังมากขึ้นเพื่อตอบแทนพระคุณของพวกเขา"
“ดังนั้นจงฝึกให้หนักเยี่ยงสัตว์และมองไปข้างหน้าเท่านั้น ความเจ็บปวดจากปลุกสายเลือดเป็นเพียงความเจ็บปวดชั่วขณะ ผ่านมันและเส้นทางสู่ความรุ่งโรจน์ของคุณจะเปิดขึ้น!!!”
อับราฮัมอดไม่ได้ที่จะคำรามประโยคสุดท้ายด้วยเสียงอันดังขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
เขาไม่สามารถรั้งมันไว้ได้อีกต่อไป หลังจากที่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างสามัญชน และตายอย่างสามัญชน
----------------------------------
เปิดให้อ่านฟรีวันล่ะตอน (ลงทุกวันวันล่ะ 2 ตอน)