การหวนคืนของจอมพลคนสุดท้าย ตอนที่ 10 การเปลี่ยนแปลงของตระกูล วอเตอร์
ตอนที่ 10 การเปลี่ยนแปลงของตระกูล วอเตอร์
“พวกมันทั้งหมดถูกรวมเอาไว้ที่นี่แล้วครับ จำนวนทั้งหมดมี 64 คน”
“อืม”
ผมตอบรับเซบาสหลังถูกรายงานจำนวนของพวกมัน พวกคนรับใช้… ไม่สิ! ตอนนี้ต้องเรียกว่าอดีตคนรับใช้ของตระกูล วอเตอร์ ถึงจะถึง
พวกมันโดนเอาตัวมาไว้รวมกันที่นี่ทั้งหมดและทุกคนต่างก็โดนหมัดแขนและขาเอาไว้ทำให้ไม่สามารถขยับตัวหรือหนีไปได้ อีกอย่างจากการสังเกตดูคนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแบบที่คิดเอาไว้จริงๆ ระดับก่อเกิดลมปราณ ขั้น 3 – 5 คนรับใช้พวกนี้มีพลังการบ่มเพราะกันทั้งนั้น แต่มันก็ไม่แปลกเพราะคนปกติจะมีพลังระดับก่อเกิดลมปราณตั้งแต่เกิด เหมือนกับผมที่ไม่สามารถพัฒนาพลังของตัวเองได้
ส่วนพวกคนธรรมดาส่วนมากจะเลือกใช้ชีวิตปกติและไม่ฝึกอะไร เพราะการฝึกบ่มเพราะต้องใช้ทั้งเวลาแล้วก็เงิน แต่ว่า มันก็ยกเว้นพวกคนธรรมดาที่รับใช้ขุนนาง คนเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองทำงานให้ดีขึ้นตระกูล วอเตอร์ ก็ทำแบบนั้นเหมือนกันเพราะงั้นตัวตนพวกนี้เลยไม่ผิดสังเกต
ให้เปรียบเทรียบประโยชนฺง่ายๆ พลังระดับ ก่อเกิดลมปราณ ขั้นที่ 1 ยกน้ำได้ทีละ 2 ถึง แต่ถ้ามีพลังบ่มเพราะเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยอย่างหนึ่งหรือสองขั้นก็อาจจะยกได้ 5 – 10 ถึง แบบนั้นมันก็เหมือนกับลดกำลังคนในการใช้งาน พอลดกำลังคนได้แล้วก็ลดเงินที่ต้องจ้างลงไปด้วย เหล่าขุนนางหลายคนจึงเลือกฝึกข้ารับใช้หรือคนรับใช้ของตัวเองให้แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดานิดหน่อยเพื่อประโยชน์ตรงนั้น
แต่ที่แปลกคือ พวกนี้มันไม่มีใครร้องข้อความเมตตาเลยสักคน หึ! พวกปากแข็งแบบนี้ไม่อยากคิดเลยว่าพวกมันต้องโดนอะไรบ้างถึงได้คล้ายชื่อตระกูลที่ส่งมาให้กับเซบาส ระหว่างคิดผมก็หันมองไปทางเซบาสด้วยแววตาสงสัย
เอาตามตรง ถ้าไม่มีความทรงจำในชาติที่แล้วที่หมอนี่ภัคดีจนวินาทีสุดท้ายที่เอาชีวิตปกป้องอลิสเอาไว้ ผมคงหาทางกำจัดออกไปจากตระกูลก่อนเป็นคนแรกแล้ว …ช่างลึกลับจริงๆ พลังของเขาเหมือนจะอยู่ระดับราชาแท้จริงแต่มันก็แปลกๆ แปลกยังไงผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อืม….
เอาเถอะ เรื่องเซลาสปล่อยไปดีกว่ายังไงหมอนี่ก็รับใช้ตระกูลของผมมาหลายคน แถมชาติที่แล้วยังเอาตัวปกป้องอลิสไว้จนตายไปพร้อมเธออีก ตอนนี้มาสนใจพวกที่จะช่วยเพิ่มพลังบ่มของเราก่อนดีกว่า เมื่อตัดสินใจได้ผมก็แสยะยิ้มและกว้างสายตามองพวกด้านหน้าอย่างช้าๆ บางคนก็หันหน้าหนี บางคนกสู้ตา
เหอ! ตอนแรกว่าจะเอาวิชาดูดกลืมลมปราณไปใช้กับพวกโจรหรือทหารประเทศอื่นๆ แต่กลับต้องเอามาใช้กับพวกนี้ที่เป็นประชาชนของจักรวรรดิสะได้
“เซบาส นายออกไปก่อนแล้วก็ให้อัศวินที่เฝ้าอยู่ทั้งหมดออกไปด้วย แล้วก็ปิดประตูโกดังเอาไว้แบบแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้”
ที่อยู่ในห้องตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผมกับเซบาส ในห้องตอนนี้ยังมีอัศวินของตระกูลหลายสิบคนยืนตามจุดต่างๆ รอบห้องอยู่ด้วย การจะให้คนอื่นเห็นผมใช้วิชาดูดกลืนลมปราณมันยังเร็วเกินไป ตอนนี้พลังของผมยังน้อยอยู่ ถ้าศัตรูรู้เรื่องนี้มันคงไม่รอช้าและพยามฆ่าผมทันที อัศวินพวกนี้เป็นคนของตระกูลก็จริงแต่ยังไงก็ต้องปลอดภัยเอาไว้ก่อนเพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตระกูลโดนแทรกแซงขนาดไหนแล้ว บางทีพวกคนใช้ที่โดนหมัดด้านหน้ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวหรือส่วนหนึ่งของทั้งหมด
“ต้องขออภัยครับที่ข้าต้องพูดแบบนี้ แต่ทำแบบนั้นมันอันตายนะครับ คนรับใช้พวกนี้ต่างก็มีพลังบ่มเพราะ ถึงพวกมันจะโดนหมัดอยู่แต่ถ้าท่านที่มีพลังเพียงคนธรรมดาอยู่คนเดียวข้าคิดว่า…”
คนธรรมดา? รู้สึกว่าหมอนี้จะไม่ได้สังเกตอะไรเลยสินะ
“ลองตรวจพลังของข้าดูอีกครั้งสิ”
ฉับพลัน ใบหน้าของเซบาเปลี่ยนไปทันควันเมื่อผมพูดจบ การตรวจสอบพลังถ้าปกติแล้วจะไม่สามารถตรวจสอบได้กันหรอกถ้าไม่ตั้งสมาธิเพื่อตรวจสอบจริงๆ อีกอย่าง คนที่ระดับพลังน้อยก็จะไม่สามารถแน่ใจได้ว่าคนที่ตัวเองกำลังพยามตรวจพลังอยู่ระดับไหน กลับกัน ถ้าคนพลังสูงกว่าจะสามารถรู้ได้ทันทีเพราะเคยผ่านพลังระดับนั้นมาก่อนแล้ว
ยกตัวอย่าง คนพลังราชานักรบไปตรวจสอบคนพลังราชาแท้จริง เมื่อเป็นแบบนั้นคนที่พลังราชานักรบก็จะไม่แน่ใจได้ว่าคนที่ตรวจสอบอยู่ขั้นไหนกันแน่ ที่รู้ได้ก็แค่คนที่ตัวเองกำลังตรวจสอบอยู่มีพลังเหนือกว่าตัวเอง แต่ถ้าคนที่พลังเหนือกว่าซึ่งเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าคนที่อยู่ด้านห้าพลังอยู่ระดับไหน และขั้นที่เท่าไหร่
แต่ว่า ตัวผมสามารถบอกได้ทันทีว่าใครพลังเท่าไหร่ถ้าไม่เหนือกว่าระดับพระเจ้า เพราะผมเคยอยู่ในจุดตรงนั้นมาแล้ว
“ระ ระดับก่อเกิดลมปราณ ขั้นที่ 3…”
“ถูกต้อง แบบนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าออกไปก็ไม่เป็นอะไร ถึงพวกนี้จะมีขั้นที่ 5 แต่พวกมันก็ได้รับบาดเจ็บและอ่อนแอ แถมยังโดนมัดเอาไว้อีก นายคิดว่าพวกมันจะทำอะไรฉันได้หรือไง”
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ ถ้างั้นข้าจะออกไปทันที”
เซบาสเงียบคิดสักพักก่อนจะตอบออกมา จากนั้นเซบาสและทหารทุกคนก็ออกไปจากห้องทันทีตามคำสั่ง ส่วนผมก็แน่นอนใช้โอกาสนี้ฟาร์มเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง …เคล็ดวิชาดูดกลืนลมปราณ
…..
ตุ๊บ!
ร่างของชายคนสุดท้ายในหมู่พวกทหารยศทั้ง 64 คน ร่วงลงไปนอนกับพื้น
หลังจากดูดซับพลังของพวกมันเข้ามาในร่างตอนนี้พลังของผมก็ก้าวเข้า ขั้นที่ 5 ของระดับพลัง ก่อเกิดลมปราณ นี่เป็นเรื่องปกติของเคล็ดวิชาดูดซับลมปราณเพราะเมื่อระดับพลังบ่มเพราะของตัวผู้ใช้สูงขึ้นมันก็ต้องใช้พลังปราณมากกว่าเดิมเพื่อเลื่อนระดับพลัง อีกอย่าง ถ้าดูดซับแบบไม่สนใจอะไรมันก็เป็นโทษเช่นกัน ถ้าร่างกายพัฒนาพลังเร็วเกินไปปัญหาที่ตามมาคือร่างกายรับไม่ได้และจะตายในที่สุด แต่ปัญหานั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะผมหาทางแก้เอาไว้แล้วในช่วงที่กลายเป็นจอมพลของจักรวรรดิ ยิ่งถ้าได้เคล็ดวิชาอวัยวะทองคำมามันก็จะช่วยอย่างมาก ทว่าตอนนี้กับติดปัญหาตรงที่ไม่รู้จะได้แต้มเพิ่มยังไงนี่สิ เฮ้อ~
ฮูว….
ตอนนี้ระดับพลังเพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่เท่านี้มันยังไม่พอ อย่าว่าแต่ไปสู้กับเผ่าปีศาจหรือเผ่าเทพเลยพลังแค่นี้สู้แค่ทหารธรรมดาของประเทศที่อ่อนแอที่สุดก็ไม่สามารถชนะได้แล้วหลังจากนี้ต้องทุมเงินในการซื้อสมุนไพรและโอสถมาดูดซับเท่าที่จะทำได้ และก็ต้องหาแหล่งวัตถุดิบต่อเคล็ดวิชาดูดกลืนลมปราณด้วย
ตามจริงแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศของเคล็ดวิชาดูดกลืนลมปราณผมก็พอคิดออกอยู่หรอก เพราะที่ที่เหมาะกับเคล็ดวิชานี้มันก็คือสนามรบ แต่ว่าถ้าเข้าสนามรบตอนนี้ก็ไม่ต้องไปพูดถึงมันเลย เหอๆ พลังระดับนี้คงโดนม้าศึกเหยียบตายก่อนได้ทำอะไรแน่ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ไปตรวจสอบทรัพย์สิ้นก่อนดีกว่าว่าตระกูลของเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“เซบาส!!!”
ประตูเปิดออกทันทีหลังผมเรียกไป หลังจากประตูเปิดเซลาสก็เบิกตากว้างมองมาทางผม หมอนั่นคงรู้แล้วแน่ว่าเรื่องพลังบ่มเพราะของผมมันผิดปกติ เพราะไอ้การเลื่อนขั้นแบบนี้เป็นคนปกติต้องใช้เวลา 1 – 3 เดือนในการเลื่อนระดับพลังของตัวเอง
แต่ว่า
เคล็ดวิชาดูดกลืนลมปราณของผมสามารถทดแทนมันได้ในเวลาอันสั้น ตามจริงแล้วเคล็ดวิชานี้มันมีอีกชื่อหนึ่งด้วย นั่นก็คือ เคล็ดวิชามารที่น่ากลัวที่สุดในโลก! ถูกต้องแล้ว เคล็ดวิชานี้มันไม่ได้น่ากลวที่สุดในทวีปของมนุษย์ แต่มันน่ากลัวที่สุดในโลกขนาดพวกเผ่าเทพและเผ่าปีศาจยังไม่รู้จักเคล็ดวิชานี้ อีกอย่าง พลังที่แสดงออกมาตอนนี้มันยังออกมาไม่หมดเลยด้วยซ้ำ นี่เพียงระดับที่หนึ่งเท่านั้น เพราะงั้นทุกการฆ่าผมต้องฆ่าด้วยตัวเองและใช้มือสัมผัสร่างกายของพวกเหยื่อเพื่อดูดพลัง
แต่ระดับสองระดับสามพวก… ไม่สิ! ตอนนี้เรื่องเคล็ดวิชาเอาไว้ก่อน คิดอะไรเพลินไปหน่อยเซบาสที่เข้ามายืนตั้งนานแล้ว แถมยังยืนมองผมอยู่ด้วย
“จัดการศพของพวกมันให้เงียบที่สุด ให้ดีเผ่าทิ้งให้หมดแบบศพเมื่อวานเลย”
“ครับ ท่านแกนดยุค”
การจัดการปิดความลับที่ดีที่สุดนั้นก็คือไฟ ไฟไม่ได้ปิดความลับในโลกยุคนี้เท่านั้นเพราะโลกเก่าของผมเมื่อไฟไหม้การสืบหาอะไรมันก็ยาก ขนาดโลกยุคสมัยใหม่ยังยากก็ไม่ต้องพูดถึงโลกยุคสมัยกลางแบบนี้หรอก หึหึ!
เมื่อสั่งงานเรียบร้อยผมก็ออกจากโกดังทันทีเพื่อไปยังฝ่ายบริหารของตระกูล
…..
ณ วังองค์หญิง เนร่า
“ว่าไงนะ!!!! มันเกิดขึ้นได้ยังไง!!!”
“ขะ ขออภัยด้วยครับองค์หญิงแต่เรื่องนั้นมันเป็นความจริง ตะเกรียงไฟของสายลับทั้งหมดที่เราส่งเข้าไปในตระกูล วอเตอร์ ดับลงหมดแล้ว ที่เป็นแบบนั้นมันก็หมายถึงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นกับคนของเรา”
อัศวินสวมชุดเกราะกล่าวรายงานตามความจริงที่เกิดขึ้นแก่องค์หญิง เนร่า เมื่อวันก่อนเธอก็พึ่งเจอเรื่องปวดหัวไปในงานวันเกิดที่ไคล์ทำเอาไว้ และในตอนนี้เธอก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่เจออีกเพราะหูตาทั้งหมดของเธอที่เอาไว้จับตาดูตระกูล วอเตอร์ ตายไปทั้งหมด เท่ากับว่า ตอนนี้เธอจะไม่รู้อะไรเลยสักอย่างถ้าไคล์เริ่มเคลื่อนไหวหรือทำอะไร
ไม่นานองค์หญิงร่าน… ไม่สิ! เนร่า ก็สงบอารมณ์ตัวเองได้แล้วพูดต่อ
“ไม่เป็นไร! ตายก็ส่งเข้าไปใหม่”
“คือ…”
“อะไรอีก!!!”
“ทางสมาคมมืดและสมาคมนักฆ่าพึ่งประกาศออกมาครับ ว่าพวกนั้นจะไม่รับงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตระกูล วอเตอร์ อย่างเด็ดขาด พะ พวกเราไม่สามารถส่งคนเข้าไปได้อีกแล้ว…”
….วูบ….
เหมือนก้อนหินขนากยักษ์ตกใส่ องค์หญิง เนร่า พูดอะไรไม่ออกกับเรื่องที่ได้ยิน สมาคมสองสมาคมที่อัศวินคนนี่พูดถึงคือสมาคมที่รับทำงานสกปรกทุกอย่างเพื่อเงิน ไม่ว่าอะไรก็จะทำ ขนาดสังหารองค์จักรววรดิสวรรค์พวกนี้ก็ยังรับทำถ้ามีคนกล้าจ้าง แต่สำเร็จหรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน ทว่า ตอนนี้สมาคมแบบนั้นกลับประกาศตัวออกมาเหมือนกับว่ากำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างในตระกูล วอเตอร์ เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะเดียวกัน ทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิก็ตกสู้ความวุ่นวายเพราะเรื่องแบบเดียวกัน เหล่าตระกูลที่ส่งสายลับเข้าไปในตระกูล วอเตอร์ ต่างก็กังวลกับผลที่จะตามมากันแทบนั่งไม่ติด และไม่นานข่าวเรื่องตระกูล วอเตอร์ แข็งแกร่งขึ้นก็เริ่มพูดถึงไปทั่วเมืองหลวงทันที