15 - ร้องออกมาแล้วจะหายเจ็บไหม?
15 - ร้องออกมาแล้วจะหายเจ็บไหม?
หมอเห็นแผลเปิดฉีกขาดที่หลังมือของหลินฟ่าน และเลือดก็พุ่งออกมา ท่ามกลางเลือดสีแดงพวกเขามองเห็นแม้แต่กระดูกสีขาวที่ด้านใน
“ไปเตรียมห้องผ่าตัดเร็ว”
พยาบาลรีบวิ่งออกไปข้างนอก
“พี่สาวพยาบาลอย่ากังวลไปเลย ผมรอได้ไม่ต้องรีบ” หลินฟ่านเห็นพยาบาลตื่นตระหนกเขาก็เตือนให้เธอผ่อนคลายจิตใจ
“สหายนักเรียนมากับเรา ไม่ต้องกังวล อาการของคุณโอเคไม่ร้ายแรง” หมอปลอบโยน
อาการบาดเจ็บของหลินฟ่านรุนแรงมาก หากเป็นคนธรรมดาคงต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไปแล้ว แต่นักเรียนคนนี้นิ่งสงบเกินไป มันราวกับว่าเขาไม่มีประสาทรับรู้ความเจ็บปวด
หรือบางทีความเจ็บปวดอาจทำให้เส้นประสาทของเขาเป็นอัมพาตชั่วคราว แต่เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว เขาควรจะแสดงความเจ็บปวดออกมาบ้าง
ภายในวอร์ด.
เพื่อนนักเรียนอ้าปาก ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
มีคนกระซิบ
“นั่นคือเฉินหยางที่เรารู้จักใช่ไหม”
“เขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราไปแล้ว”
เฉินหยางเคยเป็นเด็กผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าน้องสาว ตอนนี้คำพูดของเขาหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่ มันแตกต่างจากเฉินหยางที่พวกเขาเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
ห้องผ่าตัด.
“หมอ อย่าฉีดยาสลบให้ผม”
หลินฟ่านกำลังนอนอยู่บนโต๊ะผ่าตัด มองดูหลอดไฟปฏิบัติการที่คุ้นเคยเหนือหัวของเขาอย่างเงียบ ๆ มันยังคงพร่างพรายถึงแม้จะไม่ได้อยู่ที่เดิม แต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิม
หมอได้ยินคำขอเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ถ้าไม่มียาสลบอาจจะเจ็บปวดจนช็อคเลยก็ได้”
“ไม่ คุณไม่เข้าใจ ผมมีเจตจำนงเหมือนเหล็กกล้า ความเจ็บปวดคือการฝึกฝน ผมชินกับมันมานานแล้ว” หลินฟ่านกล่าว
ขณะที่หมอกำลังจะพูดอะไร พยาบาลที่อยู่ด้านข้างก็ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ ความหมายก็ชัดเจนมาก
ถ้าเขาบอกว่าไม่ต้องการพวกเราก็แค่ไม่บอกเขาว่ามันเป็นยาสลบเท่านั้นเอง
ณ ขณะนี้.
วิสัญญีแพทย์เตรียมเข็มยาสลบไว้นานแล้ว
"นี่คืออะไร?" หลินฟ่านถาม
“นี่เป็นยาวิเศษ ดีสำหรับอาการบาดเจ็บทางร่างกาย ไม่ต้องกังวล มันไม่ใช่ยาสลบแน่นอน”
วิสัญญีแพทย์ยิ้ม เขาเลือกตำแหน่งเหนือไหล่และฉีดยาสลบเข้าไปด้วยความเร็วที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่สามารถทำได้
หลินฟ่านยิ้มอย่างพอใจ
“อะไรก็ได้ขอแค่ไม่ใช่ยาสลบก็พอ เพราะผมไม่มีเงินติดตัวสักแดง”
แพทย์และพยาบาลมองหน้ากันด้วยความสับสน พวกเขาไม่เข้าใจกระบวนการคิดของหลินฟ่าน มันเป็นเพราะอายุของพวกเขาห่างไกลกันเกินไปหรือไม่?
เงิน?
พวกเขาไม่เคยคิดเรื่องเงินเลย
ไม่นานก็มีเสียงของกรรไกรและเสียงของผิวหนังที่ถูกตัด ใบหน้าของหลินฟ่านไม่มีอารมณ์และความรู้สึกใดๆ เขาคุ้นชินกับโรงพยาบาลนานแล้ว
โรงพยาบาลจิตเวชชิงซานคือบ้านของเขา
โรงพยาบาลกลางคือบ้านหลังที่สองของเขา
ในขณะที่ครุ่นคิด หลินฟ่านหลับตาและผล็อยหลับไป เสียงกรนของเขาดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เธอคิดว่านักเรียนคนนี้แปลกๆหรือเปล่า” พยาบาลถาม
“ก็มันแปลกๆนิดหน่อย เขาต่างจากคนไข้ที่ฉันเคยเจอมาตลอดทั้งชีวิต”
“เขารอดมาได้ยังไง”
“เธอคงไม่เชื่อหรอก ฉันได้ยินจากเพื่อนนักเรียนของเขาว่าในขณะที่เขากำลังเปิดหน้าต่าง เขาก็เอื้อมมือออกไปจับตัวชายที่กระโดดจากชั้น 25 โดยตรง”
“ที่น่าเหลือเชื่อคือเขาไม่ส่งเสียงกรีดร้องสักแอะ มันเหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย”
ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นหมอพยาบาลที่ลงมือผ่าตัดหลินฟ่านพวกเขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ
บาดแผลนี้น่ากลัวมาก เขาทนได้อย่างไรถึงไม่ร้องออกมา!
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการทำแผลนี้นานเท่าไหร่
หลังจากสิ้นสุดการผ่าตัดพยาบาลคนหนึ่งก็เอาพลาสเตอร์มาพันแขนขวาของหลินฟ่านซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เธอมองดูนักเรียนที่อยู่ข้างหน้าอย่างสงสัย และอดไม่ได้ที่จะถามว่า
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
"เจ็บครับ." ใบหน้าของหลินฟ่านยิ้มอยู่เสมอ
“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาได้นะ”
“ถ้าร้องออกมาแล้วจะหายเจ็บไหม” หลินฟ่านถาม
พยาบาลตกตะลึงและกล่าวเบาๆไว้ว่า
“ไม่”
“ถ้าไม่หายเจ็บจะร้องออกมาหรือไม่มันก็ไม่มีความหมาย จริงหรือเปล่า?” หลินฟ่านพูดอย่างเฉยเมย
"ถูกต้อง?"
หลินฟ่านมองดูพยาบาลสาวด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
ฉากนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นระหว่างคนไข้และพยาบาล
แต่ในความเป็นจริงพยาบาลค่อยๆก้มศีรษะลง เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย รอยยิ้มในดวงตาของเขามันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆและอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
“อย่ามองฉันแบบนี้ได้ไหม มันทำให้ฉันกลัว” พยาบาลเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งแล้ง
"ตกลง."
หลินฟ่านตกลงแต่รอยยิ้มของเขาไม่ได้หายไปไหน มันเป็นรอยยิ้มที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวชชิงซานแล้ว
ในตอนแรกเขาเห็นทุกคนยิ้มแบบนี้ เพื่อไม่ให้แปลกแยกจากคนอื่นเขาจึงต้องยิ้มแบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นทุกคนจะมองตากันและเข้าใจซึ่งกันและกัน ต่อให้พวกเขาต้องยิ้มทั้งวันทั้งคืนพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีปัญหาอะไร
ณ ขณะนี้.
ภายในวอร์ด.
หยางจื่อเถียนมองไปที่รูปถ่ายในโทรศัพท์ มันเป็นรูปถ่ายแขนของเฉินหยางหลังจากที่เขาช่วยชีวิตชายชราคนนั้นไว้
หลังจากทำสติอยู่ชั่วครู่เขาก็ส่งรูปนั้นลงไปในกลุ่มอย่างรวดเร็ว
ข้อความมีว่า
“พี่ใหญ่เฉินโคตรเท่เลย เขาช่วยชีวิตชายชราที่กระโดดตึกจากชั้น 25 พวกนายดูแขนเขาสิมันน่ากลัวขนาดไหน”
…………..
ถังเจี๋ยไรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะไปโรงเรียนได้ยังไงเมื่อเขาถูกไอ้ตุ๊ดเฉินหยางทุบตีต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน
เมื่อเปิดลิ้นชักเขาหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมา
“คราวนี้ฉันเจอปัญหาหวังว่าแกจะเป็นทางออก”
เขายืนอยู่หน้าลิ้นชักและมองดูมีดสั้นด้วยการตัดสินใจที่ยากลำบาก
ดิง!
ข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น
ถังเจี๋ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดหน้าจอ
ทันใดนั้นความคิดที่อยู่ในสมองของเขาหายไปทันที!
เฉินหยางยืนอยู่หน้าหน้าต่างด้วยรอยยิ้ม เขาก้มศีรษะลงและลูบหัวของชายชราด้วยความอ่อนโยน แต่ที่แขนข้างหนึ่งของเขานั้นมีกระดูกเสียบพ้นออกมา
ภาพถ่ายนี้มีผลอย่างมากต่อถังเจี๋ย
คุรุ!
ลำคอของเขาสั่นสะท้าน
บูม!
ถังเจี๋ยปิดลิ้นชักพร้อมกับล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา ความคิดที่จะเอามีดไปแทนเฉินหยางหายไปในพริบตา
"ขอโทษ ฉันผิดเอง"
เขาเป็นแค่เด็ก...
เขาชอบที่จะรังแกเพื่อนนักเรียน แต่เขาไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเฉินหยางคนที่บ้าคลั่งไม่กลัวแม้แต่ความตาย
รอยยิ้มประหลาดที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพแขนที่พังยับเยินทำให้เขาหวาดกลัวจับใจ