King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 239 เหตุผล
ตอนที่ 239 เหตุผล
“เฮ้อ~ ทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบที่ข้าคิดจริงๆ”
เมื่อได้ฟังเรื่องจากลาฟเชียร์ผมก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดไปแบบนั้น เพราะเรื่องทั้งสองคนแบ่งฝ่ายกันมันมีสาเหตุมาจากทั้งสองคนเถียงกันว่าใครใกล้ชิดกับผมมากกว่าแค่นั้นเอง
เอเนเชียร์ก็บอกว่าอยู่หลายปี
ลาฟเชียร์เองก็บอกอยู่หลายปีเช่นกัน
ซึ่งสิ่งที่ทั้งสองคนพูดออกมามันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ก็ตอนเด็กที่อยู่ประเทศเอลฟ์ผมก็อยู่กับเอเนเชียร์หลายปี ส่วนพอโตมาก็อยู่กับลาฟเชียร์ที่ประเทศภูติเป็นเวลาไม่ได้ต่างอะไรมากนัก
แต่ว่า
เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หึหึ!
“ข้ายังมีเรื่องสงสัยอยู่ ซึ่งเรื่องสงสัยก็คือเธอลาฟเชียร์!”
“ค่ะ??? …ท่านกำลังสงสัยอะไร???”
ลาฟเชียร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย ในท่าทางเอียงคอเล็กน้อย
“ก็เข้าใจอยู่ว่าเอเนเชียร์เป็นหลายของขุนนางระดับสูงของประเทศเอลฟ์อย่างแลนด์กรีสเลยได้รับการสนับสนุน แต่ข้าไม่เข้าใจทำไมเธอถึงได้รับการสนับสนุนจนมีอำนาจแยกนักเรียนออกเป็นส่วนๆ ได้แบบนี้”
“คือว่า… เรื่องนั้นมันก็….”
“ข้าเป็นคนตอบเรื่องนั้นเอง!”
เอเนเชียร์ขัดขึ้นมาระหว่างลาฟเชียร์ไม่ยอมตอบเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก แต่ใครจะตอบก็ไม่ต่างกันหรอก
“เชิญ”
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะพวกขุนนางที่ชักใยโรงเรียนอยู่ ตามจริงแล้วข้ากับลาฟเชียร์ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันขนาดนั้นเพียงแต่ว่าพวกขุนนางระดับสูงที่ควบคุมโรงเรียนมันใส่ไฟให้พวกเรา แล้วพวกมันก็ดำเนินเรื่องแบ่งฝ่ายกันเองทั้งหมดเองเลย”
อย่างนี้นี่เอง ตอนแรกก็สงสัยเกี่ยวกับลาฟเชียร์ว่าเอาอำนาจจากไหนมา แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้ก็พอเข้าใจแล้วเพราะเป็นเรื่องปกติที่ย่อมมีคนที่ไม่อยากให้สงครามจบอยู่ เช่น พวกทำธุรกิจผลิตอาวุธ ธุรกิจทหารรับจ้าง ธุรกิจนักฆ่า
ไม่แปลกเลยที่พวกมันจะพยามยุยงให้เกิดสงครามแบบนี้ เพราะถ้าพวกเด็กที่เรียนไม่ชอบใจกันอนาคตก็คงไม่เปลี่ยนแปลงและสงครามก็คงไม่จบ
ชิ! พวกอยากสงบก็พยามเต็มที่ พวกอยากทำลายก็พยามทำเต็มที่
“ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องพวกนั้นเดี๋ยวข้าจะไปรายงานผู้อำนวยการให้ ตอนนี้พวกเรามาคุยเรื่องสำคัญกันก่อนดีกว่า”
พูดจบทั้งสองคนก็มองผมแบบสงสัยแต่ไม่มีใครถามออกมา จากนั้นผมก็มองไปทางโต๊ะทำงานของโซฟีแล้วชี้นิ้วไปที่ปากกาและกระดาษเปล่าที่วางอยู่
“ลาฟเชียร์ไปเอาพวกนั้นมา”
“ค่ะ…”
เมื่อตอบรับเธอก็เดินไปเอามาแบบไม่ได้สงสัย เมื่อเอามาวางด้านหน้าผมก็ส่งกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคนทันที
“ดรารอน์นี่มันหมายความว่ายังไง???”
เอเนเชียร์ถามออกมาขณะที่สายตาของเธอมองกระดาษด้านหน้าอยู่
“จะว่ายังไงดีละ… ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าพวกเธอเป็นผู้นำของสองกลุ่มที่แบ่งแยกกันอยู่ใช่ไหม”
“ก็ใช่”
“นั่นแหละ เพราะแบบนั้นข้าเลยอยากให้เขียนพวกนักเรียนที่มีความสามารถให้หน่อย”
“จะให้เขียนเลยมันก็-”
“เข้าใจแล้วคะ”
เอเนเชียร์พูดยังไม่ทันจบลาฟเชียร์ก็แทรกขึ้นก่อน แล้วเธอไม่ได้เพียงแค่แทรกเท่านั้นแต่กำลังก้มหน้าเขียนด้วยท่าทางจริงจังมาก ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น
ทางด้านของเอเนเชียร์เมื่อเห็นลาฟเชียร์เขียนได้สักพักก็หมดทางเลือกแล้วยอมทำตามเช่นกัน แล้วสิ่งที่ผมต้องการจากพวกเธอตอนนี้ก็ตรงตามความหมายที่ให้เขียน การคัดเลือกพวกที่แข็งแกร่งแล้วฝึกภายในโรงเรียนเป็นแผนที่ผมได้วางเอาไว้
แล้วเมื่อพวกนักเรียนแข็งแกร่งขึ้นเหล่าตระกูลขุนนางที่เห็นผลงานก็คงยอมรับ และทำตามตารางฝึกที่ผมออกแบบให้แน่นอน ตามจริงแล้วเรื่องแบบนี้คุยกับราชาทั้ง 5 ประเทศ แล้วให้พวกนั้นออกคำสั่งให้ฝึกตามก็ได้อยู่หรอก
แต่ว่า
เมื่อทำแบบนั้นก็จะเหมือนการบังคับไม่ใช่การเต็มใจ เพราะแบบนั้นผมเลยต้องเลือกพวกที่มีความสามารถในโรงเรียนแห่งนี้ แล้วเพิ่มความสามารถให้ถึงขีดสุด จากนั้นก็ให้พวกที่ฝึกกลับไปบอกพ่อตัวเองให้ยอมรับการฝึกของผม
หึหึ! ลดเวลาได้เยอะเลย ตอนแรกคิดว่าต้องเสียเวลาตามหาตัวอย่างน้อยหนึ่งถึงสองเดือน แต่เมื่อลาฟเชียร์กับเอเนเชียร์เหมือนกับว่าปกครองโรงเรียนคนละ 50% แล้วพวกเธอก็ให้ข้อมูลมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่า ตอนนี้ไม่ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
….
…..
……
ผ่านไปได้สักพักข้อมูลที่ต้องการก็อยู่ในมือของผม กระดาษของลาฟเชียร์สุดยอดมากไม่มีที่ติ ที่เธอเขียนออกมาไม่ใช่เพียงแค่ชื่อแต่ถึงกับพลังและชื่อตระกูลด้วยประหยัดเวลาคัดเลือกไปเยอะ
ส่วนของเอเนเชียร์ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วเมื่อเห็นท่าทางของเธอ ที่ใบที่เธอเขียนมาให้มันมีแค่ชื่อกับพลังบางส่วนเท่านั้น เหมือนกับว่ายัยนี่ไม่ได้สนใจคนในกลุ่มของตัวเองขนาดนั้นที่เขียนมาคงมาจากความจำล้วนๆ เพราะส่วนมากมีแต่พวกลูกขุนนางระดับสูงเท่านั้น แต่ช่างเถอะเริ่มแผนต่อไปเลยดีกว่า
อ่านรายชื่อได้สักพักผมก็เริ่มคัดเลือกพวกที่เข้าข่ายที่สามารถพัฒนาได้ จากนั้นก็ใช้ปากกาขีดชื่อคนที่ไม่ต้องการออก ครั้งนี้ต้องยอมรับเลยว่าผมเลือกเพราะประโยชน์มากกว่าไม่ใช่ความสามารถโดยตรง
ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพราะถ้าเอาลูกของดยุคมาฝึกมันก็ต้องดีกว่าเอาลูกบารอนธรรมดามาฝึกอยู่แล้วเพราะที่ผมต้องการตอนนี้คือชื่อเสียง เพราะงั้นรายชื่อที่ผมเหลือเอาไว้รวมกระดาษสองแผ่นด้านหน้าก็มีอยู่เพียง 10 คน
เอลฟ์ 3 คน
ภูติ 3 คน
มนุษย์ 4 คน
เมื่อเรียบร้อยแล้วผมก็ส่งกระดาษให้ทั้งสองคน
“พวกเธอช่วยไปเรียกพวกที่ข้าไม่ได้เอาชื่อออกมาที่สนามฝึกซ้อมของโรงเรียนด้วย ตอนนี้เลย”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
เอเนเชียร์ถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ใช่! ก่อนอื่นข้าอยากทดสอบก่อนบอกให้พวกนั้นเตรียมตัวออกมาประลองกันด้วยละ…”
“เข้าใจแล้วคะ …ถ้าจบเรื่องของท่านแล้วก็มาเรื่องของข้าบ้างแล้วกันตอนนี้สงสัยตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว”
ลาฟเชียร์ตอบรับคำสั่งจากนั้นน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปมาก ดวงตาของเธอจ้องมองมาทางผมแบบไม่กระพริบ ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าตอนนี้ถ้าตอบอะไรไม่เข้าเรื่องได้เป็นปัญหาแน่
“ลาฟเชียร์เธอเองก็เหมือนกันสินะ”
“ใช่!”
ลาฟเชียร์พยักหน้าอย่างมั่นใจให้กับคำพูดของเอเนเชียร์ จากนั้นพวกเธอทั้งสองคนที่มีท่าทางไม่ต่างกันราวกับว่ากำลังไม่พอใจเอามากๆ มองมาทางผม
“มะ มีเรื่องอะไรรีบถามมา สะ สิ”
ปัง!!!!
ผมถามออกไปยังไม่ทันได้รับคำตอบเสียงประตูห้องก็เปิดออกก่อน เสียงที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงเปิดประตูอย่างสุดแรงของใครบางคนแล้วพอหันไปมองก็เห็นทาร์เลียจับลูกบิดประตูอยู่ด้วยสีหน้าตื่น
“ทะ ท่านดรารอน์กะ เกิดเรื่องแล้วคะ”
ทาร์เลียเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับพูดออกมาด้วย มันเกิดเรื่องอะไรอีก??? หลังจากแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่นานผมก็เริ่มถามกลับไปทันทีว่า
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”