King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 207 เรื่องสำคัญ
ตอนที่ 207 เรื่องสำคัญ
ภายในบ้าน
หลังจากที่เดิมเข้ามาในบ้านเพียงคนเดียวตามสิ่งที่ลาฟเชียร์บอกก็พบกับราชินีภูติกำลังนั่งอยู่แล้ว และเธอกำลังจิบแก้วชาอยู่โดยมีสายตาเบนมาทางผมเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“มาแล้วสินะ มานั่งก่อนวันนี้ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าคนเดียวที่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก”
“ครับ”
ผมตอบรับแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเธอ วันนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากก็สามารถเข้าใจได้เลยว่าเรื่องที่เธอต้องการมาคุยมันต้องเป็นเรื่องจริงจังแน่ บรรยากาศในห้องและลางสังหรณ์ของผมมันบอกออกมาแบบนั้น
เมื่อนั่งลงเสร็จผมก็เริ่มถามไปแบบไม่รอช้าเลย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ”
ตอนนี้มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน เพราะไม่งั้นสถานการณ์มันไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่ก็ขอให้มันเป็นเรื่องที่ไม่ใหญ่มากก็แล้วกัน
“วันนี้ข้ามีเรื่องมาบอกเจ้าอยู่สองเรื่อง” ราชินีภูติชูนิ้วมือซ้ายขึ้นมาสองนิ้ว “เรื่องที่หนึ่งเป็นเรื่องของคนรับใช้ของเจ้า ข้าคิดว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้ว”
สีหน้าของเธอระหว่างพูดจริงจังมาก แต่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร???
“ท่านหมายถึงลาฟเชียร์อยู่ใช่ไหม?”
“แล้วคนรับใช้ของเจ้ามันมีเยอะขนาดนั้นเลยหรือไง”
ก็ใช่นะสิ! อย่างน้อยพวกภูติที่โดนลาฟเชียร์จ้างก็นับว่าเป็นคนรับใช้ของทางนี้เหมือนนะ เหอะๆ อยากสวนกลับไปแบบนี้จริงๆ
“แล้วตอนนี้ลาฟเชียร์ถึงเวลาอะไรครับ”
นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ผมสงสัยเพราะอยู่ๆ ก็มาพูดว่าถึงเวลา ใครมันจะไปรู้ว่าคงเวลาอะไร
“เธออายุเท่าไหร่แล้ว”
เมื่อโดนถามผมก็พยามคิดถึงอายุของลาฟเชียร์ ตัวเราเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องตรงนี้มากเท่าไหร่ด้วยสิไม่ได้สนใจมันมากจนจำแทบไม่ได้เลย เท่าไหร่กันนะ?
จนเวลาผ่านไปสักพักผมก็ยังไม่ได้ตอบไปเพราะไม่แน่ใจ ทางราชินีภูติจึงถามมาอีกครั้ง
“ข้าถามว่าอายุเท่าไหร่!
เสียงที่ถามออกมาครั้งนี้เหมือนกับว่าเธอจะขึ้นเสียงออกมาแล้ว เป็นเสียงแบบคนอารมณ์เสีย ใจเย็นหน่อยสิคนกำลังคิดอยู่ไม่เห็นหรือไง เฮ้อ~
“…..” เท่าที่จำได้เหมือนกับว่าตอนอายุ 3 ขวบ จะเจอกับเธอในงานเปิดตัวด้วยซึ่งตอนนั้นก็ยังเด็กอยู่ แล้วเด็กที่เข้างานได้ก็ต้องอายุมากกว่า หรือเท่ากันกับเราเท่านั้นน้อยกว่าสามคงเข้าไม่ได้ ถ้างั้นก็น่าจะ 14 เกือบจะ 15 เท่ากับเรา หรือไม่ก็แก่เดือนกว่าจนอายุ 15 ปี เข้าไปแล้ว เพราะงั้นคำตอบก่อนต้องอายุเต็มเอาไว้ก่อนแล้วกัน
…แต่เดี๋ยวก่อน! ออ~ เข้าใจสิ่งที่ยัยนี่ต้องการจะบอกแล้ว เมื่อรู้ถึงอายุแล้วเข้าใจเป้าหมายของราชินีภูติทันที ที่พูดแบบนั้น
“ท่านกำลังหมายถึงโรงเรียนเดเชียสินะครับ”
“ถูกต้อง”
ราชินีภูติพยักหน้าขึ้นลงเป็นเครื่องยืนยัน แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะถ้าขุนนางคนไหนอายุได้ 15 ปี ก็ต้องถูกส่งตัวไปเรียนกันทั้งนั้น เพราะมันเป็นกฎของทั้งห้าประเทศตัวลาฟเชียร์เองเมื่ออายุครบก็ต้องไปเหมือนกัน
“ปีหน้าเจ้าเองก็ต้องไปเช่นกัน”
เรื่องนั้นรู้ไม่ต้องมาบอกหรอก ชิ!
พลังของเราขนาดนี้ไปแล้วไม่เข้าใจเลยทำไมต้องไปเรียนในโรงเรียนที่เหมือนกับสนามเด็กเล่นแบบนั้นอีก ไร้สาระจริงๆ! แต่ในเมืองเรื่องมันเป็นแบบนี้ก็มีแต่ต้องปล่อยลาฟเชียร์ไปเท่านั้น เพราะมันจะดีกับชีวิตของเธอในอนาคตด้วย
หลังจากยอมรับได้แล้วผมก็ถามออกไปต่อ
“แล้วเรื่องที่สองละครับ”
“โห่ว! กำลังจะบอกว่าไม่สนใจถึงยัยเด็กนั้นจะไม่อยู่รับใช้สินะ”
จะมาพูดให้มันซ้ำใจเพื่ออะไร ข้าเองก็อยากให้อยู่ทำอาหารกับเป็นอาหารตาช่วยเสริมพลังชีวิตเวลาเหนื่อยๆ อยู่หรอก แต่ถึงไม่ยอมเธอก็ต้องทำให้ยอมอยู่ดีไม่ใช่หรือไง เหอะ!
“เรื่องนั้นข้าต้องยอมรับอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎของทั้งห้าประเทศถ้าไม่ทำตามมันอาจจะกลายเป็นปัญหาได้ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้มันก็ใกล้จะครบห้าปีแล้วด้วยผมจะไปหาเธอตอนไหนก็-”
“เรื่องนั้นแหละ” ราชินีภูติขัดมาก่อนที่ผมจะพูดจบ “เรื่องที่สองที่ข้าต้องการที่จะพูดกับเจ้ามันก็เกี่ยวกับเรื่องข้อตกลงของพวกเราทั้งสองคน แต่ว่ามันมีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวนิดหน่อย”
“ครับ?”
ผมตอบไปแบบปกติถึงจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพยามจะบอกอยู่ก็ตาม
“อันดับแรกเรื่องสัญญาการฝึกห้าปีไม่ไร้ผลไปตั้งแต่ 1 ปี ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเจ้าสามารถใช้เวทย์ทั้งหมดที่ข้ามีได้แล้ว”
ท่าทางการพูดของเธอมีน้ำเสียงห่อเหี่ยวใจเล็กน้อย แต่ช่วยไม่ได้ เวทย์ที่เธอสอนมามันเป็นเวทย์ที่มีพื้นฐานเดียวกันหมด ของแบบนั้นไม่ต้องสอนแค่คิดเองก็รู้หมดแล้ว แต่ว่าถ้ามันหมดไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วทำไมไม่ปล่อยฉันออกไปละ
“ขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมท่านไม่ปล่อยให้ผมออกนอกประเทศ ถ้าไม่มีอะไรจะสอนแล้ว?”
“จะบ้าหรือไง!!! ถ้าทำแบบนั้นพวกประเทศอื่นก็มองข้าเป็นตัวตลกนะสิที่ปล่อยเจ้าออกก่อนเวลาแบบนั้น จะให้เอาหน้าจากไหนสู้พวกนั้นว่าไม่มีอะไรสอนเด็กอายุยังไม่ถึง 15 ปี”
เหอะๆ นี่เราเสียเวลาเพราะเรื่องไร้สาระพันนี้งั้นเหรอ เธอรู้ไหมว่าฉันอยากไปเจอเอ็ดเน่แล้วเป็นห่วงน้องขนาดไหน ชิ!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีเวลาผมถามอะไรลาฟเชียร์เธอก็จะตอบออกมาว่า [ปกติค่ะ] พร้อมรอยยิ้มแบบสดใสทุกครั้ง ทำให้ไม่รู้ข่าวเรื่องอะไรเกี่ยวกับประเทศเลยสักอย่าง
ทางเทเลอร์ก็ไม่เคยติดต่ออะไรมา แต่ก็โทษมันไม่ได้ เพราะผมเป็นคนสั่งเอาไว้เองด้วยว่าถ้าไม่จำเป็นห้ามติดต่อเด็ดขาด ตอนแรกสั่งให้มันดูเป็นคำสั่งจริงจังเพื่อกดดันมันไปงั้นแหละ แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นปัญหาตามหลังแบบนี้สะได้
“เอาละงั้นเรื่องนี้พอก่อน เรามาเข้าเรื่องหลักกันเลย”
เดี๋ยวๆ คือเรื่องเมื่อกี้มันไม่ใช่เรื่องหลักของเรื่องที่สองเหรอ ลำดับความสำคัญของเธอมันอะไรกันละเนี่ย เฮ้อ~
“ครับ”
ผมตอบเสียงเบาๆ เพราะเริ่มขี้เกียจฟังแล้วแต่ก็ต้องจำใจฟัง หมดอารมณ์ฟังตั้งแต่บอกไม่มีอะไรสอนแล้วละ…
จากนั้นราชินีภูติก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยมองตรงมาทางผม เอาแล้วไงสายตาแบบนั้นเรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับเราแน่ หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้นงั้นเหรอ เอาสิ! ในที่สุดก็สำเร็จจนได้สินะปล่อยให้รอตั้งหลายปี หึ!
แล้วในเวลาไม่นานราชินีภูติก็เริ่มเอ่ยออกมาว่า….