ตอนที่แล้วKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 205 ไม่จริงน่า~ [จบภาค 6]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 207 เรื่องสำคัญ

King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 206 สัญญาลักษณ์


ตอนที่ 206 สัญญาลักษณ์

ณ ป่าที่ไหนสักแห่งในประเทศภูติ

ชิ! ไม่ว่าจะผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง”

เฮสเฟียร์พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บใจหลังจากที่ผมกับเธอนับคริสตันของวันนี้ ซึ่งจำนวนที่ผมสามารถหาได้ก็คือ 25,000 จุด ของเธอได้ 18,000 จุด ถ้าเกิดนับว่าเป็นเรื่องปกติความสามารถของเธอมันเกินมาตรฐานไปมากจริงๆ หลังจากที่กลับมาจากเมืองหลวงเมื่อสองปีก่อนตอนที่โดนเอาตัวไป เพราะคนปกติเขาหาคริสตันจำนวนขนาดนี้ในวันเดียวไม่ได้กันหรอก

ซึ่งตอนนี้ถ้านับวันแรกที่ผมเดินทางมาประเทศภูติมันก็ได้ผ่านมา 4 ปี 7 เดือน เข้าไปแล้ว พลังของผมเองก็อยู่ขั้นสูงสุดช่วงปลายแทบทุกเวทย์ ยกเว้นเวทย์ไฟที่เข้าขั้นตำนานไปแล้ว แต่ว่าก็ยังต้องมาล่าสัตว์อสูรแบบเดิมอยู่ทุกวัน

เฮ้อ~ เบื่อการทำแบบนี้แล้วสิ

ถึงอยากพูดว่าเบื่อก็เถอะ แต่ถ้าเบื่อมันก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดีถึงตอนนี้จะอยากหนีไปใช้ชีวิตแสนสุขของดรารอน์กับลาฟเชียร์สองคนมันก็ทำไม่ได้ เพราะเรื่องที่เฮาร์แมนมันพูดเอาไว้ยังค้ำคออยู่

“วันนี้พวกเรากลับเร็วหน่อยไหม เห็นบอกว่าราชินีภูติอยากเจอกับนายด้วย”

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”

ผมตอบไปแบบเสียงเบื่อๆ เพราะทุกครั้งที่ราชินีภูติมาส่วนมากก็แค่มาสั่งงาน หรือไม่ก็มาพูดคุยเท่านั้นไม่เคยได้สอนอะไรมากมายเลย เท่าที่จำได้ก็สอนการควบคุมเวทย์ระดับสูงกับเวทย์บินให้เมื่อ 1 ปี ก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง

แล้วหลังจากนั้นมาก็ไม่ได้สอนอะไรอีกเลย พอพูดอะไรไปก็จะได้รับการตอบกลับมาว่า [สอนคนที่เก่งขึ้นเองได้ไปมันก็เสียเวลาเปล่า] เพราะงั้นผมเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ที่เธอจะมาหาแบบนี้ แต่ด้วยตำแหน่งของเธอจะไม่ไปเจอก็ไม่ได้เช่นกัน

จากนั้นเมื่อตกลงกันได้ผมกับเฮสเฟียร์ก็เดินทางกลับบ้านทันทีเพื่อไปพบกับราชินีภูติ

ช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวันทำให้ท้องฟ้ามีแสงแดดอ่อนๆ สองลงมา  แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นมันเลยไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นักเรื่องความอบอุ่นแล้วเรื่องอากาศเองผมชินกับมันไปแล้วละ ในช่วงแรกต้องเอาเสื้อหนาๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายตอนออกจากบ้าน แต่ตอนนี้ถอดเสื้อก็สามารถอยู่ได้สบาย

เมื่อบินกลับมาสักพักพวกเราสองคนก็มาถึงจุดหมู่บ้าน… ไม่สิ! ตอนนี้มันจะเรียกว่าหมู่บ้านไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นเมืองขนาดเล็กไปแล้ว เหอะๆ

“ไม่คิดเลยว่าจะเจริญเร็วขนาดนี้”

เฮสเฟียร์พรึมพรำคนเดียวระหว่างที่สายตามองไปด้านล่าง เอาตามตรงทางฉันเองก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะเจริญเร็วแบบนี้

เพียงในเวลาไม่กี่ปีหมู่บ้านเมื่อตอนนั้นก็กลายเป็นของคล้ายเมืองไปแล้ว ถึงตอนนี้ตำแหน่งยังเป็นเพียงหมู่บ้านอยู่ก็เถอะ ขนาดขยายใหญ่กว่า 20 เท่า! จำนวนประชากรก็เพิ่มเกือบ 100 เท่า! แถมรอบเมืองยังมีกำแพงไม้ขนาดใหญ่อีก

อีกอย่าง เมืองแห่งนี้มันกลายเป็นจุดศูนย์กลางการซื้อขายของอาณาเขตทางเหนือไปแล้วด้วย ไม่คิดเลยมันจะเจริญเร็วขนาดนั้น อยากพูดคำนี้ออกไปอยู่หรอกแต่พูดตอนนี้มันก็จะไปซ้ำกับเฮสเฟียร์เปล่าๆ

“เพราะหลายอย่างแหละที่ทำให้หมู่บ้านสามารถกลายเป็นเมืองได้แบบนี้ แต่สาเหตุหลักๆ ก็น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ตรงนั้นแหละ”

ผมพูดไปแล้วหยุดบินพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กลางหมู่บ้าน แล้วทางเฮสเฟียร์ก็มองไปพร้อมตอบมาด้วยเสียงเหนื่อยใจว่า

“นะ นั่นสินะ เพราะรูปปั้นนั้นทำให้ขุนนางจำนวนมากไม่พอใจด้วยล่ะ เหอะๆ

“มันก็สมควรละที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น”

“แต่ว่าเพราะราชินีภูติออกตัวว่าตัวเองเป็นคนสั่งเองเรื่องเลยเงียบลง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าองค์ราชินีจะออกตัวให้แบบนั้นได้”

“ข้าก็คิดแบบนั้น”

ผมพยักหน้าแบบเห็นด้วยกับสิ่งที่เฮสเฟียร์บอกมา เพราะไม่คิดเลยว่าเรื่องรูปปั้นขนาดใหญ่กลางหมู่บ้านที่เป็นของมนุษย์จะถูกพวกภูติยอมรับกันได้ แถมยังโดนยอมรับโดยราชินีภูติด้วยแล้วอีก คิดยังไงมันก็แปลก!

ส่วนรูปปั้นกลางหมู่บ้านที่พวกเราสองคนกำลังพูดถึงตอนนี้ก็คือ รูปปั้นของลาฟเชียร์!  ขนาดของมันเรียกว่าเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองได้เลยละเพราะมันใหญ่มากจริงๆ

“ช่วยไม่ได้หรอกที่สร้างมันก็ชาวบ้านทั้งนั้น”

เฮสเฟียร์พูดด้วยท่าทางส่ายหน้าไปมา ซึ่งที่เธอพูดออกมามันก็ถูกแล้วเพราะลาฟเชียร์ได้ชื่อว่าแหล่งเงินทุน… ไม่สิ! ผู้กอบกู้เลยก็ได้ เพราะถ้าไม่ได้เธอซื้ออาหารหมู่บ้านก็ไม่มีทางพัฒนาขึ้นแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาจากเหล่าภูติ บางครั้งก็แอบคิดว่าเธอเอาเงินมาจากไหน แล้วหมดไปเท่าไหร่ในการซื้ออาหารในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหมือนกัน ถึงได้กลายเป็นรูปปั้นแบบนั้นได้

ช่างเถอะ! ยังไงประเทศนี้ก็ยอมรับแล้วพวกเรารีบกลับดีกว่าเดี๋ยวไปช้าเธอได้โดนราชินีภูติบ่นอีกแน่”

เมื่อผมพูดไปเฮสเฟียร์ก็ทำสีหน้าแหยงเล็กน้อย จากนั้นผมก็เพิ่มความเร็วทันทีเพื่อตรงไปยังบ้านที่เป็นเป้าหมายของพวกเรา

….

…..

ในเวลาต่อมา

เมื่อผมมาถึงประตูหน้าบ้านก็พบกับลาฟเชียร์กำลังยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับภูติที่เธอเป็นคนจ้างเอาไว้ นี่เองก็เป็นอีกอย่างที่ผมว่าดีเหมือนกันที่เวลาเดินเร็วเพราะขนาดร่างกายของลาฟเชียร์พัฒนาขึ้นมากแล้ว ทรวดทรง! หน้าอก!  ขนาดมันเริ่มใหญ่แบบคนปกติแล้ว โดยเฉพาะหน้าอกใหญ่กว่ามาตรฐานพอสมควร

แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะท่าทางการยืนนอกบ้านแบบนั้นมันต้องแปลว่าผมมาช้ากว่าราชินีภูติแน่นอนไม่งั้นพวกเธอไม่ออกมายืนแบบนี้กันหรอก จะโดนยัยนั่นบ่นอะไรอีกไหมนะ?

“ราชินีภูติมาถึงนานหรือยัง?”

ผมเริ่มถามเมื่อเดินมาถึงจุดที่ลาฟเชียร์ยืนอยู่

“สักครู่แล้วค่ะ”

หลังได้รับคำตอบผมก็มองไปทางเฮสเฟียร์ด้านข้างต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเธอก็แสดงท่าทางรู้ตัวว่าตัวเองโดย “เฮ้อ~” เพียงฟังเสียงถอนหายใจของเธอผมก็คงไม่ต้องพูดอะไรเพื่อแกล้งเธอแล้วละ เฮสเฟียร์ผู้น่าสงสารได้หูช้าเพราะคำบ่นอีกแน่

“วันองค์ราชินีบอกว่าอยากเจอองค์ชายคนเดียวคะ แล้วพูดเอาไว้ด้วยว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก!”

ระหว่างที่ผมมองเฮสเฟียร์อยู่ลาฟเชียร์ก็พูดขึ้นมา โดยตอนที่พูดมาเธอได้ทำสีหน้าจริงจังมากออกมาด้วย โห่ว! ท่าทางลาฟเชียร์เป็นแบบนี้แปลว่ารอบนี้ยัยนั้นคงมีเรื่องสำคัญมาจริงสินะ รู้สึกครั้งนี้จะได้เจอกับเรื่องสนุกเข้าแล้วสิ หึหึ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด