455 - ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณที่ลึกลับ
455 - ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณที่ลึกลับ
อันเหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางขยับเท้าเบาๆและทะยานขึ้นสู่ห้วงนภา ชุดยาวสีขาวของนางโบกสะบัดไปตามแรงลมทำให้เกิดภาพที่งดงามบาดตาอย่างยิ่ง
ที่ด้านหลังของนางปรากฏเป็นอวตารของดวงจันทร์ขนาดเล็ก ที่มีความสดใสมากยิ่งกว่าสิ่งที่เย่ฟ่านเคยเห็นจากดวงจันทร์ของจี้ฮ่าวเยว่ด้วยซ้ำ
ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของอันเหมียวอี้นั้นเต็มไปด้วยความงดงามทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างสูญเสียการควบคุมตัวเอง
นางร่ายรำรอบดวงจันทร์ศักดิ์สิทธิ์และเริ่มร้องเพลงกลางนภา เสียงอันน่าพิศวงบวกกับความเคลื่อนไปที่แปลกประหลาดชวนให้ผู้คนลุ่มหลง แม้แต่มัจฉาที่อยู่กลางวารีก็ยังเริ่มร่ายรำไปพร้อมกันกับนาง
เสียงร้องของนางงามสดใสเสนาะโสตแม้แต่เย่ฟ่านก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความตกตะลึง นี่คือหญิงงามที่มีเสน่ห์มากที่สุดในดินแดนรกร้างตะวันออกอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากสิ้นสุดการขับร้องของอันเหมียวอี้เป็นเวลาชั่วครู่ ผู้คนที่มีระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นล้วนตื่นขึ้นมาจากความฝันทีละคน
“เหมียวอี้ต้องการหาสหายสักคนเพื่อสนทนาเต๋าในคืนนี้”
อันเหมียวอี้เคลื่อนไหวราวกับวิหคราตรี นางบินเข้าหาวังเซียนที่อยู่บนท้องฟ้าก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
หลายคนตื่นจากความฝันและรีบบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยความปรารถนาอยากจะพบหน้าของนางอีกสักครั้ง
“ข้าจบสิ้นแล้ว! ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์มากเกินไป ข้ารู้สึกว่าข้าลุ่มหลงนางอย่างไม่อาจถอนตัว”
“อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น?” เย่ฟ่านหัวเราะ
"สิ่งที่ข้าพูดคือเรื่องจริง เสี่ยวเย่เจ้าอย่าได้ใจไปนะ สตรีคนนี้มีความผิดปกติอย่างยิ่งระวังตัวตนของเจ้าจะถูกเปิดเผย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่ฟ่าน
“ไม่ว่าหญิงที่งดงามคนนี้มีความคิดอะไรอยู่พวกเราก็จะได้รู้กันหลังจากที่พวกเราเข้าไปข้างใน ไปเถอะบางทีพี่หลี่อาจเป็นผู้โชคดีที่ได้กอดหญิงงามคนนั้นก็เป็นได้”
หลี่เหอซุยหัวเราะด้วยความสุข "ไปเถอะ หญิงงามคนนี้ข้าอยากจะกอดนานสักครั้งจริงๆ”
………………
ที่ด้านหน้าของวังเซียนมีม่านแสงขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่
อันเหมียวอี้ได้เข้าไปด้านในแล้ว และพื้นที่กว้างนี้เต็มไปด้วยผู้คน พวกเขาทั้งหมดถูกแสงขวางกั้นไว้ น้อยคนนักที่จะสามารถติดตามเข้าไปข้างในได้
"นี่คือประตูเต๋าอมตะ หากเจ้าไม่มีความรู้แจ้งในเต๋าระดับสูงบางสาขาเจ้าก็จะไม่มีวันเดินผ่านประตูนี้ได้
ในความเป็นจริงคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าอาณาจักรสี่สุดขั้วจะถูกโยนออกมาอย่างแน่นอน แต่ก็มีบางคนเป็นข้อยกเว้น ตัวอย่างเช่นเจ้า" หลี่เหอซุยรู้สึกประหลาดใจ
องค์ชายต้าเซี่ยเป็นคนแรกที่เดินผ่านประตู ปราณมังกรทั้งร่างของเขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ชายหนุ่มผู้องอาจกล้าหาญเดินผ่านประตูไปอย่างง่ายดาย
และแน่นอนว่าแม่ชีน้อยที่เป็นน้องสาวของเขาก็ได้รับความช่วยเหลือให้ผ่านเข้าประตูไปด้วยเช่นกัน
แสงสว่างวาบองค์ชายจากวังอสูรสวรรค์ก็เดินผ่านประตูไปในเวลาต่อมา เซียงอี้เฟยที่สะพายกระบี่เล่มใหญ่ไว้ด้านหลังก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน
อสูรสีทองส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง เจียงอี้เฟยกระโดดออกจากหลังมันด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับผ่านเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
หัวใจของเย่ฟ่านเต้นแรง บุคคลนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขายิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกว่านี่คือร่างศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเจียง
“ทำไมคนเหล่านี้ถึงแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา” เขานึกถึงคำถามนั้นอีกครั้ง
“พี่หลี่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ข้าไม่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อผ่านประตูได้ ข้าสงสัยว่าเจียงอี้เฟยอาจเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเจียง บางทีเขาอาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของข้าได้”
“ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
หลี่เหอซุยก้าวไปข้างหน้าและพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ปะทะกับประตูอมตะชั่วครู่ หลังจากนั้นประตูก็เปิดออกและเขาก็เดินนำเย่ฟ่านเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้มีคนประมาณสิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปด้านใน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนพวกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในอาณาจักรสี่สุดขั้วทั้งสิ้น
เย่ฟ่านมองไปรอบๆ ผู้คนครึ่งหนึ่งในนี้เป็นคนคุ้นเคยเก่าของเขา คนเหล่านี้ล้วนมีสถานะสูงส่งไม่ธรรมดา
ผู้คนที่อยู่ด้านในนั้นส่วนหนึ่งรู้จักกันอยู่แต่ก่อน เมื่อเข้ามาที่นี่พวกเขาจึงเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
เย่ฟ่านและหลี่เหอซุยไม่ได้มีความคุ้นเคยกับพวกเขา ทั้งสองจึงมองหาเก้าอี้ที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย
"เหมียวอี้ได้ยินมาว่าร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณนั้นมีความแข็งแกร่งไม่มีผู้คนในระดับเดียวกันที่สามารถต่อสู้ได้ สหายทุกท่านรู้ไหมว่าอะไรคือเบื้องหลังความแข็งแกร่งของเขา?" อันเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานถามเบา ๆ
หัวใจของเย่ฟ่านโหมกระหน่ำอย่างกะทันหัน เขาไม่คิดว่าอันเหมียวอี้จะหยิบยกหัวข้อนี้ขึ้นมาสนทนา ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งใจฟังข้อวินิจฉัยของคนอื่นๆ
“ข้าได้ยินมาว่าทะเลแห่งความทุกข์ของร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณเป็นสีทอง มันไม่ได้เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายเหมือนเช่นคนอื่นๆ ปริมาณของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในนั้นมันมากมายกว่าผู้คนระดับเดียวกันหลายเท่า”
“ข้าเคยอ่านในหนังสือโบราณ มันเขียนไว้ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณนั้นมีพลังชีวิตที่ไม่สิ้นสุด หากมีต้นกำเนิดเพียงพอพวกเขาจะสามารถทะลวงอาณาจักรบ่มเพาะโดยไม่มีสิ่งขวางกั้น
แม้ว่าตั้งแต่สิ้นสุดยุคเซียนโบราณมาจะไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณคนใดสามารถทะลวงออกจากอาณาจักรตำหนักเต๋าได้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาไม่มีต้นกำเนิดเพียงพอ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนวิเคราะห์อย่างจริงจัง เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก คนพวกนี้มีความรู้ไม่ธรรมดา เรื่องนี้เป็นความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้ ไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างถูกต้อง
สวีเหิงที่แต่งกายด้วยชุดดำก็เดินออกมาด้านหน้า ดวงตาของเขาสว่างสดใสราวกับดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
"คนประเภทนี้มีร่างกายที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง อวัยวะทุกส่วนของพวกเขามีประโยชน์มหาศาล มันสามารถสกัดเป็นยาล้ำค่าได้ ในตำราแพทย์โบราณกล่าวไว้เช่นนั้น
ยาประเภทนั้นมีคุณสมบัติทำให้รากฐานของผู้ที่มีโอกาสได้กินมันเกิดความแข็งแกร่งทัดเทียมกับจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่เมื่อครั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก"
“พี่สวีช่างมีความรอบรู้นัก เหมียวอี้มีความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมากไม่ทราบว่าพี่สวีพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่” ขนตายาวของอันเหมียวอี้นั้นโค้งงอ ทำให้ดวงตาของนางมีความงดงามมากยิ่งขึ้น
“สวีเหิงคนนี้ช่วงชิงความได้เปรียบแล้ว!” หลี่เหอซุยส่งเสียงไปหาเย่ฟ่านอย่างลับๆ
สวีเทียนเซี่ยงปู่ของสวีเหิงถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนรกร้างตะวันออก เขามีลำดับสูงกว่าราชามังกรเขียว เขาอยู่ในอันดับสามของโจรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบสามคน
ว่ากันว่าแม้แต่ปรมาจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งยังไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้กับเขาตัวต่อตัว
อารมณ์ของสวีเหิงค่อนข้างเย็นชา แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่เย็นเยียบอย่างยิ่ง เขาเดินไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
"ข้าก็ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข้อความนี้เป็นสิ่งที่ท่านปู่ของข้าพบเจอบนกำแพงหินของถ้ำโบราณ…"
จากนั้นสวีเหิงก็เล่าเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้ทุกคนตกลงเป็นอย่างมาก
สวีเทียนเซี่ยงเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะกลายเป็นผู้อมตะ เขามีชื่อเสียงในภาคเหนือตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับตำราปรุงยาล้ำค่าที่ถูกสลักไว้บนหน้าผาโบราณอันลึกลับ หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาหลายปีในการออกไล่ล่าร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสังหารร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณคนนั้นได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้รับเลือดฝ่ายตรงข้ามมาครึ่งถ้วย
ด้วยเลือดพวกนี้นั่นเองที่ทำให้เขาทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผู้สูงสุดและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีโอกาสจะเป็นผู้อมตะที่แท้จริง
“มีความสามารถระดับนั้นจริงๆ?” หลายคนถูกล่อลวง
“ในยุคสงครามเซียนโบราณที่เต็มไปด้วยอสูรชั่วร้ายนั้น ว่ากันว่าเพียงเลือดไม่กี่หยดของร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณก็สามารถพลิกกระแสสงครามได้...” ชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะสีทองเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
เขามีนามว่าจินฉีเซียว เขาคือผู้สืบทอดของตระกูลจินแห่งที่ราบทางตอนเหนือ คนคนนี้มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาเคยต่อสู้กับองค์ชายเซี่ยโดยไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
“เรื่องนี้เหมียวอี้ก็ได้ยินมาเช่นกัน ว่ากันว่าในสงครามครั้งนั้นเมื่อยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังพ่ายแพ้ ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณได้สละเลือดของตัวเองสิบหยด
มันสามารถชุบชีวิตของผู้ที่กำลังเดินทางเข้าสู่สังสารวัฏให้กลับมาต่อสู้ได้อีกครั้ง แต่ไม่ทราบว่ารายละเอียดของเรื่องนี้จบลงเช่นไร?” อันเหมียวอี้มองไปที่จินฉีเซียวด้วยความมุ่งหวัง
“อสูรร้ายพวกนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกปราบปรามลงด้วยฝีมือของจักรพรรดิร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณผู้ยิ่งใหญ่” จินฉีเซียวกล่าวด้วยสีหน้ายกย่อง
"เรื่องไร้สาระทั้งเพ ตามที่ข้ารู้มานั่นเป็นเพียงอสูรไม่กี่ตนที่เสียชีวิตจากการทำสงคราม สุดท้ายแล้วเผ่าพันธุ์อสูรยังคงได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้น "
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงเยาะเย้ยออกมาด้วยความไม่พอใจ เขาคือผู้สืบทอดของวังอสูรสวรรค์ แน่นอนว่า “ข้อเท็จจริง” ที่เขารู้มาย่อมแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์
“เหยาเยว่กงเจ้าหมายถึงอะไร”
จินฉีเซียวถามอย่างเย็นชาในขณะที่ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างไม่คิดจะข่มกลั้น
"คำพูดของเจ้าคล้ายกับว่าคนที่ทำให้แผ่นดินปั่นป่วนคือเผ่าพันธุ์อสูรของเรา ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจตนาของเจ้าคืออะไรกันแน่!”
อวตารพระจันทร์สีแดงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา แม้ว่าเขาจะยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่ปราณอสูรของเขาก็กดดันเข้าหาจินฉีเซียวทันที