WS บทที่ 379 การประชุมสุดยอด PART 4
"อีกฝั่งเป็นหอคอยอเวจีสินะ"
ความกังวลแวบวาบผ่านดวงตาของพ่อมดเอนเวีย ในรอบแรก ทุกคนยกเว้นเขาถูกคัดออก องค์กรขนาดเล็กมักจะอยู่ด้านล่างสุดของการประชุมสุดยอดเสมอ บางครั้งอาจจะมีหนึ่งหรือสองคนที่เก่งกว่าเล็กน้อยแต่พวกเขาไม่เคยผ่านรอบที่สาม
อย่างไรก็ตาม พ่อมดเอนเวียเชื่อมั่นในตัวเมอร์ลิน เมอร์ลินจะต้องผ่านเข้ารอบที่สามได้อย่างแน่นอน เพราะในตอนนั้น ไคลส์ก็สามารถผ่านเข้ารอบที่สามได้เช่นกัน
แต่ทว่า มีความขัดแย้งระหว่างหอคอยอเวจีและเมอร์ลิน แม้ว่าพ่อมดเอนเวียจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่า เมื่อพ่อมดจากหอคอยอเวจีพบกับเมอร์ลิน พวกเขาคงจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะเมอร์ลินให้ได้
ดังนั้น แม้ว่านี่จะเป็นเพียงรอบแรก แต่เมอร์ลินก็ต้องระมัดระวังให้ดี
“พ่อมดเมอร์ลิน ระวังตัวด้วย อย่าประมาทเด็ดขาด!” เอนเวียกล่าวด้วยความเป็นห่วง
เมอร์ลินพยักหน้าและเดินตรงไปที่สนามประลอง ลาเนียยืนอยู่ในสังเวียนแล้ว
“วังวนแห่งความมืด!”
พ่อมดลาเนียได้ปลดปล่อยคาถาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาทันที ทันใดนั้น กระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเมอร์ลิน นักเวทย์บางคนที่อยู่ใกล้เคียงดูเหมือนจะรู้สึกว่าพลังจิตของพวกเขาถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวน
วังวนแห่งความมืดเป็นคาถาระดับสามที่ซับซ้อนและทรงพลังอย่างยิ่ง เมอร์ลินที่ได้สร้างวังวนแห่งความมืดเช่นกันและรู้ถึงความแข็งแกร่งของมันอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินมีดวงใจแห่งความมืดและพลังต้านทานที่แข็งแกร่งมากต่อเวทมนตร์ธาตุมืด ดังนั้นแม้ว่าวังวนแห่งความมืดจะห่อหุ้มเมอร์ลินไว้ มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลย
ใบหน้าของลาเนียทรุดลงก่อนที่จะทำอะไรไม่ถูกและพูดอย่างใจเย็นว่า “เป็นพลังของดวงใจแห่งความมืดสินะ อย่างที่คาดไว้ หลังจากฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดแล้ว คุณจะได้รับการต้านทานคาถาธาตุมืดที่แข็งแกร่ง...ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้แล้ว ฉันขอยอมแพ้!”
ลาเนียยอมรับความพ่ายแพ้ทันที นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดเริ่มขึ้นที่พ่อมดเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
“เขาขอยอมแพ้แล้ว?”
“คาถาธาตุมืดจากหอคอยอเวจีไม่สามารถทำอะไรเมอร์ลินที่เป็นนักเวทย์หกธาตุจากดินแดนมนต์ดำได้งั้นเหรอ?”
“ฉันไม่คิดว่าองค์กรเล็ก ๆ อย่างดินแดนมน์ดำจะสามารถสร้างอัจฉริยะขึ้นมาได้อีก ใครจะรู้ว่าอัจฉริยะอย่างเช่นไคลส์กับเมอร์ลินจะปรากฏขึ้นใกล้ ๆ กัน น่าเสียดายที่ไคลส์เข้าร่วมกับออสมูไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ดินแดนมนต์ดำอาจมีความหวังที่จะกลายเป็นองค์กรของนักเวทย์ขนาดกลางในทศวรรษหน้า!”
พ่อมดสองสามคนได้สังเกตเห็นตัวตนของเมอร์ลินแล้ว พวกเขาพอจะรู้จักดินแดนมนต์ดำที่เป็นเพียงองค์กรขนาดเล็กเนื่องด้วยชื่อเสียงของไคลส์
แน่นอนว่านักเวทย์เหล่านี้มักจะเปรียบเทียบระหว่างเมอร์ลินกับไคลส์ เมอร์ลินชินชากับสิ่งนี้ ตอนนี้เขาเปรียบดั่งตัวแทนของดินแดนมนต์ดำ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันก็เกี่ยวข้องกับดินแดนมนต์ดำด้วยเช่นกัน
สำหรับไคลส์ เขาเคยเป็นนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในดินแดนมนต์ดำแต่เขาได้ทรยศและหันไปสวามิภักดิ์กับออสมู
ดังนั้นการเปรียบเทียบเมอร์ลินกับไคลส์จึงเป็นหัวข้อที่ต้องหยิบมาพูดด้วยเช่นกัน
ลาเนียยอมจำนนซึ่งทำให้นักเวทย์คาถาหลายคนสังเกตเห็นเมอร์ลิน แม้แต่เอนเวีย เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ความแข็งแกร่งของลาเนียไม่ธรรมดาและมีโอกาสเข้าสู่รอบที่สอง ท้ายที่สุดคาถาวังวนแห่งความมืด เป็นคาถาระดับสามที่ซับซ้อน การที่เขาสามารถสร้างมันได้สำเร็จ เขาได้พิสูจน์ความแข็งกาจของเขาได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ลาเนียพบเมอร์ลินในรอบแรก สำหรับนักเวทย์จากหอคอยอเวจี เมอร์ลินผู้ครอบครองดวงใจแห่งความมืดมีความได้เปรียบอย่างล้นหลามจึงไม่มีประโยชน์จะฝืนสู้ต่อ
เมื่อเมอร์ลินกลับมายังที่นั่งของดินแดนมนต์ดำ พ่อมดเอนเวียและคนอื่น ๆ ต่างพายินดี ท้ายที่สุดแล้ว เมอร์ลินก็เป็นตัวแทนของดินแดนมนต์ดำ ยิ่งผลงานของเมอร์ลินโดดเด่นมากเท่าไร นักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำก็จะยิ่งยืดอกภูมิใจได้มากขึ้นเท่านั้น
การประลองรอบแรกยังคงดำเนินต่อไป เมอร์ลินที่เป็นจุดสนใจในตอนแรก ตอนนี้ความสนใจที่มีต่อเขาค่อย ๆ ลดน้อยลงไป นักเวทย์เกือบทั้งหมดที่คัดออกในรอบแรกไม่มีพลังปีศาจแพนโดร่า แม้แต่การสร้างคาถาของพวกเขาก็ยังหยาบมาก นักเวทย์ที่สามารถสร้างคาถาที่ซับซ้อนอย่างลาเนียนั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อและเรียกได้ว่าทรงพลังอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างองค์กรและตระกูลนักเวทย์ ตระกูลนักเวทย์ที่สามารถผลิตอัจฉริยะออกมาได้นั้นหายากมาก จึงทำให้ในรอบแรก นักเวทย์จากตระกูลนักเวทย์ถูกคัดออกทั้งหมด ไม่มีคนไหนสามารถผ่านเข้ารอบไปได้
ส่วนองค์กรนักเวทย์ที่ผ่านรอบแรกนั้นส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางขึ้นไป มีนักเวทย์จากองค์ขนาดเล็กผ่านเพียงส่วยน้อยเท่านั้น
เนื่องจากการคัดกรองรอบแรกอาจต้องใช้เวลาสักระยะ เมอร์ลินจึงหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างตั้งใจ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เมอร์ลินเพิ่งค้นพบโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้
เมอร์ลินค่อย ๆ รู้สึกถึงความสามารถนี้หลังจากฝึกฝนกระบวนท่าของรูปปั้นทองคำ เมอร์ลินรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในร่างกายของเขา การฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านั้นทำให้เมอร์ลินได้รับประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง
ประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดคือ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล นอกจากนั้น เมอร์ลินยังสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เขาสามารถควบคุมพลังชี่และการไหลเวียนของเลือด กล้ามเนื้อและกระดูกได้
ตัวอย่างเช่น เมอร์ลินสามารถควบคุมความเร็วของการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดของเขาและแม้กระทั่งหยุดการไหลเวียนของเลือดทั้งหมดชั่วคราวและขยับกระดูกของเขา การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดจากรูปปั้นทองคำ
ปัจจุบัน เมอร์ลินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และการประลองรอบแรกก็จบลงในที่สุด! ในการประชุมสุดยอด การคัดกรองรอบแรกใช้เวลามากที่สุดเสมอ ท้ายที่สุด มีหลายฝ่ายที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากรอบแรก จำนวนนักเวทย์ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของนักเวทย์ในรอบที่สองนั้นแข็งแกร่งกว่ามากเมื่อเทียบกับในรอบแรก
อย่างไรก็ตาม องค์กรขนาดใหญ่ทั้งไม่ได้เข้าร่วมรอบแรก ในฐานะนักเวทย์จากองค์ขนาดใหญ่ พวกเขามีความสำคัญโดยธรรมชาติและสามารถเข้าสู่รอบที่สามได้โดยตรง ดังนั้นในรอบแรกและรอบที่สอง เบลลัค, บราตูและเด็กอัศจรรย์จึงไม่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้
นักเวทย์หลายคนอยากรู้และคาดหวังที่จะได้เห็นพลังของพวกเขา เมอร์ลินก็ไม่มีข้อยกเว้น สิ่งที่เขาต้องการรู้ว่ามากที่สุดก็คือพลังของเด็กอัศจรรย์
“รอบที่สอง พ่อมดเอนเวียจากดินแดนมนต์ดำและพ่อมดเฮย์เดนจากสถาบันเนปจูน!”
เมื่อพ่อมดที่ทำหน้าที่ผู้ประกาศพูดจบ พ่อมดเอนเวียก็เดินเข้าไปในสนามประลองทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อมดเฮย์เดนจากสถาบันเนปจูนก็มาถึงสนามประลองเช่นกัน
สถาบันเนปจูนเป็นองค์กรนักเวทย์ขนาดกลางที่ทรงพลังอย่างยิ่งที่ตั้งของพวกเขาตั้งอยู่ในทะเลลึกลับจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการติดต่อกับดินแดนมนต์ดำ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะองค์กรขนาดกลาง ความแข็งแกร่งของสถาบันเนปจูนนั้นทรงพลังอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่คอยดูแลพวกเขาแต่ก็มีนักเวทย์ระดับเก้าจำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์มากมายในสถาบันเนปจูน พวกเขามีนักเวทย์สามคนที่เข้าสู่รอบที่สองซึ่งเพียงพอที่จะแสดงความแข็งแกร่งของพวกเขา
สำหรับพ่อมดเฮย์เดน เขานักเวทย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดจากสถาบันเนปจูนซึ่งมีเป้าหมายที่จะรีบไปสู่รอบที่สาม! ดูเหมือนว่าเส้นทางของพ่อมดเอนเวียจะมาจบลงที่ตรงนี้
พ่อมดเอนเวียชิงเคลื่อนไหวก่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขาดึงแผ่นวงเวทย์รูนออกมา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แผ่นวงเวทย์รูนไคลน์แมนที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ที่หอคอยแห่งรูน
แม้ว่าพลังของแผ่นวงเวทย์รูนไคลน์แมนจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถใช้งานโดยพ่อมดเอนเวียเพียงลำพัง ส่วนแผ่นวงเวทย์รูนที่เขากำลังใช้อยู่นั้น มันเป็นแบบที่เขาสามารถใช้งานมันได้ตัวคนเดียว
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยอักษรรูนลึกลับที่ส่องแสงสีขาวจาง ๆ จากนั้นมันก็กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่และกักขังพ่อมดเฮย์เดนไว้ภายใน
การทำงานของวงแหวนเวทย์นี้คือการตรึงอีกฝั่งไว้กับที่!
พ่อมดเฮย์เดนเผยรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและยกแขนขึ้น แขนสีขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนอย่างรวดเร็ว เหมือนกับสีของทะเล
“สายธารแห่งเนปจูน!”
ขณะที่เสียงของพ่อมดเฮย์เดนเงียบลง เสียงคลื่นแผ่วเบาก็ดูเหมือนจะกระจายทั่วทั้งสนามประลองประหนึ่งว่าคลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดส่งเสียงคำรามเข้ามา
นอกจากนี้ ร่องรอยของไอน้ำควบแน่นอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดคลื่นระเบิดรุนแรง เห็นได้ชัดว่านี่คือพลังปีศาจแพนโดร่าจากสถาบันเนปจูน
*บูม!*
คลื่นกระทบกับอักษรรูนรอบ ๆ และใบหน้าของพ่อมดเอนเวียก็ซีดเผือด ขณะที่พ่อมดเฮย์เดนปล่อยพลังปีศาจแพนโดร่า เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าเกรงขาม
ตอนนี้ พ่อมดเอนเวียไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป เขาใช้แผ่นวงเวทย์รูนและจัดเรียงวงแหวนเวทย์แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้ เขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
ดังนั้น พ่อมดเอนเวียจึงเริ่มบอกกับกรรมการว่า "ฉันขอยอมแพ้!"
พ่อมดที่ทำหน้าที่กรรมการพยักหน้าเบา ๆ พ่อมดเอนเวีนลงจากสนามประลองด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขาล้มเหลวในการผ่านรอบที่สอง
เมื่อพ่อมดเอนเวียกลับมายังที่นั่งของดินแดนมนต์ดำ เขามองไปทางเมอร์ลินและก้มศีรษะลงและพูดว่า
"พ่อมดเมอร์ลิน ฉันขอโทษด้วย ฉันมันไร้ประโยชน์จริง ๆ ฉันทำให้ดินแดนมนต์ดำต้องอับอาย!"
เมอร์ลินส่ายหัวและกล่าวว่า "ไม่เป็นไร คู่ต่อสู้ของคุณมีพลังปีศาจแพนโดร่าซึ่งสามารถหลอมรวมเป็นเวทมนตร์ได้และมีพลังมหาศาล หากคุณสามารถเปิดใช้งานแผ่นเวทย์รูนไคลน์แมนได้ คุณก็จะสามารถเอาชนะเขาได้ การค้นคว้าด้านอักษรรูนในปัจจุบันยังห่างไกลจากความสามารถในการเปิดใช้งานแผ่นวงเวทย์รูนเพียงลำพัง ดินแดนมนต์ดำเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูน หากคุณสามารถศึกษาอักษรรูนในระดับที่ลึกซึ้งได้อย่างแท้จริง คุณจะไม่ด้อยไปกว่านักเวทย์ที่ฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่าอย่างแน่นอน!"
แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่เข้าใจอักษรรูนแต่เขาบอกได้ว่าพลังของอักษรรูนไม่ได้ไม่แข็งแกร่ง แต่การศึกษาอักษรรูนของพ่อมดเอนเวียยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปิดใช้งานแผ่นวงเวทย์รูนไคลน์แมนและพ่ายแพ้ต่อพ่อมดเฮย์เดน
ต่อจากนั้น การแข่งขันรอบที่สองก็ดุเดือดมากขึ้น เมอร์ลินเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าสู่สนามประลองในรอบที่สอง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น เขาแทบไม่เห็นใครจากองค์กรขนาดเล็กที่สามารถผ่านรอบที่สองได้เลย
“รอบที่สอง พ่อมดเมอร์ลินจากดินแดนเวทมนตร์แห่งความมืด และพ่อมดเบิร์กส์จากปราการเทอร์ร่า!”
ในที่สุดก็ถึงตาของเมอร์ลิน คู่ต่อสู้ของเขาคือนักเวทย์จากปราการเทอร์ร่าซึ่งพวกเขาเก่งในด้านการป้องกัน
“พ่อมดเมอร์ลิน คุณต้องชนะรอบสองให้ได้นะ!”
พ่อมดเอนเวียมองที่เมอร์ลินด้วยดวงตาที่มีความหวัง ไม่เพียงแต่นักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำเท่านั้น นักเวทย์จากองค์กรขนาดเล็กเกือบทั้งหมดต่างเพ่งมาที่เมอร์ลินด้วย
ท้ายที่สุด ในรอบที่สองของการประชุมสุดยอด นักเวทย์จากองค์กรขนาดเล็กทั้งหมดต่างตกรอบไป เหลือเพียงเมอร์ลินเท่านั้น
ถ้าแม้แต่เมอร์ลินยังไม่ผ่านรอบที่สองนี้ ก็คงไม่มีตัวแทนจากองค์กรขนาดเล็กในการประชุมสุดยอดอีกต่อไปแล้ว พวกเขาจะถูกลดเหลือให้เหลือให้เป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น
ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน เมอร์ลินจึงถูกจับตามองอีกครั้ง!