MDB ตอนที่ 15 เงินคือสิ่งสำคัญ
หลินจินส่ายหัวปฏิเสธ เขาไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าไม่มีสัตว์วิเศษ แล้วอีกอย่างเขาไม่อยากจะเสียเวลา เขาต้องรีบหาเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำเม็ดยาวิญญาณสุริยา
ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะปฏิเสธเธอ ใบหน้าของเธอมืดลงและไม่พูดอะไร เธอก้มศีรษะอย่างสุภาพแล้วลุกขึ้นจากไป
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าร่างกายของเธออ่อนแอหรือมีอาการโลหิตจางอย่างกะทันหัน ร่างกายของเธอสั่น แข็งขาอ่อนแรง ต้องขอบคุณปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของหลินจิน เขาจึงสามารถจับเธอทันเวลา ไม่อย่างนั้นเธอคงล้มลงไป
ขณะที่เขาเขาไปประคองเธอ สีหน้าของหลินจินก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
"เกิดอะไรขึ้น?!"
ผู้เฒ่าชุดดำวิ่งเข้ามาหาพวกเขาในขณะที่จ้องไปที่หลินจิน ผู้หญิงคนนั้นโบกมือให้เขาและพูดว่า “ข้าแค่เสียหลักเล็กน้อย”
ผู้หญิงคนนั้นต้องการออกจากเงื้อมมือของหลินจินแต่เธอทำไม่ได้
เธอพยายามดึงออกอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าหลินจินมีฝ่ามือเหล็ก ใบหน้าของเธอแดงก่ำ แม้ตอนแรกใบหน้าของเธอจะซีดเผือดแต่ตอนนี้กลับเดือดดาลด้วยความโกรธ
ด้วยการดึงครั้งสุดท้าย ในที่สุดเธอก็สามารถปลดปล่อยตัวเองจากการจับของหลินจินได้สำเร็จ
เธอเขม็งจ้องไปที่หลินจินแล้วหันหลังเดินจากไป
"เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!" หลินจินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หันกลับมามองเขา ขณะที่สายตาที่ข่มขู่ของชายชราจ้องมาที่เขาตลอดเวลา
หลินจินตะโกนในขณะที่รีบไล่ตามพวกเขา “คำสาปในร่างกายของเจ้าได้หยั่งรากลึกในตัวของเจ้าแล้ว จึงทำให้เจ้าป่วยหนักแต่ข้ายังสามารถช่วยเจ้าได้!”
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวไม่ได้ยิน เธอไม่สนสิ่งที่เขาพูดและต่อให้เธอทำ เธอก็คงไม่เชื่อเขา ชายชราในชุดดำหยุดและหันไปเผชิญหน้ากับหลินจิน ขณะที่เขาเอื้อมมือออกไปข้างหน้า
เสี่ยวฮั่วคำรามและพุ่งไปข้างหน้าแต่ถูกขับไล่โดยพลังที่มองไม่เห็น หลินจินรู้สึกราวกับว่าเขาถูกกระแทกกลับด้วยการชกเล็กน้อย เลือดปั่นป่วนภายในหน้าอกของเขาในขณะที่เขาเริ่มอาเจียนเป็นเลือด
พวกเขาได้รับบาดเจ็บ
“นี่เป็นบทเรียนสำหรับ คำพูดไร้สาระของเจ้า!”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็จากไปเช่นกัน
หลินจินไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร ชายคนนั้นโกรธและต่อสู้ตามที่เขาพอใจ เขาคิดว่าหลินจินไม่มีอารมณ์ของตัวเองเหรอ? เดี๋ยวก่อน! เขามีโอกาสล้างแค้นเป็นศูนย์จริง ๆ ชายผู้นี้ดูเหมือนเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แม้จะมีความแข็งแกร่งของหลินจินและเสี่ยวฮั่วรวมกัน แต่ก็แทบจะไม่เพียงพอที่จะเอาชนะเขาได้
“ฮึ่ม! ฉันจะบอกพวกคุณให้กินเม็ดยาเมฆาลอยน้ำ 9 เม็ดกับหญ้าเลือดมังกร สัปดาห์ละครั้ง ฮึ่ม! ตอนนี้ ฉันจะไม่บอกพวกคุณแล้ว...เดี๋ยวก่อนนะ เชี่ย! พวกเขายังไม่จ่ายตังค์เลย! อย่าหนีนะ! จ่ายค่าค่าธรรมเนียมการประเมินก่อน!”
หลินจินไล่ตามพวกเขาไปไม่กี่ก้าว แต่พวกเขาไปไกลแล้ว
หลินจินโกรธจัด
เขาทำสิ่งนี้ด้วยจิตใจที่มีเมตตา เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมมันถึงลงเอยแบบนี้?
ยังดีที่อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับมานั้นไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ข้อเสียคือเขาถูกทำให้อับอายจากการถูกทำร้ายในที่สาธารณะ
เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ โชคดีที่ไม่มีใครสนใจเขา หลินจินจึงกระแอมเล็กน้อยและออกจากที่นี่ไปอย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายชราได้ยั้งมือไว้ คนอื่นอาจจะไม่เห็นความแตกต่างแต่หลินจินสามารถบอกได้ว่าแม้ชายชราดูเหมือนจะโจมตีด้วยตัวเอง จริง ๆ แล้วเขาใช้ความแข็งแกร่งของสัตว์วิเศษของเขา
และสัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของชายชรานั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก
สิ่งนี้ทำให้หลินจินเข้าใจดีขึ้นว่าคนอ่อนแอจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและถูกรังแก ในขณะที่คนเข้มแข็งจะอดทนและปกครอง
ดังนั้นระดับของเสี่ยวฮั่วคือสิ่งที่ต้องเพิ่มอย่างเร่งด่วน
แม้ว่าหลินจินจะโกรธแต่เขาก็ไม่หยุดพัก เขายังมีเหรียญทองแดงอยู่บ้าง แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะซื้อวัตถุดิบสำหรับทำเม็ดยาวิญญาณสุริยา วัสดุเหล่านี้มีราคาแพงกว่ามาก
ตอนนี้หลินจินกำลังขาดแคลนเงินอย่างมาก
โชคดีที่เขาคิดวิธีหาเงินก้อนโตได้ในเวลาอันสั้น
ผู้คนจำนวนมากเข้าแถวนอกสมาคมประเมินสัตว์วิเศษทุกวัน หากมองดูดี ๆ ก็จะสามารถบอกได้ว่าลูกค้าที่มารับการประเมินมีมากกว่าผู้ประเมิน
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น มันเป็นเรื่องปกติที่สัตว์เลี้ยงจะป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นลูกค้าที่ต้องการตรวจสอบมีมากมาย สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากจำนวนคนที่ขายป้ายทะเบียนที่ประตูหน้าทุกวัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ป้ายทะเบียนของผู้เชี่ยวชาญตามความต้องการของพวกเขาและไม่ใช่ทุกคนที่ประเมินสัตว์วิเศษที่พอจะรู้วิธีประเมินสัตว์วิเศษแต่ละตัว นี่ก็เหมือนกันสำหรับการรักษาอาการเจ็บป่วย
มักจะมีสัตว์เลี้ยงประเภทแปลก ๆ ที่ผู้ประเมินไม่รู้จักและมักจะมีความเจ็บป่วยที่ยากที่ผู้ประเมินไม่สามารถรักษาได้
ดังนั้น นักต้มตุ๋นหลายคนจึงใช้ช่องโหว่นี้หลอกเหยื่อที่ไร้หนทางไปเหล่านี้ โดยพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาจ่ายเงิน
หลินจินตั้งใจจะใช้แผนที่คล้ายคลึงกับพวกเขาแต่สิ่งที่ทำนั้นต่างออกไปเพราะเขาสามารถรักษาได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากเขาทำสิ่งนี้จะต้องไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นเพราะมันฝ่าฝืนกฎของสมาคม แต่เนื่องจาก หลินจินถูกลงโทษระยะหนึ่งแล้วจึงไม่มีใครร้องการประเมินจากเขา ดังนั้นคงไม่มีใครสังเกตเห็นได้ถ้าเขาหายตัวไป
หลังจากกลับถึงบ้าน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่หมวก ถอนขนของเสี่ยวฮั่วบางส่วนและวางไว้บนใบหน้าของเขาเป็นเครา หลินจินดูเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง มันดูน่าเชื่อมากว่าและเขาจะสามารถหลอกคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาได้ด้วยซ้ำ
เสี่ยวฮั่วและโกลดี้มองอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าหลินจินจะทำอะไรจากลานบ้าน หลินจินต้องทิ้งเสี่ยวฮั่วไว้ในบ้านเผื่อในกรณีมีคนรู้จักเขา
เขาเดินทางกลับมานอกสมาคมประเมินสัตว์วิเศษ ที่นี่ยังมีผู้คนมากมายเช่นเดิม
หลังจากที่เขาไปถึงที่นั่น มีคนกระซิบกับเขาว่า “เฮ้ พี่ชาย พยายามจะขอป้ายทะเบียนเหรอ? ข้ามีป้ายทะเบียนของผู้เชี่ยวชาญของสมาคม แม้กระทั่งของหัวหน้าหวัง ตราบใดที่คุณมีเงินสดก็ไม่มีปัญหา”
หลินจินถามว่า “เจ้ามีป้ายทะเบียนของผู้ประเมินหลินหรือไม่?”
"ใคร? ใครคือผู้ประเมินหลิน?” บุคคลนั้นดูงุนงงทันที
“หลินจิน ผู้ประเมินหลินไงล่ะ!” หลินจินกล่าวเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง บุคคลนั้นก็ได้กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นี่เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? ถ้าอยากได้ป้ายทะเบียนจากเจ้าขยะก็ไปต่อแถวเอาเอง!”
บุคคลนั้นพึมพำในขณะที่เขาเดินออกไปพร้อมหายใจฮึกฮัด
หลินจินก่นด่าและถอนหายใจ ชื่อเสียงของเขามันนำหน้าเขาไป แม้แต่คนที่ขายป้ายทะเบียนก็รู้เกี่ยวกับเขา
หลังจากสังเกตมากขึ้นในขณะที่นั่งยองอยู่ในมุมหนึ่ง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ที่นั่นได้ แค่เห็นลูกค้าที่หดหู่และผิดหวังที่ออกจากสถานที่ ก็หมายความว่าสมาคมไม่สามารถแก้ปัญหาของพวกเขาได้ ลูกค้าที่ผิดหวังเหล่านั้นคือลูกค้าที่หลินจินต้องการ
ด้วยเป้าหมายที่เลือกไว้ หลินจินเตรียมตัวและเข้าหาคนอ้วนที่หดหู่ซึ่งดูเหมือนว่าเขาร่ำรวย
และคน ๆ นั้นคือ เฉียนโหย่วเต๋อ
ในฐานะเจ้าของร้านค้ากว่าสิบแห่งในเมืองเมเปิ้ล สิ่งที่เขาชอบทำคือการโอ้อวด เขาชอบใส่เสื้อผ้าราคาแพง แหวนทองบนนิ้วของเขาและสัตว์วิเศษที่แข็งแกร่งและทรงพลังของเขา
สัตว์เลี้ยงของเขาคือเสือดาวที่เขาซื้อมาจากพ่อค้าต่างชาติในราคาที่สูง
เฉียนโหย่วเต๋อรู้สึกว่ามีเพียงสัตว์วิเศษที่มีขนสีทองเท่านั้นที่จะเหมาะกับสถานะของเขา ในฐานะคนร่ำรวย ปกติแล้วเขาปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงของเขาเป็นอย่างดี โดยมอบหมายให้ลูกน้องดูแลมันและจัดหาอาหารและเครื่องดื่มดี ๆ ให้กับมัน เมื่อใดก็ตามที่เขาออกไปในที่สาธารณะ สัตว์วิเศษของเขามักจะเดินนำหน้าเสมอ มันสร้างเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ทุกที่ที่เขาไปและการเพิ่มความหยิ่งผยองของเขาทุกอย่างก้าว
แต่สัตว์วิเศษของเขาล้มป่วยลงเมื่อไม่นานมานี้ มันไม่เพียงแต่กลายเป็นเซื่องซึมและเบื่ออาหารเท่านั้นแต่ยังทำให้ขนร่วงอีกด้วย
เฉียนโหย่วเต๋อไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงนำมันมาที่นี่และกลับมาหลายครั้งเพื่อให้หัวหน้าหวังจีรักษาและวินิจฉัยด้วยตนเอง หัวหน้าหวังสามารถรักษาอาการอื่น ๆ ได้ แต่อาการแย่ลง
ถ้าหากว่ารักษาต่อไปเรื่อย ๆ แล้วขนของมันก็ร่วงไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย มันต้องเสือดาวที่ไร้ขนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นอาการเดียวที่หัวหน้าหวังไม่มีวิธีรักษา สถานการณ์ไม่ดีขึ้นแม้จะทานยาหลายชนิดแล้วก็ตาม
ขณะที่เขาจมอยู่ในความโศกเศร้า เขาได้ยินคนพูดว่า “เสือดาวตัวนี้กำลังจะสูญเสียขนใช่หรือไหม?”
คน ๆ นั้นกำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังกัดกินอยู่ในใจของเขา
เฉียนโหย่วเต๋อหงุดหงิดเมื่อเขาหันกลับมาเพื่อดูว่าใครเป็นคนพูด มันเป็นผู้ชายที่มีผ้าพันแผลบนใบหน้าและหนวดสีเทาซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่คนปกติเท่าไป
“ไสหัวไป! วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ระวังปากของเจ้าด้วย ไม่งั้นข้าจะ...จิน...จินหม่าน เจ้ากำลังทำอะไร กลับมานี่!”
จินหม่านเป็นชื่อที่เฉียนโหย่วเต๋อตั้งให้เจ้าเสือดาว ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งมหาศาล โดยปกติแล้ว เสือดาวตัวนี้ดุร้ายมากจนไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวมันนอกจากนายของมัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งไม่ทันระวัง เขาเกือบเสียชีวิตจากการถูกจินหม่านกัด
ทว่าในเวลานี้ เสือดาวดุร้ายตัวนี้เป็นมิตรมากและเอามือถูมือของคนแปลกหน้าอย่างเชื่อฟัง
ดวงตาของเฉียนโหย่วเต๋อเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
แน่นอนว่าหลินจินได้ใช้ทักษะการกำราบสัตว์วิเศษกับเจ้าเสือดาว เขาได้ทักษะนี้ได้รับจากความสำเร็จ 'การประเมินสัตว์วิเศษหนึ่งร้อยตัว' สัตว์วิเศษทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับสาม พวกมันจะเชื่อฟังเขาเพียงแค่การสัมผัสจากมือของเขา
สิ่งนี้ทำให้เฉียนโหย่วเต๋องุนงงแต่หลินจินยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร เขารู้ว่าถ้าจะให้อีกฝ่ายสนใจทำธุรกิจกับเขา เขาต้องแสดงตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือ