King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 202 ปกติ=เรียบร้อย
ตอนที่ 202 ปกติ=เรียบร้อย
1 เดือนต่อมา
ณ บ้านของดรารอน์ห้องกินอาหาร
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเวลาก็ได้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว นับจากวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างปกติตลอดเรียบร้อยดี ไม่มีการโจมตีหรือข้อความอะไรเป็นพิเศษส่งมาให้ผมเลยสักอย่าง ทั้งจากประเทศและคนอื่นๆ
ตอนนี้เองคริสตันจำนวนที่ราชินีภูติได้บอกเอาไว้ผมก็รวบรวมได้ตามที่บอกแล้วด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อสองอาทิตย์ก่อนไปเจอสัตว์อสูรกลุ่มใหญ่มากจนใช้เวลาต่อสู้ไปสองวันสองคืน ให้สะเหนื่อยจนเลือดตามแทบออก แต่ก็คุ้มค่าเพราะได้คริสตันหลายแสนจุดภายในเวลาสองวัน
“ลาฟเชียร์วันนี้ไม่มีไข่ตุ๋นเหรอ?” เฮสเฟียร์พูดขึ้นขณะที่กำลังกวาดสายตามองอาหารด้านหน้าอยู่
ถึงแม้ว่าหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่เฮสเฟียร์ก็ยังมากินข้าวที่นี่ทุกวันไม่เข้าใจเลย ได้ข่าวมาว่ากองทัพส่งงบสนับสนุนมาให้หลังจากคืนสมบัติที่เอามาจากโจรเอลฟ์ที่จัดการไปแล้วไม่ใช่หรือไง ก็น่าจะไปทำกินเองได้แล้วสิ ชิ! อยากจะพูดแบบที่คิดออกไปอยู่หรอก แต่อย่าดีกว่า
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ เหมือนช่วงนี้ไข่มันจะขาดตลาดมากเกินไปเพราะช่วงนี้เกิดโรคอะไรสักอย่างพวกไก่ในหมู่บ้านตายไปเยอะเลย” ลาฟเชียร์ทำสีหน้าสลดเล็กน้อยแบบเหนื่อยใจ
“งั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ มีแต่ต้องรอเวลาให้มันหายไปเองเท่านั้น”
“คงต้องเป็นแบบนั้นแหละคะ เฮ้อ~”
เดี๋ยวๆ สองคนกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ ยิ่งตัวของเฮสเฟียร์ยัยนี่คิดได้ยังไงให้มันหายไปเอง เกิดโรคแบบนี้มันโรคระบาดแล้วนะ เธอต้องส่งคนไปตรวจสอบสิ ไปหาสาเหตุแล้วหาทางแก้ไม่ใช่หรือไง บางที่ก็หนักใจกับประเทศนี้ในอนาคตเมื่อเจอยัยนี่ปกครองเหมือนกัน
แต่เรื่องโรคแค่นั้นปล่อยไปเถอะ เพราะมันเกิดมาได้สักพักแล้วแต่มันก็ไม่ได้ลามมาถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ตอนแรกก็ว่าจะไปตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาแต่นี่มันเกินขอบเขตของผมเลยไม่ได้เข้าไปยุ่ง ยิ่งมาได้ยินคนที่ต้องรับผิดชอบมาพูดว่า [ปล่อยเอาไว้เดี๋ยวมันก็หายเอง] แบบนี้อีก ดีแล้วที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งปล่อยให้มันตายหมดหมู่บ้านไปเลย
“ว่าแต่ว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นยังไงบ้างลาฟเชียร์”
“ปกติคะ!”
เมื่อผมถามไปลาฟเชียร์ก็ตอบมาแบบทันทีโดยไม่เว้นช่วงการตอบเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับดวงตาทั้งสองที่มองมาทางผมแบบจริงจัง ท่าทางแบบนั้นคิดยังไงก็กำลังโกหกอยู่แน่
“ปกตินี่คือปกติแบบไหน”
“ก็ปกติไงคะ องค์ชายนี่เข้าใจยากจัง แฮะๆ” ลาฟเชียร์ยิ้มอ่อนๆ
แต่อาการแบบนี้มันออกมาชัดเจนแล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน ทางเฮสเฟียร์เองก็กำลังส่งสายตาหนักใจมองไปทางเธอเช่นกัน ซึ่งก็แน่ละ ออกอาการขนาดนี้ไม่ว่าใครก็ดูออกทั้งนั้นแหละว่าโกหกแน่นอน เหอะๆ
“สรุปว่าทุกคนปลอดภัยใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ ทะ ทุกคนไม่ได้สู้อะไรกันเลย” พูดจบลาฟเชียร์ก็เอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ เหมือนกับว่าพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกมา
นั่นไงเริ่มหลุดออกมาแล้วสินะ แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงก็คงยังไม่มีใครตายหรืออันตรายถึงชีวิตกันหรอก เพราะผมเองก็บอกกับเนสก้าและเทเลอร์เอาไว้แล้วเหมือนกันถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาได้เลยถ้ามันรุนแรงจริงๆ โดยเน้นว่ารุนแรงถึงชีวิตเอาไว้แบบจริงจังไว้ด้วย
หลังพยามทำเป็นไม่สนใจผมก็หันไปทางเฮสเฟียร์ต่อ
“แล้วทางเธอละเป็นยังไงบะ-”
ตูม!!!!
ระหว่างกำลังถามก็มีเสียงที่ดังมากเกิดขึ้น ทำให้ผมดีดตัวเองเพื่อลุกขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นเป็นพลังเวทย์ที่รุนแรงมากกำลังโจมตีเวทย์ป้องกันของผมอยู่ ชักไม่ดีแล้วสิ! พลังเวทย์ขนาดนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลย
“เฮสเฟียร์เธอปกป้องลาฟเชียร์เอาไว้ก่อน ข้าจะออกไปดูเพราะตอนนี้กำลังมีคนโจมตีเวทย์ป้องกันอยู่”
“เห่ะ… ดะ ได้สิ!” ‘ท่าทางแบบนั้นมันอะไร กำลังจะบอกว่าของที่แข็งแกร่งในการป้องกันอย่างเวทย์ป้องกันจะพังงั้นเหรอ ล้อเล่นน่า!’
จากนั้นผมก็วิ่งออกจากห้องทันทีเพื่อตรงไปยังจุดที่โดนโจมตี เพราะพลังที่โจมตีเมื่อครู่เพียงครั้งเดียวก็แทบจะทำลายเวทย์ป้องกันได้แล้ว ตอนนี้สามารถคิดออกมาได้ทั้งหมดสองอย่าง
หนึ่งคนที่โจมตีต้องมีพลังเวทย์ขั้นตำนาน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็สามารถระบุตัวได้ถ้าเป็นคนของทั้งห้าประเทศก็ดีไป แต่ว่า ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นเพราะคนที่มีพลังระดับตำนานน่าจะกำลังสู้อยู่ที่ประเทศทอซัสเพื่อยึดประเทศจากนิวครอนอยู่ ขอให้อย่าเป็นแบบที่คิดเถอะ ถ้าเป็นพวกที่เฮาร์แมนพูดถึงเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นเรื่องแน่
สองเป็นกำลังรบจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้คนที่มีพลังเวทย์ขั้นสูงกว่า 100 คน เพื่อใช้เวทย์ผสานโจมตี ซึ่งถ้าจำนวนขนาดนั้นทางผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะสามารถชนะได้ไหม เพราะถ้ากล้าโจมตีแบบนี้มันคงไม่ได้เอาคนมาเพียงร้อยคนแน่นอน
…
….
…..
ในเวลาต่อมา
หลังจากที่ผมตรงมายังจุดที่โดนโจมตีอยู่ก็พบกับกลุ่มทหารภูติที่ปกป้องบริเวณบ้านยืนจับกลุ่มกันอยู่ก่อนแล้ว พวกนี้มาไวจริงๆ สมแล้วที่โดนคัดเลือกโดยราชินีภูติ แต่ท่าทางสบายใจแบบนั้นมันอะไรศัตรูกำลังทำลายเวทย์ป้องกัน แต่พวกมันกลับไม่ได้อยู่ในท่าทางพร้อมสู้กันเลยสักคน
เมื่อรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของพวกทหารที่ยืนกันอยู่ผมก็มองขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พบกับราชินีภูติกำลังลอยอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยเวทย์ศรลมจำนวนหลายสิบอันกำลังเตรียมโจมตีอยู่
ยัยนั่นกำลังทำบ้า… ไม่สิ! อันดับแรกต้องหยุดเอาไว้ก่อน ถ้าโดนเวทย์ระดับนั้นโจมตีเข้าใส่มีหวังเวทย์ป้องกันพังแน่นอน แล้วเมื่อมันเป็นแบบนั้นเราก็ต้องใช้คริสตันจำนวนมากเพื่อสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อคิดได้ผมก็ใช้เวทย์ลมดีดตัวเองขึ้นไปบนฟ้า ตรงไปยังจุดที่ราชินีภูติลอยอยู่
“หยุดก่อนครับ อย่าทำลายมันนะ!!!”
เมื่อพูดไปราชินีภูติก็ไม่ได้สนใจอะไรผม… จริงสิ! คุณสมบัติของมันอีกอย่างคือด้านนอกไม่สามารถมองเห็น หรือได้ยินเสียงจากด้านในนิ ซวยแล้ว!
หลังจากคิดได้ผมก็บกลายร่างเป็นร่างจำแลงอสูรระดับสี่เพื่อเตรียมตั้งรับการโจมตีของราชินีภูติที่กำลังจะเข้ามา แล้วตะโกนบอกพวกทหารด้านล่างที่กำลังยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้วยเสียงที่ดังเต็มที่
“รีบหนีไปให้ไกลที่สุด เวทย์ป้องกันกำลังจะพังแล้ว!!!!”