King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 186 การรวมอำนาจ
ตอนที่ 186 การรวมอำนาจ
เมื่อคุยเรื่องปวดหัวจบราชินีภูตก็เดินออกไปทันที แต่ทว่าหลังจากที่เธอเดินออกไปทางลาฟเชียร์ที่กำลังยืนอยู่กลับมีสีหน้ากำลังหนักใจแทน สงสัยจะเป็นกังวลเรื่องที่เราคุยกับราชินีภูติเมื่อกี้สินะ เฮ้อ~ แต่ช่วยไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้เธอก็คงพึ่งได้ยินครั้งแรกจะกังวลก็ไม่แปลกขนาดตัวเราเมื่อรู้เรื่องยังกังวลตั้งหลายวัน จากนั้นผมก็ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“สีหน้าแบบนั้นกังวลเรื่องที่ข้าคุยกับราชินีภูติอยู่เหรอ?”
“มันก็มีส่วนนั่นแหละคะ ได้ยินเรื่องแบบนั้นก็เป็นธรรมดาแต่ว่ามันก็มีเรื่องอื่นด้วยเหมือนกันเพราะเมื่อเช้าข้าติดต่อไปที่เมืองหลวงแล้วก็ได้รู้อะไรบางอย่างมา”
ลาฟเชียร์แสดงท่าทางหนักใจขณะพูด
“เรื่องอะไร…”
“เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรัชทายาทคนอื่น แล้วก็พวกขุนนางที่สนับสนุนคะ เพราะดูเหมือนว่าองค์ราชาจะประกาศเลื่อนผลการระบุตัวรัชทายาทไปอีก 5 ปี ทางขุนนางหลายคนจึงเกิดความไม่พอใจกันมาก แต่ทางนั้นบอกห้ามบอกท่านเรื่องนี้…”
ไม่ทันแล้วละเธอบอกมาขนาดนี้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าพวกหมายเลข 1-4 จะเริ่มเคลื่อนไหวกันเร็วแบบนี้ อันที่จริงก็เป็นห่วงเอ็ดเน่อยู่หรอกเพราะเธอต้องกลายเป็นเป้าหมายแรกของพวกมันแน่
แต่ทางนั้นเองก็มีทั้งเนสก้าและเทเลอร์คอยดูแลอยู่คงไม่เป็นอะไร อีกอย่างยังมีกริมเทอร์อยู่ปกป้องด้วยอีกคนจึงหมดห่วงไปได้ ที่กำลังน่าเป็นห่วงมันก็คือเรื่องของเรามากกว่าที่จะไปเอาคริสตันห้าล้านจุดมากจากไหน ซื้อก็เปลืองเงินเกินไปแถมอาจจะกลายเป็นปัญหาอีก เมื่อพยามคิดสักพักผมก็เริ่มพูดต่อ
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงพวกมันจะมีขุนนางสนับสนุนแต่องค์ราชาก็คือไม่ปล่อยให้พวกมันทำอะไรตามใจชอบหรอก”
“มันก็จริงคะ แต่ว่าข้าได้ยินมาเกี่ยวกับองค์รัชทายาทอันดับที่สี่มาอีกเรื่อง”
อะไรกัน นี่เธอคุยกับหน่วยข่าวกรองกลับของประเทศหรือไงถึงได้รู้เรื่องเยอะขนาดนี้??? แต่เรื่องข้อมูลที่ลาฟเชียร์ได้มาเอาไว้ก่อนเพราะยังไงตอนนี้เรื่องก็เป็นแบบที่เรากังวลเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วที่เจ้าหมายเลขสี่มันต้องทำอะไร
คิดเอาไว้ไม่ผิดเลย ชิ!
“เธอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอะไรมา?”
“การรวมอำนาจคะ”
“รวมอำนาจ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้องค์รัชทายาทสี่เสนอรวมอำนาจขุนนางกับองค์รัชทายาทหนึ่ง ทำให้ตอนนี้ขุนนางกว่า 50% อยู่ข้างพวกนั้นหมดแล้ว และตามการคาดการณ์ของฝ่ายกลยุทธ์ของเมืองหลวงก็คิดว่าอีกไม่เกิน 2 ปี ต้องเกิดการใช้กำลังทหารเพื่อตำแหน่งของราชาแน่นอนค่ะ”
ลาฟเชียร์ทำหน้าจริงจังมากขณะพูดมาอีกครั้ง แต่รอบนี้มองเข้าใจในตาของผมด้วย
แต่จะว่าก็ว่าเถอะไอเรื่องที่เจ้าหมายเลขสี่กับเจ้าหมายเลขหนึ่งมันรวมกำลังกันก็พอเข้าใจได้อยู่หรอก ถึงจะเป็นเรื่องที่เกินคาดของเรา แต่ที่เกินคาดกว่าก็คือลาฟเชียร์รู้ละเอียดยันเรื่องของฝ่ายกลยุทธ์ของเมืองหลวงนี่แหละที่มันน่าแปลกใจมากกว่า เพราะปกติแล้วเรื่องแบบนี้มันน่าจะเป็นข้อมูลลับอย่างทารอนไม่ก็ดิวนีสันต์ หรือไม่ก็คนระดับสูงในประเทศเท่านั้นที่รู้ไม่ใช่หรือไง เฮ้อ~ ประเทศเมซัสปล่อยให้เธอเข้าถึงข้อมูลขนาดไหนกัน
หลังจากที่พยามทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดสักพักผมก็พูดกับลาฟเชียร์ต่ออีกครั้ง
“ช้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่เธอไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังงะ-”
“มันเป็นความลับคะ หุหุ!”
ผมยังพูดไม่ทันจบลาฟเชียร์ก็เอ่ยออกมาพร้อมเอานิ้วชี้มาบังปากเอาไว้ แล้วดวงตาข้างขวาปิดลงเล็กน้อย น่ารัก~ ตามจริงก็อยากตอบไปว่า ลับบ้าลับบออะร เธอบอกฉันเกือบหมดแล้วไม่ใช่หรือไง แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะมันจะกลายเป็นปัญหาทำให้เธอไม่พอใจอีกก็ได้ จากนั้นจึงพูดคำอื่นออกไป
“ถ้างั้นก็ไม่เป็นอะไรข้าเองก็ไม่อยากรู้หรอก”
“ใช่แล้วค่ะ มันต้องแบบนั้น อื้ม!”
ลาฟเชียร์ตอบด้วยท่าทางชอบใจโดยพยักหน้าขึ้นลง
ท่าทางแบบนั้นมันอะไรที่บอกว่าไม่อยากรู้เมื่อกี้ฉันประชด ให้ตายสิ! ถ้าเป็นคนอื่นคนด่าไปแล้วแต่ทำใจด่ายัยนี่ไม่ลงจริงๆ
“เอาละคะถ้างั้นก็มากินข้าวกันดีกว่า มันเย็นหมดแล้ว”
“นะ นั้นสินะ”
เมื่อคุยจบผมก็เริ่มนั่งโต๊ะอาหารที่ได้จัดเอาไว้อย่างดี เพราะตอนนี้บนโต๊ะมันต่างจากเมื่อเช้าออกไปนิดหน่อยโดยมันมีผ้าสีขาวมาปูเอาไว้บวกกับมีอแจกันดอกไม้ตั้งเอาไว้กลางโต๊ะ โดยรอบแจกันก็มีอาหารหลายชนิดเรียงรายกันอยู่
เรียกได้ว่ามันน่ากินกว่าเมื่อเช้าเยอะเลย แต่ทางลาฟเชียร์ก็ยืนออกไปทางมุมห้องเล็กน้อยเหมือนกับเมื่อเช้า เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย…
“ต้องให้ข้าบอกอีกกี่รอบว่าเวลาแบบนี้ให้มากินด้วยกัน ในบ้านก็มีเธอเพียงคนเดียวทำไมต้องทำตัวแบบนั้นด้วย”
ให้ตายสิ! ถ้าในบ้านมีคนรับใช้คนอื่นเรื่องแบบนี้ผมจะไม่ว่าเลย เพราะถ้าเป็นไปตามปกติคนรับใช้ต้องมายืนรอเจ้านายกินก่อน เมื่อเจ้านายกินเสร็จจึงเริ่มเก็บของแล้วไปกินในห้องครัว
หลังจากที่บอกไปลาฟเชียร์ก็ทำท่าเกร็งๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เมื่อเห็นท่าทางเธอเป็นแบบนั้นไม่นานผมก็พูดออกไปต่อ โดยครั้งนี้เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจแทน
“ถ้าไม่มากินข้า ก็ไม่กิน!”
“เอ่ะ”
ไม่ต้องมาตกใจแบบนั้นเลย คนที่ทำให้ฉันต้องเลือกทำแบบนี้มันเธอเองไม่ใช่หรือไง มากินด้วยกันตั้งแต่แรกก็จบแล้วจะให้มานั่งกินแล้วยืนดูเธอมองฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกถึงแม้ว่าชาติก่อนจะเคยทำมาก็เถอะ
แต่เรื่องกินข้าวแล้วคนรับใช้มายืนรอบตัวก็เป็นเรื่องที่ผมจะพยามเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว เพราะมันอึดอัดเวลามาคนมามองแต่พอไล่ให้ออกจากห้องก็ไม่ได้เจอหน้าคนรับใช้พวกนั้นอีกเลย ซึ่งพอถามทหารก็บอกมาว่าพวกนั้นน้อยใจจนลาออกบ้างละ ฆ่าตัวตายบ้างละ ผมก็เลยยกเลิกเปลี่ยนมันและกินแบบอึดอัดต่อไป
แต่ตอนนี้ผมสามารถดูแลลาฟเชียร์ได้อย่างทั่วถึงเรื่องลาออกก็เป็นไปไม่ได้ เรื่องฆ่าตัวตายเธอคงไม่ทำหรอก แต่ท่าทางของเธอตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่ อะไรกันแค่กินข้าวมันต้องสับสนขนาดนั้นเลยหรือไง เฮ้อ~
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักผมก็ถามต่ออีกครั้ง
“สรุปจะมากินด้วยกันไหม”
“กะ กินก็ได้คะ”
แค่นี้ก็จบ!