King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 183 นี่แหละความจริง
ตอนที่ 183 นี่แหละความจริง
หลังจากที่ผมเดินแยกตัวออกมาจากเฮสเฟียร์ได้สักพักก็มาถึงจุดที่ต้องการ โดยตอนนี้ผมแอบหลังหินขนาดใหญ่มาสักพักแล้วเพื่อวิเคราะห์เกี่ยวกับพวกมันด้านหน้า โดยที่ผมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้มีเต็นท์อยู่ 3 หลัง แล้วทั้งสามหลังก็โดนเดินเข้าเดินออกตลอดเวลาโดนผลัดกันเดินเข้าไป ส่วนจะเข้าไปทำอะไรก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะทางผมเองถึงจะไม่ใช่เผ่าภูติแต่มาเจอเรื่องแบบนี้ก็มีน้ำโหเช่นกัน ถ้าผมไม่ต้องการข้อมูลจากพวกมัน พวกมันได้ตายกันหมดแน่
คงได้เวลาจัดการแล้วละ!
เมื่อตัดสินใจได้ผมก็เริ่มจัดการกับพวกมันทีละคนสองคนตามมุมอับสายตา ที่ได้วางแผนเอาไว้ ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะจำนวนของพวกมันมีอยู่ประมาณ 30 คน จะให้เข้าปะทะตรงๆ ก็ไม่ได้ยากอะไร แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกภูติที่อยู่ในเต็นท์การฆ่าพวกมันเงียบๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ระหว่างที่แผนกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น “ศัตรูบุกมาแล้ว!!!” ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มันตะโกนขึ้นมา จากนั้นพวกเอลฟ์ที่ยังไม่ทันระวังตัวก็อยู่ในท่าพร้อมรบกันทันที พวกที่อยู่ในเต็นท์เองก็รีบวิ่งออกมาพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ จากนั้นไม่นาน พวกเอลฟ์ที่ยืนหันดาบไปมันก็เริ่มพูดกัน
“-เกิดอะไรขึ้นศัตรูบุกเข้ามาได้ยังไง พวกเฝ้าหน้าถ้ำมันทำอะไรอยู่???”
“-ตอนนี้เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกเราหายไปทีละคนสองคน”
“-เกาะกลุ่มกันเอาไว้!!!”
หลังจากสิ้นเสียงพูดของคนสุดท้ายเอลฟ์ทั้งหมดที่กำลังอยู่ในท่าทางวิตก ก็เริ่มเกาะกลุ่มกับเอาไว้เป็นกลุ่มเดียวโดยพยามกวาดสายตามองซ้ายมองขวากันด้วยท่าทางสับสน สำหรับจำนวนของพวกมันตอนนี้ก็เหลืออยู่มาร 23 คน เพราะผมเก็บไปก่อนหน้านั้นแล้ว 7 คน ให้ตายสิ! กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนได้
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถใช้แผนซุ่มโจมตีได้แล้วผมก็เริ่มใช้เวทย์ “เวทย์หนามดิน” เมื่อเริ่มใช้ออกไปบนพื้นดินที่พวกเอลฟ์กำลังเกาะกลุ่มกันอยู่ก็มีดินแหลมยาวกว่า 1 เมตร ปรากฏออกมาแล้วแทงไปที่ร่างของพวกมันหลายสิบแท่ง
ฉวบ!
ฉวบ!
ฉวบ!
ได้ผลแบบที่คิดเอาไว้ หลังจากที่ใช้เวทย์ไปก็สามารถฆ่าพวกมันได้ไปกว่าสิบคน แต่ก็ยังมีพวกที่รอดอยู่บ้างเพราะใช้เวทย์มาป้องกันหรือทำลายหนามดินของผมเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องแบบนี้แหละถ้าตายหมดจะเอาข้อมูลจากไหน หึหึ!
จากนั้นผมก็เดินออกจากที่หลบพร้อมกับพูดออกไป
“ยอมแพ้สะถ้ายังอยากมีชีวิตรอด!”
“-กะ แกเป็นใคร”
หนึ่งในเอลฟ์ด้านหน้าตะโกนถามออกมา
จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็มองตรงมาทางผม โดยใช้ดาบตั้งขึ้นมาเพื่อเตรียมสู้อย่างเต็มที่กันทุกคน รู้สึกว่าพูดด้วยดีๆ มันจะไม่เข้าใจสินะ
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น พวกแกทั้งหมดตอนนี้มีทางเลือกเพียงสองทาง” ผมชูนิ้วข้างขวาขึ้นสองนิ้วแล้วพูดต่อ “ทางที่หนึ่งยอมแพ้แล้วว่างอาวุธลงสะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหมดในตอนนี้ ส่วนข้อที่สองสู้แล้วก็ตาย”
พูดจบผมก็เอานิ้วทั้งสองลง จากนั้นหนึ่งในพวกมันก็เริ่มตะโกนออกมา
“-อย่ามาพูดจาไร้สาระ แกมาคนเดียวคิดหรือไงว่าจะสามารถสู้กับพวกเราทั้งหมดได้”
แต่ท่าทางของแกดูยังไงก็กำลังกลัวอยู่ไม่ใช่หรือไง เหอะ! เอลฟ์ที่พูดกับผมตอนนี้ถึงจะตะโกนออกมาแบบอย่างว่าก็จริง แต่มันก็สั่นหน่อยๆ เพราะความกลัว
“แล้วคิดว่าใครที่จัดการพวกแกทั้งยี่สิบคนด้านนอกละ!”
ถึงจะไม่ได้จัดการคนเดียวทั้งหมดก็เถอะ แต่ถ้าผมเอาจริงพวกนั้นมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก พวกที่อยู่ด้านหน้าเองก็ไม่ต่างกันแต่ที่อยากให้มันยอมแพ้ตอนนี้ก็เพราะต้องการข้อมูลเท่านั้น ไม่งั้นมันตายกันหมดไปแล้ว
“-กะ แกจะบอกว่าแกคนเดียวจัดการพวกเราทั้งยี่สิบคนหรือไง”
คนเดิมพูดออกมา
“สมองมีก็คิดเอาเอง คิดว่าข้าขอพวกมันเดินเข้ามาหรือไง”
หลังจากตอบไปพวกเอลฟ์หลายคนต่างก็แสดงท่าทางลังเลออกมา แต่เรื่องการไว้ชีวิตพวกมันผมไม่ได้พูดโกหกหรอก แต่ทว่าถึงผมจะไว้ชีวิตพวกมันแต่ก็ต้องส่งตัวพวกมันไปรับโทษจากประเทศเอลฟ์อยู่ดีซึ่งเรื่องหลังจากนั้นมันจะรอดหรือจะตายก็ไม่รู้เช่นกัน
ในระหว่างที่พวกมันกำลังลังเลกันอยู่ผมก็พูดไปอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยออร่าของสัตว์อสูรสีทองออกจากร่างกาย
“ข้าให้เวลาคิด 10 วินาที”
“-นะ นั้นมันออร่าของสัตว์เทพ”
“-ระ เหลือเชื่อ”
“-เด็กนี่มันเป็นใครกันแน่ถึงได้มีพลังของสัตว์เทพแบบนี้”
เสียงที่พวกมันพูดออกมาเต็มไปด้วยความสงสัยและตกใจ ซึ่งเรื่องมันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ การที่พวกมันไม่รู้จักผมแล้วมาเจอครั้งแรกเป็นใครในโลกนี้ก็ต้องตกใจเป็นเรื่องธรรมดา
“9”
“8”
“7”
สีหน้าของพวกมันตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวล หลังจากที่ผมเริ่มนับตัวเลข เอาตามตรงตอนนี้ผมก็ได้คนที่จะเอาข้อมูลแล้วซึ่งก็คือเอลฟ์ที่สั่งให้เกาะกลุ่มกันเอาไว้เมื่อครู่เพราะมันน่าจะเป็นหัวหน้า แต่การเอาพวกมันส่งมอบให้กับประเทศภูติไปตัวผมก็จะได้รับความเชื่อใจเพิ่มขึ้นมากกว่าเช่นกัน ดีกว่าเอาให้แค่สมบัติ ตอนนี้ก็เลยพยามใจเย็นไม่ฆ่าพวกมันเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับ!
“-ทุกคนทิ้งอาวุธ”
เอลฟ์คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าพูดขึ้นมา
จากนั้นเมื่อได้รับคำสั่งพวกที่เหลือก็พากันโยนดาบทิ้งตามคำสั่งทันที หึหึ! เป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียแรงในการจัดการกับพวกมัน เมื่อพวกมันทิ้งอาวุธลงแล้วผมก็พูดออกไปอีก
“ไปเอาเชือกมามันตัวเองเอาไว้”
หลังจากสั่งไปพวกมันก็ทำตามแบบไม่มีใครบ่นอะไรออกมา ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกมันจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมากันบ้างก็ตาม แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็เดินเข้าไปในเต็นท์ด้านหลังเพื่อยืนยันเรื่องที่พวกมันทำ… ไม่สิ! เรื่องที่พวกมันทำมันแน่นอนอยู่แล้วตอนนี้ที่ต้องมาดูก็เพราะมายืนยันว่าพวกเธอยังมีชีวิตอยู่ไหมต่างหาก แล้วยังอยู่ในสภาพที่จะพาออกไปด้วยได้หรือเปล่า!