King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 175 หมู่บ้านภูติกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ตอนที่ 175 หมู่บ้านภูติกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ณ หมู่บ้านของภูติ
หลังจากที่เดินทางออกมาจากบ้านก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเราทั้งสามคนก็เดินมาถึงหมู่บ้านของภูติที่อยู่ใกล้ที่สุด โดนตัวของหมู่บ้านก็ไม่ได้ต่างจากของมนุษย์เท่าไหร่เพราะสร้างขึ้นโดยไม้ทั้งหมด
ด้านหน้าหมู่บ้านก็มีป้ายขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า [หมู่บ้านเมคเทียร์] เป็นป้ายชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้ แต่หลังจากที่เดินเข้ามาผมก็สังเกตถึงความผิดปกติ… ไม่สิ! ต้องเรียกว่าคิดเอาไว้อยู่แล้วต่างหากว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ แต่ถึงจะรู้ตัวผมก็ยังต้องเดินตามเฮสเฟียร์ที่กำลังเดินนำอยู่แบบไม่พูดอะไร
“องค์ชายรู้สึกพวกเขามองมาทางเราแบบไม่พอใจเลยนะคะ”
ลาฟเชียร์ด้านหลังกระซิบมาด้วยเสียงแพรว โดยเบนสายตาไปตามทางเดินเล็กน้อยมองไปยังภูติที่เป็นชาวบ้านตามทางเดิน ซึ่งสิ่งที่ลาฟเชียร์ถามออกมาถูกต้องแล้ว พวกภูติส่วนมากตั้งแต่ที่พวกเราเดินเข้าหมู่บ้านมาก็ส่งสายตาแบบนั้นตลอด
เรื่องแบบนี้ผมเข้าใจดีว่ามันต้องเกิดขึ้น
เพราะช่วงที่ผมไปอยู่ประเทศเอลล์เพื่อฝึกใหม่ๆ ก็เจอเรื่องคล้ายแบบนี้เช่นกันเพราะงั้นก็เลยเข้าใจว่าถ้าปล่อยลาฟเชียร์มาซื้อของคนเดียวได้เกิดปัญหาแบบนี้กับเธอแน่ ก็เลยต้องตามมาด้วยแบบนี้ แต่มันก็ประจวบเหมาะกับเฮสเฟียร์มาด้วยเรื่องมันก็ง่ายขึ้นเยอะ
เพราะถ้ามากันเพียงสองแค่คนกับลาฟเชียร์
พวกก็ผมคงโดนเข้ามาหาเรื่องกันบ้างแล้ว
“อย่าไปสนใจพวกนั้น เธอแค่เดินมาซื้อของอย่าไปทำอะไรก่อนก็พอ”
“คะ ค่ะ”
“แต่ถ้าพวกมันเริ่มทำอะไรเกินไปในช่วงที่ข้าไม่ได้มาด้วยเธอก็รีบหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะเหตุผลที่พวกภูติกำลังมองมาทางพวกเราแบบนี้เธอเองก็น่าจะเข้าใจใช่ไหมละ”
“เป็นเพราะสงครามสินะคะ”
“ถูกต้อง เพราะงั้นทำตัวปกติเอาไว้ก็พอ”
สมแล้วที่เป็นลาฟเชียร์ของเราที่สามารถรู้เรื่องพวกนี้ได้ แต่มันก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอกเพราะเธอเองก็น่าจะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งห้าประเทศ อย่างเช่นความสัมพันธ์ในตอนนี้ที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างจะโดนทำลายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะถ้ามีสักหนึ่งประเทศเข้าร่วมกับนิวครอนที่ปกครองประเทศทอซัสอยู่แล้วละก็ มันจะกลายเป็นสงครามใหญ่ทันทีเพราะขั้วอำนาจก็จะแตกออกเป็นสองฝ่าย
จากนั้นเรื่องก็เหมือนเดิมแบบในอดีต
เฮ้อ~
เบื่อเรื่องพวกนี้จัง
หลังจากที่พวกเราเดินมาสักพักก็ดูเหมือนว่าจะเดินมาถึงช่วงกลางของหมู่บ้าน เพราะมันเป็นสถานที่กว้างแบบล้านกว้าง ใจกลางของลานกว้างก็มีกลุ่มภูติประมาณสิบคนกำลังยืนจับกลุ่มกันอยู่มองตรงมาทางนี้ด้วยแววตาแบบว่าไม่พอใจ
โดยด้านหน้าสุดก็มีภูติธาตุลมที่ตัวเป็นสีเขียว หนวดเคราสีขาว ผิวหนังเหี่ยวย่น
กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้ากลุ่มภูติทั้งหมดที่กำลังพยามยืนขวางทางการเดินของพวกผมอยู่ ถ้าให้เดาเจ้านั่นที่ยืนด้านหน้าสุดก็คงมีอายุเยอะพอสมควรและเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านนี้แน่ ไม่งั้นไม่แสดงตัวเป็นผู้นำขนาดนั้นเหรอ
เมื่อเดินถึง
เฮสเฟียร์ที่เดินนำก็หยุดลงแล้วพูดกับภูติหัวหน้าหมู่บ้านว่า “นี่พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน ทำไมถึงได้มาขวางทางเดินของพวกเราแบบนี้”
“โฮ่ะโฮ่ะโฮ่ะ พวกข้าไม่ได้มาขวางทางเดินของทางเฮสเฟียร์หรอกครับแต่พวกเรามาขวางทางเดินของแขกทั้งสองคนของท่านต่างหาก”
ภูติหัวหน้าหมู่บ้านตอบออกมา พร้อมกับชี้นิ้วตรงมาทางผมกับลาฟเชียร์
ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้
สงสัยจะหวังพึ่งเฮสเฟียร์อย่างเดียวไม่ได้แล้วละ เพราะงะ-
“หา!!!!!!! นี่รู้ไหมเจ้ากำลังพูดจาดูหมิ่นองค์ราชินีอยู่นะ”
“ทะ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรคะ ครับ”
ก่อนที่ผมจะจัดการเฮสเฟียร์ก็พูดออกมาก่อนโดนน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแบบขุนนางกำลังดูถูกสามัญชนชัดๆ แต่ถึงแบบนั้น มันก็ได้ผลเกินคาดเพราะทางภูติหัวหน้าหมู่บ้านจากที่กำลังทำสีหน้าสบายๆ ระหว่างที่พูดเมื่อครู่ มันก็แสดงถึงความร้อนรนออกมาแล้วก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงขัดๆ เหมือนกำลังกลัวอยู่
“ก็พวกนี้สองคนอยู่นี้ตามคำสั่งของราชินีนะสิ”
“เอ่ะ ระ เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกครับ องค์ราชินีไม่มีทางยอมให้มนุษย์เดินทางเข้าประเทศเช่นนี้แน่”
มันก็เป็นไปแล้วนี่ไง
“แต่มันเป็นเรื่องจริงที่องค์ราชินีให้สองคนนี้เข้ามาในประเทศของเรา แล้วยังมีรับสั่งมาอีกว่าถ้าใครไม่พอใจก็ให้ข้าจัดการขั้นเด็ดขาดได้เลย รู้แบบนี้แล้วยังจะยืนขวางทางพวกนี้อีกไหม?”
เฮสเฟียร์ยังคงพูดกดดันต่อ
ในตอนแรกผมคิดว่าการพูดของเฮสเฟียร์คงช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะดูจากท่าทางของเธอเมื่อเช้าก็คงเป็นพวกไม่ค่อยจริงจังอะไร แต่ป่าวเลย!
ตอนนี้สีหน้า น้ำเสียงและท่าทางของเธอ มันต่างไปจากเมื่อเช้าอย่างลิบลับราวกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคน ยัยนี่เป็นคนสองบุคลิกงั้นเหรอ?
ทางด้านของพวกภูติหัวหน้าหมู่บ้าน และภูติอีกหลายคนก็เริ่มสีหน้าลังเลออกมาด้วยท่าทางหนักใจกับคำขู่ของเฮสเฟียร์เมื่อครู่กันยกใหญ่ จนผ่านไปไม่นานพวกภูติส่วนมากก็เดินเปิดทางให้พวกเราทั้งสามคนเริ่มเดินกันต่อ
เรียบร้อย!
เท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสันติ ต้องแบบนี้สิคุ้มกับอาหารที่กินไปเมื่อเช้าหน่อย หึหึ!
เมื่อกี้ถ้าผมจัดการเองละก็คงได้มีการเจ็บตัวกันบ้างแหละ เพราะการที่จะทำให้พวกนี้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่ผมเรียนรู้มาก็คือการเรียนรู้ด้วยร่างกาย ตัวชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้เรียนหรือมีความรู้มากนัก ถึงอธิบายเกี่ยวกับการเมืองหรืออะไรไปก็ไม่เข้าใจกันหรอก ต่อให้ยืนอธิบายเป็นชั่งโมงถ้าผมอธิบายก็คงไม่ยอมเปิดทางให้แบบนี้
เพราะงั้นบอกด้วยร่างกายจึงเป็นทางที่เร็วที่สุด
ทางลาฟเชียร์ที่เดินตามหลังของผมก็เอามือขวาของเธอมาเกาะชายเสื้อหลังของผมเล็กน้อยแล้วบีบมันเอาไว้พร้อมแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา จากนั้นก็เริ่มพูดว่า “ถ้าข้ามาคนเดียวเรื่องเมื่อครู่ข้าไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงคะ แบบนี้ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะมากับองค์ชายเลย”
ระหว่างพูดออกมาแววตาของเธอก็เบนลงต่ำเล็กน้อย
ถึงจะกำลังไม่สบายใจก็ยังน่ารัก คนอะไรกันเนี่ยดาเมจทำลายรุนแรงจริงๆ
“เรื่องนั้นเธอไม่ต้องห่วง เพราะข้าเองก็ไม่ปล่อยให้พวกนั้นทำอะไรเธอหรอก และอีกอย่าง ทุกวันตอนเช้าเฮสเฟียร์ก็จะเดินมาซื้อของเป็นเพื่อนเธอด้วย”
“ข้าได้ยิน…”
ก็ทางนี้ต้องการให้เธอได้ยินไงละถึงจงใจพูดดังออกไป หึหึ!
“แต่ก็เอาเถอะ เรื่องแบบนี้เป็นความผิดของคนประเทศภูติด้วย ข้าจะพาลาฟเชียร์มาซื้อของเพื่อทำอาหารทุกวันก็แล้วกัน แล้วอีกอย่าง…”
ยังพูดไม่ทันจบเธอก็เงียบไปแล้วแสดงสีหน้าแบบมีความสุขออกมา ตามตรงตอนนี้ก็สงสัยแหละว่าทำไมยัยนี่ถึงแสดงสีหน้าแบบนั้น แต่อย่าไปถามดีกว่าเพราะยังไงเรื่องคนคุ้มกันลาฟเชียร์ระหว่างซื้อของก็หาได้แล้ว ปล่อยไปก็แล้วกัน ยัยนี่เองคงไม่ได้มีความคิดที่จะทำอะไรแปลกๆ กับลาฟเชียร์หรอก!