King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 174 เช้าวันต่อมา
ตอนที่ 174 เช้าวันต่อมา
เช้าวันต่อมา
ณ ห้องกลางบ้าน
ภายในบ้านหลังใหม่ที่ผมเข้ามาอยู่นั้นจะแบ่งห้องออกทั้งหมดด้วยกัน 4 ห้อง ด้วยกัน ห้องที่หนึ่งเป็นส่วนของห้องน้ำที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบมนุษย์ประเทศเมซัสทุกอย่าง ห้องที่สองเป็นห้องครัว ซึ่งตัวของห้องครัวก็มีข้าวของเครื่องใช้ในการทำอาหารให้ครบแบบฉบับของมนุษย์
ทำเอาตกใจเหมือนกันที่เตรียมเอาไว้ให้ขนาดนี้
ทำให้กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ลาฟเชียร์เอามาด้วยไร้ประโยชน์ไปเลย
ส่วนอีกสองห้องที่เหลือก็คือส่วนของห้องนอนของผมที่เป็นเตียงอย่างดีนอนสบายมาก ตอนแรกก็คิดว่าจะได้นอนเตียงที่ไม่ได้เรื่องแบบที่เดฟีเลียพาไปอยู่หมู่บ้านมิลล์สมัยเป็นเด็กอยู่หรอก แต่มันต่างกันเลยละ
อีกห้องก็เป็นห้องของลาฟเชียร์ที่ยึดมาได้จากห้องของเฮสเฟียร์เมื่อวาน ก็เลยไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าในกับห้องของเธอว่ามันเป็นแบบไหน เพราะถ้ายังทำตัวไม่ดีต่อไปมีหวังลาฟเชียร์ไม่คุยกับผมแน่ก็เลยไม่ได้เข้าไปสำรวจ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอด้วย
แต่เมื่อวานหลังกลับมาเธอก็ยอมคุยกับผมบ้างแล้ว แต่ก็ยังสัมผัสถึงความไม่พอใจของเธออยู่
ส่วนสุดท้ายก็เป็นกลางบ้านที่มีชุดโต๊ะอาหาร และเตาไฟขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ในห้องซึ่งมันก็น่าจะเรียกว่าห้องโถงได้อยู่ แล้วในตอนนี้ผมก็กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงของบ้านพร้อมกับอาหารประมาณ 10 อย่าง ที่วางเอาไว้ด้านหน้าบนโต๊ะอย่างสวยงาม
ซึ่งคนทำก็แน่นอน
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้
แต่มันดันมีคนที่ไม่น่าจะอยู่ในบ้านได้กำลังนั่งอยู่ดีนี่สิ!
“ว้าว~~!!! ของทั้งหมดนี่ลาฟเชียร์ทำหมดเลยเหรอ”
“คะ ค่ะ”
“เก่งมากเลยนะได้ยินว่าเธอเป็นลูกขุนนางทำไมได้ถึงทำอาหารออกมาได้ขนาดนี้… ไม่สิ! ทำตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยถึงได้มีอาหารเยอะแบบนี้”
“พอดีฉันเป็นคนตื่นเร็วนะคะ แฮะๆ”
ที่กำลังพูดคุยกับลาฟเชียร์ตอนนี้ก็คือเฮสเฟียร์ เพราะเมื่อวานบ้านเธอยังสร้างไม่เสร็จก็เลยเข้ามานอนกับลาฟเชียร์ในห้องก่อนเพราะไม่สามารถนอนเต็นท์ที่พวกภูติจัดเอาไว้ให้ได้
แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร
เมื่อคืนยังทำท่าไม่ชอบลาฟเชียร์เพราะเป็นมนุษย์อยู่เลย แต่พอเช้ามา การพูดคุยก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อสนิทไปแล้ว
เฮ้อ~
จิตใจผู้หญิงมันเข้าใจยากจริงๆ
“ว่าแต่ว่าทำไมเธอถึงได้มานั่งตรงนี้ได้”
ผมพูดโดยมีเป้าหมายการมองไปที่เฮสเฟียร์
“ถามมาได้ถึงฉันจะเป็นเผ่าภูติก็จริง แต่ก็ต้องกินอาหารเหมือนกันเรื่องแค่นั้นเจ้าไม่รู้หรือไง!”
เฮสเฟียร์ตอบคล้ายอารมณ์เสีย
เรื่องนั่นมันก็รู้อยู่หรอกว่าภูติเองก็ต้องกินอาหาร แต่ที่ฉันต้องการจะรู้มันใช่เรื่องนั้นสะที่ไหนกันละ
“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น แต่ที่ต้องการจะถามก็คือทำไมเธอถึงได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเราแบบนี้ ไหนบอกว่าไม่ชอบมนุษย์ไงแล้วเมื่อวานก็พูดว่า[เจ้ามนุษย์]ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจระหว่างพูดด้วย”
“น่าๆ เรื่องแบบนั้นลืมไปเถอะ”
เฮสเฟียร์ตอบแล้วใช้ซ้อมทิ่มไส้กรอกด้านหน้า
ไม่ไหว! ตอนแรกก็คิดว่ายัยนี้เป็นพวกอันตรายที่เป็นแบบชาตินิยมเกลียดทุกเผ่าที่ไม่ใช่เผ่าภูติ แถมตอนอยู่ประเทศเอลฟ์ยังทำตัวลึกลับเข้าใจยากอีกแต่พอมาเจอท่าทางแบบนี้ เฮ้อ~
หมดคำจะพูด!
หลังจากที่รู้ตัวว่าถ้ายังพูดต่อไปก็เสียเวลาเปล่าพวกเราทั้งสามคนก็เริ่มกินอาหารพร้อมกันแบบมีความสุข โดยไม่ได้สนใจอะไรกันมาก ในตอนแรกลาฟเชียร์ก็ไม่กล้าเข้ามากินด้วยเพราะเป็นห่วงเรื่องฐานะระหว่างผมกับเธอ แต่พอสั่งให้มากินด้วยเธอก็มานั่งกินด้วยแบบปกติตามที่ได้สั่งไป โดยระหว่างกินก็พูดคุยกับเฮสเฟียร์แบบสนุกสนานทำให้ผมกลายเป็นคนนอกไปเลย
…
….
…..
ในเวลาต่อมา
“หว่า~ เป็นรสชาติอาหารที่สุดยอดจริงๆ”
เฮสเฟียร์ก็พรึมพรำออกมาด้วยสีหน้าพอใจ
มันก็แน่นอนอยู่แล้วฝีมือการทำอาหารของลาฟเชียร์ขนาดเอ็ดเน่ยังยอมรับ ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องสุดยอดอยู่แล้ว
โต๊ะอาหารด้านหน้าตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยจานของอาหารที่หมดบ้างไม่หมดบ้าง ตามจริงก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะอร่อยขนาดนี้เพราะขนาดผมเองก็กินจนรู้สึกอึดอัดที่พุงของตัวเองเช่นกัน
ทั้งๆที่พึ่งตื่นนอนมา แต่ตอนนี้อยากกลับไปนอนอีกแล้วสิ
ทางด้านของลาฟเชียร์ก็กำลังทำหน้าที่ของเธอโดยกำลังเก็บจานอาหารบนโต๊ะทีละอย่างสองอย่าง เดินเข้าออกห้องครัวกับห้องโถงแบบไม่ได้เร่งรีบอะไร
ระหว่างนั้น
“นี่ลาฟเชียร์ตอนเที่ยงก็ทำอีกใช่ไหม?”
เฮสเฟียร์ก็ถามออกมาด้วยใบหน้ามีความหวัง แล้วผมก็ตอบแทนลาฟเชียร์ออกไปด้วยความรู้สึกหนักใจว่า “นี่เธอจะมากินมื้อเที่ยงด้วยอีกเหรอ”
“แน่นอนสิ! ฉันไม่ไปกินอาหารแบบพวกทหารกินกันหรอก ถ้านายไม่มาฉันก็คงได้กินอาหารแสนอร่อย แล้วอยู่แบบมีความสุขในวังแล้วแท้ๆ เฮ้อ~”
สรุปเป็นความผิดของฉันงั้นเหรอ?
“จะว่าไปเธอเรียกว่าราชินีภูติว่าแม่ด้วยสินะ”
“แล้วไง”
เฮสเฟียร์ตอบแบบไม่สนใจอะไร ท่าทางแบบนี้มันเหมือนกำลังจงใจยั่วโมโหผมอยู่ชัดๆ
“เธอคือลูกของราชินีภูติงั้นเหรอ?”
“จะเรียกว่าใช่ก็ใช่แหละ”
เฮสเฟียร์เบนสายตามองบนเล็กน้อยขณะตอบมา
ไอคำตอบกวนประสาทนั่นมันอะไร ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบสิ
ระหว่างที่พวกเราคุยกันอยู่นั้นเองลาฟเชียร์ที่เก็บจานอาหารเรียบร้อยก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจมาทางพวกเรา “คือว่า… ตอนนี้วัตถุดิบทำอาหารหมดแล้วคะ”
“เอ๋~~~~~~~!!!! แบบนี้ก็อดนะสิ!”
“อดอะไรของเธอ ของมันหมดก็แค่ต้องไปซื้อไม่ใช่หรือไงหมู่บ้านเองก็อยู่ไม่ไกลด้วย”
ผมสวนขึ้นทันทีเมื่อเฮสเฟียร์พูดด้วยท่าทางตกใจ
“นะ นั่นสินะนายเองก็มีความคิดที่ดี”
เฮสเฟียร์พยักหน้าขึ้นลงด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่าคำพูดที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้มันเป็นเรื่องที่คนปกติไม่สามารถคิดได้ นี่เราพูดอะไรที่หน้าชื้นชมขนาดนั้นเลยหรือไง???
“เอาละถ้างั้นวันนี้ฉันจะพาไปที่หมู่บ้านเองก็แล้วกัน เพราะอย่างที่รู้ว่าประเทศของพวกเราทำสงครามกันมานานจะปล่อยให้ลาฟเชียร์ไปคนเดี๋ยวก็ไม่ได้หรอก”
“ค่ะ!”
ลาฟเชียร์ตอบด้วยใบหน้าโล่งใจ
แต่แบบนี้ก็เป็นไปตามแผน เพราะผมเองถึงจะรู้จุดแต่ถ้าเดินเข้าไปก็ต้องเจอกับพวกที่ไม่ชอบมนุษย์แน่เข้ามาหาเรื่องแน่ อีกอย่างถึงยัยนี่ไม่พาไปทางผมก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยให้ลาฟเชียร์ไปคนเดียวอยู่แล้ว