ตอนที่แล้วKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 170 เงื่อนไขเคลียร์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 172 ไม่อยากแต่ก็ต้องทำ

King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 171 มันต้องแบบนี้สิ


ตอนที่ 171 มันต้องแบบนี้สิ

เมื่อผ่านไปสักพักที่ราชินีภูติเดินออกไปจากห้องเพื่อคุยอะไรบางอย่างกับดิวนีสันต์ก็เดินกลับมา พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ใจจริงก็อยากถามอยู่หรอกว่าไปคุยอะไรกันมาแต่ถ้าถามตอนนี้ก็คงไม่เหมาะหรอกเพราะงั้นเดี๋ยวเอาไว้ถามตอนเมื่อเวลาเหมาะดีกว่า

“ไปกันได้แล้ว”

“ครับ”

จากนั้นผมกับลาฟเชียร์ก็เดินเข้าประตูเคลื่อนย้ายตามราชินีภูติไป เมื่อออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายก็เจอสิ่งที่ผมทำให้ผมชอบใจแบบสุดๆ กำลังอยู่ด้านหน้า

อื้ม!

ก็ว่าอยู่ทำไมต้องใช้เวลาเตรียมการด้วยมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ด้านหน้าของผมตอนนี้เป็นบ้านไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนกับบ้านของสามัญชนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหลังเพราะดูจากสีไม้แล้วมันคงไม่ใช้บ้านเก่าแน่นอนแถมยังทีรั่วล้อมรอบบ้านเป็นรั้วไม้ไม่แข็งแรงเกิน ไม่อ่อนแอเกินไป

แล้วยังไม่หมด

เพราะรอบบ้านทำพื้นที่เลี้ยงสัตว์เอาไว้ด้วย เป็นโรงเลี้ยงขนาดไม่ใหญ่มากถ้าใส่ม้าก็น่าจะได้ไม่เกิน 5 ตัว

สวยมาก!

“เป็นไงบ้านธรรมดาแบบที่เจ้าต้องการเลยใช่ไหม”

“สุดยอดมากครับ”

ตอนแรกที่ขอไปก็คิดว่าเธอจะทำมาให้แบบส่งเดช หรือไม่ก็ยึดบ้านของชาวบ้านสักคนให้เราสะอีกไม่คิดเลยว่าจะสร้างให้ใหม่ทั้งหมดแบบนี้

“ข้าสั่งให้สร้างตามแบบของมนุษย์ พวกข้าวของเครื่องใช้เองก็เป็นแบบของมนุษย์เช่นกัน”

ราชินีภูตกล่าวออกมาต่อด้วยใบหน้ายิ้มอ่อนๆ

ในระหว่างนั้นเองเฮสเฟียร์ที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าของบ้านก็เดินตรงเข้ามายังจุดที่พวกเรายืนอยู่ หลังเดินมาถึงเธอก็ก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วพูดออกมาว่า “ยินดีตอนรับกลับคะ องค์ราชินี”

“อ่า” เมื่อราชินีภูติตอบรับก็หันมามองทางผมต่ออีกครั้ง แล้วพูดแบบเบนสายตาไปทางลาฟเชียร์เล็กน้อยว่า “พวกเจ้าสองคนนอนห้องเดียวกันได้ใช่ไหม เพราะข้าสร้างห้องนอนเอาไว้สองห้อง ส่วนอีกห้องเป็นห้องของเฮสเฟียร์ที่จะเฝ้าพวกเจ้าเอาไว้ เธอคงนอนกับมนุษย์ไม่ได้หรอก”

เอ่ะ!

ถึงจะยังอยากถามว่าทำไมเฮสเฟียร์ถึงต้องมาอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ปัญหาตอนนี้มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตัวของเราไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะการนอนกับผู้หญิงก็เคยจนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว แต่ทางลาฟเชียร์นี่สิ!

ขณะนี้ลาฟเชียร์ก็มีใบหน้าแดงออกมาอ่อนๆ พร้อมส่งสายตาแบบให้ความรู้สึกน่ารักมองมาทางผมแล้วก็ต่อว่า “นะ นอนได้คะ”

อื้ม! ถ้างั้นเรื่องมันก็ง่ายขึ้นเยอะ”

ง่ายบ้านเธอนะสิไม่เห็นท่าทางของลาฟเชียร์เวลาตอบหรือไงว่ากังวลขนาดไหน… ไม่สิ! คนระดับราชินีภูติต้องสังเกตท่าทางของเธอได้อยู่แล้วแต่ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าต้องการตัดปัญหามากกว่า แล้วเรื่องที่เฮสเฟียร์ต้องมาอยู่ด้วยไม่เห็นบอกกันเลย ทางนี้ลำบากนะ

ใบหน้าของลาฟเชียร์หลังจากที่ตอบก็ยิ้มแบบผู้ชนะไปทางเฮสเฟียร์เล็กน้อย ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้น แต่คิดว่าเธอต้องกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่นอน

เฮ้อ~

“เอาละถ้างั้นวันนี้พวกเจ้าก่อนพะ-”

“เดี๋ยวก่อนสิครับ!”

ก่อนที่ราชินีภูติจะพูดจบผมก็ขัดก่อน เพราะรู้ถึงความผิดปกติตั้งแต่ที่เดินทางมาแล้วถึงแม้จะเอาบ้านที่ดีขนาดนี้สร้างไว้ให้ทางผมเองก็ไม่หลงกลจนลืมตรวจสอบพลังเวทย์โดยรอบหรอก

“ยังมีเรื่องอะไรอีก ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะรีบพูดมา”

เสียงและสีหน้าที่แสดงออกมาของราชินีพูดแสดงถึงความไม่พอใจขัดเจน

“จะไปทางผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ แต่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับพวกทหารที่มีพลังเวทย์ขั้นสูงกว่า 10 คน ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังนี้คนละทิศโดยมีระยะห่างประมาณ 3 กิโลเมตร หน่อยได้ไหม”

“ระ รู้ได้ยังไง”

เฮสเฟียร์พรึมพรำด้วยสีหน้าตกใจ

ตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงผมก็เริ่มตรวจทันทีนั่นแหละ เพราะยังไงลาฟเชียร์ก็ต้องได้รับความปลอดภัยก่อนในเวลาผมไม่อยู่ ก็เลยกะจะตรวจหาพวกสัตว์อสูรแต่ดันไปเจอกับพวกทหารสะได้ก็เลยสงสัยกับการกระทำแบบนี้ของเธอนิดหน่อยว่าเอาพวกทหารล้อมบ้านของผมเอาไว้เพื่ออะไร

“สมแล้วที่เป็นเจ้าสามารถตรวจได้จริงๆ สินะ”

ราชินีภูตเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจ

“ก็แน่สิครับ ถ้าท่านไม่อยู่กับผมพวกนั้นอาจจะโดนจัดการไปแล้วก็ได้เพราะอาจจะโดนเหมารวมว่าเป็นสัตว์อสูร”

โห่ว! นี่กำลังจะบอกว่าเจ้าสามารถจัดการกับทหารที่มีพลังขั้นสูงทั้งสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ”

“ครับ!”

แม้แต่ตอนนี้เองราชินีภูติก็ยังไม่รู้พลังที่แท้จริงของผมหรอกว่ามันเท่าไหร่ เพราะตัวของผมป้องกันการตรวจสอบตลอดเวลา การที่เธอจะแปลกใจออกมาแบบนั้นกับคำพูดของเราก็ไม่แปลกอะไรหรอก

“ช่วยสั่งให้ทหารของท่านออกไปด้วยครับ”

“เพราะอะไร?”

อะไร?

คำตอบที่เป็นคำถามแบบนี้เธอต้องการจะสื่ออะไรอีก???

“ท่านหมายความว่ายังไง”

“ก็ถามว่าเพราะอะไรข้าถึงต้องถอนกำลังทหารออก… ไม่สิ! จะถอนออกก็ได้ถ้าเจ้าสามารถแสดงพลังในการปกป้องตัวเองให้ข้าเห็นได้ เพราะทหารที่อยู่ห่างออกไปก็อยู่เพื่อปกป้องเจ้าจากพวกสัตว์อสูรกันนั่นแหละ ข้าเคยเห็นพลังของเจ้ามันเหลือเชื่อก็จริงที่เด็กอายุ 10 ปี จะมีมันได้แบบนั้น แต่ว่าที่นี่ต่างจากประเทศมนุษย์หรือประเทศเอลฟ์ สัตว์อสูรที่นี่ส่วนมากเป็นพวกสัตว์พลังสูงถ้าเจ้าตายขึ้นมาทางข้าก็เสียหายแย่นะสิ”

ปกป้อง!

สัตว์อสูรพลังสูง!

ได้ยินเหตุผลแบบนี้แล้วอยากหัวเราะเลยแหะ นี่กำลังจะบอกว่าที่พวกทหารทั้งสิบคนมีอยู่ก็เพื่อเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ คนระดับเราเนี่ยนะต้องให้พวกนั้นมาปกป้อง

เหอะๆ

ไร้สาระสิ้นดี!

“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าสามารถปกปะ-”

“แค่เพียงลมปากมันยืนยันไม่ได้หรอก ในการที่ข้าเอาเจ้ามาที่ประเทศภูติคิดว่าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง เพราะข้าต้องเจอกับการต่อต้านภายในจากภูติระดับสูงหลายคน แถมยังโดนพวกประเทศรอบข้างดูแคลนอีก”

ราชินีภูติกล่าวออกมาแบบใส่อารมณ์

แล้วจะมาใส่อารมณ์กับฉันทำไม ก็เธอไม่ใช่หรือไงที่ชวนฉันมาให้มาอยู่ประเทศภูติ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“ถ้างั้นให้ข้าทดสอบเถอะคะองค์ราชินี”

เฮสเฟียร์พูดขึ้นมาแทรกกลางระหว่างเราสองคน

เมื่อเธอพูดขึ้นมา ราชินีภูติก็เหมือนจะสงบสติของตัวเองลงได้แล้วเริ่มพูดออกมาต่ออีกครั้งว่า “งั้นก็ดีถ้าเจ้าสามารถเอาชะ… ไม่สิ! ถ้าสามารถรับมือกับเฮสเฟียร์ได้ภายใน 10 นาที แล้วยังสามารถยืนอยู่ได้ข้าจะถอนกำลังออกทั้งหมดตามที่เจ้าขอมา”

หน้าตาที่ของราชินีภูติเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ก็ไม่รู้หรอกนะอะไรที่ทำให้มั่นใจได้แบบนั้น เมื่อได้รับเงื่อนไขมาผมก็ชูนิ้วมือข้างขวาออกไปห้านิ้วแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าขอเวลา 5 นาที เฮสเฟียร์ต้องหมดสภาพต่อสู้แน่นอน”

“นี่เจ้าจะดูถูกข้ากะ-”

“แต่ถ้าผมชนะก็ขอเรียกร้องอีกอย่างแล้วกัน”

ผมไม่สนใจคำพูดของเฮสเฟียร์ที่พยามจะพูดออกมา แต่ยังคงมองไปยังราชินีภูติด้านหน้าขณะพูดต่อ

“เจ้าต้องการอะไร”

“ถ้าข้าชนะข้าต้องการความเป็นส่วนตัว โดยอยู่กับลาฟเชียร์สองคน”

“หรือก็คือให้เฮสเฟียร์ออกจากบ้านสินะ”

“ครับ”

การอยู่แบบไม่มีคนจับตาดูมันสบายกว่าเยอะ เพราะงั้นอยู่สองคนสบายใจสุด อีกอย่างลาฟเชียร์ยังได้ห้องด้วยเพราะตัวเราเองถ้าได้นอนกับเธอทุกวันจนครบเวลา 5 ปี จะเผลอห้ามใจตัวเองไม่ไหวตอนไหนก็ไม่รู้

ถึงจะน่าเสียดาย

แต่เพื่อความสบายใจมันต้องทำ

ชิ! มาคิดใหม่ไม่น่าพูดไปเลย

“ตกลง ถ้าเจ้าสามารถชนะได้ภายในห้านาทีละนะ”

ตกลงสะงั้น เฮ้อ~ แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้ไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ไม่น่าพูดตามอารมณ์จนขุดหลุมฝังตัวเองเลยเรา

เจ็บใจจริง!

“จิ”

เสียงดังออกมาทางด้านข้างของผม ซึ่งไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นใครมันก็น่าจะเป็นลาฟเชียร์นั่นแหละแต่ปล่อยไปก่อนตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาไปคุยกับเธอ เมื่อคุยข้อตกลงจบผมก็หันไปพูดกับลาฟเชียร์ว่า “เธอเข้าไปเตรียมตัวจัดของด้านในก่อนเลย”

“….คะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด