451 - 452
451 - ตำหนักสราญรมย์
ภายในเมือง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา และครึ่งหนึ่งเป็นผู้บ่มเพาะ ในสถานที่เช่นนี้ทุกคนไม่กล้าที่จะประมาท บางทีพวกเขาอาจจะล่วงเกินทายาทของตระกูลขุนนางโบราณโดยไม่รู้ตัว
หากโชคร้ายยิ่งกว่านั้นพวกเขาอาจจะเดินไปสะดุดเท้าของผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้คนในเมืองนี้มีมากเกินไป
เย่ฟ่านพบว่าเมืองนี้มีขนาดใหญ่มากเกินไป มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยที่จะมีเมืองใหญ่แบบนี้ในดินแดนอันแห้งแล้งเช่นภาคเหนือ
สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือบ้านทุกหลังล้วนเก่าแก่เป็นอย่างมาก บางทีพวกมันอาจจะมีอายุหลายพันปีแล้วก็ได้
"พี่ใหญ่ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน?" เขาถามผู้คนที่ผ่านไปมาเป็นครั้งคราว
“นี่คือโรงเตี๊ยมอันถงของเมืองพระราชวัง”
"เมืองพระราชวัง …ไม่เลว" เย่ฟ่านตกตะลึง
ที่ด้านหลังของโรงเตี๊ยมนี้มีพระราชวังขนาดใหญ่จริงๆ
“นั่นคือพระราชวังอะไร” เย่ฟานถามอีก
“มันเคยเป็นพระราชวังของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้มันถูกจับจองโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ภายในนั้นเป็นลานพนันหินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง”
“พระราชวังที่สวยงามขนาดนี้ถูกใช้เป็นลานการพนันหิน…” เย่ฟ่านพูดไม่ออกจริงๆ
“เจ้ามาเมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกหรือ?”
“ใช่แล้ว”
ชายวัยกลางคนคนนั้นกล่าวว่า: "ถ้าเจ้ามีต้นกำเนิดเพียงพอ เจ้าสามารถเข้าไปรับประทานอาหารในพระราชวังได้ ที่นั่นไม่ใช่บ่อนพนันเพียงอย่างเดียว มันเป็นสถานที่หาความบันเทิงของบุรุษด้วย"
หลังจากนั้นไม่นานเย่ฟ่านก็มาถึงที่ที่เงียบสงบ วัดนี้เป็นวัดลัทธิเต๋า มันไม่ได้ถูกทำขึ้นหลายชั้นแต่เป็นอาคารที่ค่อนข้างกว้างขวาง
รอบๆมีต้นไม้โบราณมากมายปลูกไว้ ทำให้เกิดผู้คนที่เข้ามาเกิดความสงบในจิตใจ
“ท่านลุงที่นี่ที่ไหน ทำไมถึงมีวัดเต๋า?” เย่ฟ่านถามชายวัยกลางที่เดินผ่านไปมา
“เจ้าเพิ่งมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์?...”
นี่เป็นอีกประโยคหนึ่งที่เย่ฟานได้ยินมาตลอดทั้งวัน
ชายอ้วนวัยกลางคนมีรอยยิ้มเป็นมิตรและกล่าวว่า
"นี่คือลานพนันหินของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์เต๋า มันค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นสถานที่ที่ดีมาก เมื่อเร็วๆนี้นักพรตหญิงของพวกเขาก็ปรากฏตัวที่นี่ด้วย หากเจ้าพบเห็นนางเจ้าจะรู้ว่าหญิงงามที่แท้จริงเป็นเช่นไร"
“ท่านลุง ทำไมถึงยิ้มแบบนี้?”
“เจ้าไม่รู้เหรอ? เด็กสมัยนี้ช่างคึกคักเสียจริง มีไอ้บ้าแปดคนที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาที่นี่แล้วป่าวประกาศว่าจะพาตัวนักพรตหญิงไป แม้แต่ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้”
“พวกเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น?” เย่ฟ่านเหลือบมองชายอ้วนวัยกลางคน
“คนบ้าแปดคนนี้มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม แม้แต่ผู้สูงสุดของตระกูลเจียงก็ยังล้มเหลวในการจัดการพวกเขา”
“คนทั้งแปดมีที่มาอย่างไร” เย่ฟ่านถามอย่างแปลกใจ
"ใครจะรู้." ชายอ้วนวัยกลางคนพึมพำและพูดว่า: “ไปเถอะ ไปดูด้วยตาของตัวเอง”
เย่ฟ่านอำลาชายอ้วนวัยกลางคนก่อนจะเดินหันหลังจากไปเพียงลำพัง
เมื่อผ่านมุมหนึ่งทะเลสาบขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มีผู้คนมากมายเดินผ่านไปมาที่นี่
"ที่นี่ที่ไหน?" เย่ฟ่านรู้สึกงงงวย
ครั้งนี้ผู้คนที่เขาถามไม่ได้ถามเขากลับว่ามาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่า? คนคนนั้นแสดงท่าทีเหยียดหยามและกล่าวว่า
"เจ้ายังแกล้งทำตัวเป็นไร้เดียงสาอีกเหรอ!"
“ข้าไม่ทราบจริงๆว่าที่นี่คือที่ไหน?” เย่ฟ่านถามอย่างนอบน้อม
มีผู้คนมาและไปมากมายยืนอยู่ด้านนอกของศาลาริมทะเลสาบ ใครบางคนหันหน้ากลับมาและกล่าวว่า
“ตำหนักสราญรมย์ของเมืองศักดิ์สิทธิ์ เจ้ารู้แล้วก็หุบปากสักที?”
"ตำหนักสราญรมย์คืออะไร นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่ได้มาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์" เย่ฟ่านกล่าว
“โดยธรรมชาติแล้ว มันเป็นหนึ่งในสิบห้ามหาอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด สถานที่แห่งนี้มักจะถูกแวะเวียนมาโดยทายาทของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย”
ชายคนนั้นเหลือบมองมาที่เขาและกล่าวต่อไปว่า
“ในตอนกลางคืนที่นี่จะสว่างไสวและเป็นสถานที่ที่งดงามที่สุดของเมืองศักดิ์สิทธิ์ เหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์และลูกหลานของตระกูลขุนนางโบราณอาจมาที่นี่อย่างลับๆ”
“มีชื่อเสียงมากเหรอ?” เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ
“มรดกตำหนักสราญรมย์อันวิเศษนั้นเก่าแก่และทรงพลัง พวกเขามีสถานะเทียบเท่ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในความเป็นจริงพวกเขาถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งหนึ่งในสามอันดับแรกด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้นเรือหยกก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบใหญ่ เมฆและหมอกยังคงอ้อยอิ่ง และจุดของเมฆหลากสีก็ส่องสว่างจนเกิดความศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ในขณะนั้นมีเสียงดนตรีบรรเลงอย่างไพเราะ แผ่วเบา ทำให้คนเมามาย และตรึงใจผู้คน
“ผู้สืบทอดของตำหนักสราญรมย์อยู่ที่นี่แล้ว!”
“อันเหมียวอี้ ต้องเป็นนางแน่ๆ ได้ยินมาว่าศิษย์หญิงของตำหนักสราญรมย์กำลังจะเข้าสู่โลก และสาวกของตระกูลขุนนางโบราณบางคนก็เดินทางมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบนาง”
“นางเป็นผู้สืบทอดแห่งตำหนักสราญรมย์ในอนาคต นางอยู่ที่นี่จริงๆหรือ? หากเป็นเช่นนี้ทายาทของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณมากมายคงต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงนาง”
เรือหยกเต็มไปด้วยสีสันและมีเด็กสาวยืนอยู่บนนั้น นางสวมชุดสีขาวเหมือนหิมะ ชายกระโปรงของนางโบกสะบัดเล็กน้อยมันทำให้กลิ่นอายของนางเหมือนเทพธิดามากกว่ามนุษย์
ริมทะเลสาบคนส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนและมีสายตาที่ยอดเยี่ยมพวกเขาสามารถมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน
นางเป็นเหมือนไข่มุกที่เจิดจ้า มีสีสันและงดงามราวกับหยกธรรมชาติ ใบหน้าของนางสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
เย่ฟ่านรู้สึกซาบซ่านในหัวใจ หญิงสาวคนนี้ชื่ออันเหมียวอี้ ความงามของนางสามารถเทียบได้กับเอี๋ยนหรูหยูอย่างแน่นอน
แม้แต่ผู้ที่มีสายตาดีที่สุดก็ยังยากที่จะหาความเหลื่อมล้ำในความงามของพวกนางได้
“นี่คงเป็นอันเหมียวอี้ ข้าได้ยินมาว่านางมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่มีใครเทียบได้ ว่ากันว่านี่คือหญิงงามอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในดินแดนรกร้างตะวันออก น่าเสียดายที่นางเกิดมาในตำหนักสราญรมย์”
ใครบางคนส่ายหัวและถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก
ตำหนักสราญรมย์นั้นชื่อเสียงแย่มาก, พวกเขาตั้งอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยพฤติกรรมอันเลวร้ายในทุกๆเรื่อง
อย่างไรก็ตาม อันเหมียวอี้ไม่มีร่องรอยของความชั่วร้ายแม้แต่น้อย กลิ่นอายของนางมีความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ยากที่จะนำคำว่าชั่วร้ายมาแปดเปื้อนกับนาง!
อันเหมียวอี้ยืนอยู่บนเรือด้วยสีหน้าเย็นชา ผมของนางกำลังโบกสะบัดไปตามแรงลม ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเกิดความหลงไหลเป็นอย่างมาก
เย่ฟ่านก็มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน เขาไม่เชื่อว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้จะมีอารมณ์เย็นชาแบบนี้ตั้งแต่เกิดมา เขารู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะเกิดจากวิชาที่นางบ่มเพาะมากกว่า
“เด็กน้อยเจ้ากำลังคิดเลวร้ายอยู่ใช่หรือไม่” ชายที่สนทนากับเย่ฟ่านหยอกเย้าเขา
เย่ฟ่านยิ้มและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าตำหนักสราญรมย์มีความลึกลับมากเกินไป หญิงสาวคนนี้ก็เช่นกัน ข้าไม่เชื่อว่านางจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด”
“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร เมื่ออันเหมียวอี้เกิด นางเกิดมาพร้อมกับแสงอมตะทำให้มีความงามเหนือโลก มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเอามาล้อเล่นได้”
“ข้าพูดผิดเหรอ?” เย่ฟ่านตกตะลึง
“ตำหนักสราญรมย์นั้นมีชื่อเสียงไม่ดี อันเหมี่ยวอี้นั้นเติบโตจากโคลนก็จริง แต่นางไร้มลทินอย่างแน่นอน หากนางไม่ได้เกิดในตำหนักสราญรมย์ชื่อเสียงของนางคงเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้”
รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่ฟ่านและกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดก็เป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นเล่ามาเท่านั้น ความจริงเป็นเช่นไรเจ้าก็ไม่ได้รู้จริงๆสักหน่อย”