450 - เมืองศักดิ์สิทธิ์
450 - เมืองศักดิ์สิทธิ์
หยางอี้ กู่หลี่เถียนและคนอื่นๆ ถูกร่ำลือว่าตายแล้วแต่ยังไม่มีใครพบพวกเขา เมื่อรู้ว่าทั้งสามคนถูกฆ่า โลกภายนอกก็ยุ่งเหยิงไปหมด
ในตอนเย็นรอบกองไฟเย่ฟ่าน,ตู้เฟยและจักรพรรดิดำกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“มันรุนแรงมาก คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงใบหน้าแทบจะกลายเป็นเขียวคล้ำหมดแล้ว…” ตู้เฟยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆและกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถทำลายคำสาป เข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้ว และกลายเป็นร่างเซียนโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคเซียนโบราณมา”
"ข้าจะไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในภาคเหนือ ต้นกำเนิดนับล้านคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
ตู้เฟยหัวเราะและกล่าวว่า "ยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่สิบคนเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น สถานการณ์ตอนนี้เกรงว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงคงไม่ปล่อยให้เจ้าทำตามความพอใจอีกต่อไป”
สองวันต่อมา เย่ฟ่านตู้เฟยและจักรพรรดิดำพบคนสุดท้ายในแคว้นคุน
เขาฆ่ายอดฝีมือคนนั้นด้วยดาบวัชระ ในขณะที่ยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงที่ทำหน้าที่ปกป้องคนคนนั้นก็ถูกฆ่าไปพร้อมกัน
จี้ฮ่าวเยว่, เซี่ยจี้โหยว และบุตรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดปรากฏตัวที่นี่ เย่ฟานเห็นพวกเขาจากระยะไกลและข้ามช่องว่างกับจักรพรรดิดำและตู้เฟยโดยตรง
หากไม่เข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้วเขาจะไม่มีวันต่อสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง
“ไปหาหลี่เหอซุย เขาฝังตัวอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าหกเดือนแล้ว...” นี่คือข่าวที่ตู้เฟยบอกเย่ฟ่านก่อนจะจากไป
เมื่อเย่ฟ่านจากไป แคว้นเหวินติ้งและแคว้นคุนก็สั่นสะท้าน และในที่สุดซากศพที่อยู่ลึกลงไปในดินสีแดงก็ถูกพบทีละคน ตัวอักษรเย่ทำให้ทุกคนหนาวเหน็บไปถึงแผ่นหลัง
ดินแดนศักสิทธิ์แสงโชติช่วงสั่นไหว ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสิบคนถูกส่งไปล่าเย่ฟ่านแต่พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารระหว่างทาง
นี่เป็นการตบหน้าที่ดังมาก ซึ่งทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงถูกฉีกใบหน้าอย่างยับเยิน ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบคนกลายเป็นเรื่องตลก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเย่ฟ่านฆ่าเพียงคนเดียว
แม้แต่สมบัติล้ำค่าของผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงดาบวัชระก็ตกไปอยู่ในมือของเย่ฟ่าน ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆ
“นั่นคือยอดฝีมือสิบอันดับแรกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วง แม้ว่าพวกเขาจะเทียบไม่ได้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ชแสงโชติช่วง แต่พวกเขาก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเขาถูกฆ่าโดยร่างเซียนโบราณเย่ฟ่านเพียงคนเดียว? !”
นี่... ไม่น่าเชื่อ!”
คนส่วนใหญ่เพิ่งได้ยินเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นมันด้วยตาของพวกเขาเอง แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์นั้น
ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนเริ่มตื่นตัว หากว่าเย่ฟ่านเข้าสู่อาณาจักรลึกลับที่ห้าพวกเขาก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่ แต่ในท่าทีตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีโอกาสไม่น้อยที่จะเข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้ว
และเมื่อถึงเวลานั้นความหายนะจะมาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงและตระกูลจี้อย่างไม่ต้องสงสัย?
ทุกคนสั่นสะท้านเมื่อคิดถึงผลลัพธ์นี้ แม้แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์จี้ฮ่าวเย่ และเซี่ยจี้โหยวซึ่งอยู่บนท้องฟ้าต่างก็เริ่มระมัดระวังขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเกือบทุกคนไม่คิดว่าเย่ฟ่านจะสามารถทำลายคำสาปได้ เพราะร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณต่อให้พวกเขาเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่เคยมีใครทะลวงออกจากอาณาจักรตำหนักเต๋าได้สำเร็จ
พายุลูกนี้เคลื่อนตัวทั่วภาคเหนือ เย่ฟ่านได้ยินข่าวนี้มากมายระหว่างทาง หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็เข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์สักที
เย่ฟ่านเดินทางไปทางเหนือเป็นเวลากว่าสิบวัน บนภูเขาและแม่น้ำหลายพันสาย ในที่สุดก็มาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ
เมืองศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือถือเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ผู้คนที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือทางก็เรียกมันว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงอากาศหนาวเย็นขึ้นมากแล้ว แต่ยังมีใบไม้เหลือสักหนึ่งหรือสองใบแขวนอยู่บนกิ่งเปลือยอย่างเหนียวแน่น
สถานที่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นตั้งอยู่นั้นกินบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมากและเมืองก็อุดมสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับแคว้นอื่นๆ เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นสงบที่สุด
ไม่ว่าโจรเร่ร่อนจะมีความกล้ามากแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะบุกจู่โจมเมืองศักดิ์สิทธิ์ เมืองแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงยอดฝีมือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวเท่านั้นที่ประจำการอยู่
ในดินแดนรกร้างตะวันออกมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณทั้งหมดสิบห้าแห่ง และพวกเขาต่างก็มีโรงพนันของตัวเองอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
ลมจากทางเหนือทำให้หญ้าขาวโพลนทั่วพื้นดินเพราะถูกทับถมด้วยหิมะ คนเดินถนนจำนวนมากที่เห็นบนท้องถนนต่างสวมชุดหนังสัตว์เพื่อความอบอุ่น
ในเวลานี้เย่ฟ่านอยู่ห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงหกร้อยลี้ สองข้างทางมีภูเขาสูงตระหง่านและผาหินสองฝั่งงดงามตระการตา
เมื่ออยู่ห่างจากเมืองศักดิ์สิทธ์ราวๆสองร้อยลี้ เขาก็เริ่มเห็นผู้คนมากมายที่มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน สัตว์อสูรถูกควบขี่ ผู้ฝึกตนบินอยู่บนท้องฟ้า
“คลืน!!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น นักรบที่ขี่บนหลังม้าหลายสิบตัวพุ่งพรวดออกมาเหมือนกระแสน้ำ คนเหล่านี้หยิ่งผยองมาก พวกเขาขี่สัตว์อสูรลอยกลางอากาศเหนือพื้นดินเพียงไม่กี่วา
สัตว์อสูรส่งเสียงคำรามในขณะที่พวกมันวิ่งผ่าน เส้นผมของคนจำนวนมากบนท้องถนนยุ่งเหยิงไปหมด และผู้คนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกไม่พอใจ
หากว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าขี่สัตว์อสูรอยู่บนท้องฟ้าในระยะไกลพวกเขาคงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่การที่คนพวกนี้ขี่สัตว์อสูรไม่ห่างจากศีรษะของพวกเขา มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้คนที่อยู่ด้านล่างอย่างชัดเจน
ผู้คนที่ขี่สัตว์อสูรด้านบนไม่สนใจความรู้สึกของผู้คนบนท้องถนน พวกเขารีบเร่งไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์และหายตัวไปในพริบตา
คนทั่วไปจะไม่กล้าทำเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องทำมาหากินอย่างสุจริตในเมืองศักดิ์สิทธิ์ การที่พวกเขาจะต้องไปมีเรื่องกับคนที่สามารถขี่สัตว์อสูรเข้าเมืองได้ดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่
“นี่เป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางโบราณใด พวกเขาเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว พวกเขาแทบจะเหยียบหัวเราไปด้วยซ้ำ” ใครบางคนไม่พอใจ
“ลืมมันไปเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้อีก ถ้าพวกเขาได้ยินมันจะเกิดหายนะกับเจ้า” มีคนเกลี้ยกล่อม
“ข้ารู้สึกเหมือนเป็นคนจากตระกูลจินของที่ราบทางตอนเหนือ พวกเขาอาจจะบังเอิญผ่านมา หรือบางทีพวกเขาอาจจะเผชิญวิกฤตบางอย่างถึงได้รีบร้อนขนาดนี้”
“มีข่าวว่าทายาทตระกูลจินกำลังออกตามล่าปีศาจสวรรค์อยู่ บางทีความรีบเร่งของพวกเขาอาจเป็นเรื่องนี้ก็ได้”
ก่อนเข้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ เย่ฟ่านก็ได้ยินเรื่องต่างๆมากมาย ในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้แก่ ตระกูลจักรพรรดิแห่งภาคกลาง และตระกูลจินของที่ราบในภาคเหนือ
ไม่นานหลังจากนั้น ในที่สุดเย่ฟ่านก็มาถึงเมืองอันดับหนึ่งของภาคเหนือ นี่คือดินแดนบริสุทธิ์รัศมีหลายร้อยลี้โดยรอบเป็นไปด้วยป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม
แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่นี่ก็เขียวขจี ไม่มีความหนาวเย็นใดๆเหมือนกับวันฤดูใบไม้ผลิ ขณะเดียวกันปราณชีวิตของที่นี่ก็สูงกว่าบริเวณอื่นของภาคเหนือหลายเท่า
“นี่มันปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทำไมพลังชีวิตถึงยังมีมากขนาดนี้” คนที่สงสัยเหมือนเย่ฟ่านถามด้วยความสงสัย
“เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ตั้งมาตั้งแต่ในยุคเซียนโบราณแล้ว การดำรงอยู่ของมันทำให้บริเวณโดยรอบได้รับความคุ้มครองไปด้วย” มีคนให้ความกระจ่าง
หลังจากผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเย่ฟ่านก็ได้เห็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ในตำนานซึ่งทำให้เขาตกใจอย่างมาก
เมืองโบราณมีความสง่างามอย่างยิ่ง กำแพงเมืองเป็นเหมือนมังกรขนาดใหญ่ที่มีความยาวไม่สิ้นสุด เหมือนกับทองแดงที่ส่องประกายแวววาวเป็นโลหะ
หอประตูอันวิจิตรตระการตาซึ่งสูงร้อยวานั้นงดงามอย่างยิ่ง จากระยะไกลเมืองโบราณขนาดใหญ่ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกเล็กน้อย
"นี่คือศูนย์กลางของภาคเหนือ ... ตั้งแต่สมัยโบราณมีตำนานมากมายเกี่ยวกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นสถานที่ที่เก่าแก่ที่สุดในภาคเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย”
เป็นไปไม่ได้ที่จะสืบย้อนไปถึงอายุที่แท้จริงของมัน ตั้งแต่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็บอกว่าเมืองนี้ไม่เคยถูกย้ายไปไหน และมันตั้งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เริ่มต้น
บางตำนานก็บอกว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองลอยฟ้า ครั้งหนึ่งมันถูกศัตรูโจมตีและทำให้ตกลงมายังพื้นดิน
เมืองโบราณแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงของอาณาจักรขนาดใหญ่หลายเท่า มันช่างยิ่งใหญ่และงดงามมาก ด้วยความเร็วระดับเย่ฟ่าน เขาต้องใช้เวลามากกว่า 5 วันในการข้ามจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งของเมือง