ตอนที่ 383+384 ราวหนึ่งร้อยปี
“คุณฟื้นแล้ว”
เธอฝังใบหน้าไว้บนมือของเขา “ฉันรู้ว่าคุณต้องหาย คุณเพียงหลับไปเท่านั้น แต่ฉันอยากให้คุณตื่นขึ้นมามาก ๆ”
“ผมไม่ได้สติไปนานแค่ไหน?” ลู่ชิงสีอยากจะโอบกอดเธอ แต่สภาพร่างกายในปัจจุบันของเขากลับไม่เอื้ออำนวยให้ทำอย่างนั้น
แม้ว่าเขาต้องการฝังตัวเองในสัมผัมของเอมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทได้
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปลอบโยนเธอโดยการใช้นิ้วลูบบนใบหน้าของเธอเบา ๆ
“ร้อยปี” เจียงเหยาตอบเบา ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น ลู่ชิงสีก็หัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าเจ็บสักแค่ไหนที่ทำท่าอย่างนั้น
“ไม่ต้องหัวเราะเลย! ฉันรู้สึกเหมือนร้อยปีจริง ๆ นะ” เจียงเหยาจ้องไปที่ลู่ชิงสี “ตอนที่คุณนอนนิ่งเป็นเด็กทารกอยู่ที่นี่ รู้รึเปล่าว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน”
“คุณพูดถูก ผมผิดเอง” ลู่ชิงสีไม่ได้โกรธ แต่เขากลับขอโทษ ซึ่งทำให้เจียงเหยาแปลกใจ
เธอมองเขาอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาเบา ๆ
“ลู่ชิงสี นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะทำแบบนี้กับฉัน! คุณทำให้ฉันตกใจมากรู้บ้างไหม? ต่อไปถ้าต้องออกไปทำภารกิจที่อันตรายแบบนี้ ฉันขอไปกับคุณด้วย!” เธอขยับริมฝีปากออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มผิดหวัง เธอมองดูท่าทางของเขาและหัวเราะออกมา
นานมากแล้วที่เธอไดยิ้มอย่างจริงใจอย่างนี้ออกมา
เธอรู้ว่าเขาไม่ยินยอม แต่เธอสัญญาว่าจะอยู่ใกล้เขาเสมอ
การรักษาผู้พันหลินและลู่ชิงสี มอบระดับที่เพียงพอให้กับเธอ ถึงขั้นที่เธอสามารถไปปฏิบัติภารกิจร่วมกับลู่ชิงสีได้
เจียงเหยาลุกขึ้นยืน อยากจะหยิบมือถือออกมา ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่าเสื้อถูกดึง เป็นลู่ชิงสีที่ดึงเสื้อเธอไว้
“คุณจะไปไหน” ลู่ชิงสีถามอย่างกังวล เขาคิดว่าเจียงเหยาโกรธเขา
“โทรหาเหวยฉีและคนอื่น ๆ ค่ะ พวกเขาเป็นห่วงคุณมาก ตอนนี้คุณฟื้นแล้ว ต้องรีบบอกให้พวกเขารู้” เจียงเหยาอธิบาย
เจียงเหยาโทรหาโจวเหวยฉีก่อน หลังจากเขารับสาย เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้กับริมฝีปากของลู่ชิงสีและทำท่าทางให้เขาพูด
เขามีหลายอย่างที่จะพูดกับเจียงเหยา แต่ไม่ใช่กับโจวเหวยฉี
“บอกเขาสิว่าฟื้นแล้ว!” เจียงเหยากระตุ้น เมื่อมองไปที่การแสดงออกอย่างไม่เต็มใจของลู่ชิงสี เธอกล่าวเสริมว่า “คนเลว รู้ไหวว่าเหวยฉีเขาเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน?”
__
ตอนที่ 384 เย้าแหย่กับเพื่อน
หลังจากนั้นลู่ชิงสีก็พูดอย่างเชื่องช้า “เหวยฉี ฉันเอง ฉันเพิ่งฟื้น”
ทันใดนั้น เสียงโวยวายของโจวเหวยฉี ก็เล็ดรอดดังผ่านโทรศัพท์
นั่นคือเขาจริง ๆ โจวเหวยฉี
เขาไม่คิดว่าเสียงเย็นชาของลู่ชิงสีเป็นเรื่องน่ากังวล จากสิ่งที่เขารู้ ยกเว้นเจียงเหยา ลู่ชิงสีก็พูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาโดยตลอด
เมื่อได้ยินว่าลู่ชิงสีฟื้นแล้ว โจวเหวยฉีก็มีความสุข เขากระโดดไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่น กระโดดไปที่โซฟาโยนหมอนไปรอบ ๆ และทำให้บ้านของเขารก
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเจียงเหยา ครอบครัวเหลียงและเพื่อน ๆ ของลู่ชิงสีคนอื่น ได้มารวมตัวกันในห้องพักฟื้นผู้ป่วยของเขา
พันเอกหลินเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาในห้อง
หลังจากรู้ว่าลู่ชิงสีฟื้นแล้ว พันเอกหลินยืนกรานที่มาด้วยตัวเอง จนหมอและพยายามท้อแท้ใจ พวกเขายอมจำนนและขอให้พยาบาลชายที่แข็งแรงหลายคนหามเขาบนเปลไปที่ห้องของลู่ชิงสี
ลู่ชิงสีมองไปที่ผู้มาเยี่ยมที่นอนมาบนเปลก็หัวเราะออกมาเบา ๆ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บาดแผลของเขาเจ็บอีกครั้ง
เจียงเหยาจ้องไปที่เขา “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าหัวเราะ! หน้าอกของคุณจะบีบอย่างรุนแรงถ้าหัวเราะ แค่นั้นก็รุนแรงพอที่ทำให้บาดแผลฉีกได้นะ!” เธอใช้ระบบการแพทย์สแกนดูเขา เพื่อให้โล่งใจ เมื่อพบว่าไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น
“ดูผู้พันหลินสิ น่าสงสารเชียว” ลู่ชิงสีอยากจะหัวเราะ แต่เมื่อเห็นขาของผู้พันหลิน เขาก็รู้สึกเสียใจในทันใด เขาไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของพันเอกหลินเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาคิดว่าขาของอีกฝ่ายน่าจะใช้การไม่ได้แล้ว
เมื่อลู่ชิงสีพบพันเอกหลินในห้องที่มืดสลับ เขาโกรธในสิ่งที่เห็นพวกนั้นทำ นี่เขาแยกกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ผู้พันหลินจะผ่านการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม
เขาหัวเราะ ไม่ใช่เพราะตลกขบขันเมื่อพันเอกหลินถูกห้ามมา แต่เพราะว่าทั้งพันเอกหลินและคุณนายหลินดูร่าเริง ทั้งคู่เผชิญกับความทุกข์ยากด้วยทัศนคติเชิงบวก
เบื้องหลังเสียงหัวเราะของเขาคือความเศร้า
เมื่อลู่ชิงสียังเป็นนักศึกษา พันเอกหลินได้สอนสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่มีในชั้นเรียนและไม่มีในหนังสือ สำหรับเขา ผู้พันหลินเป็นหัวหน้าของเขา เป็นสหายของเขา และยังเป็นพี่ใหญ่ของเขาด้วย
“เจียงเหยาพูดถูก! ทำไมนายถึงหัวเราะเยาะคนที่เพิ่งเจอกันเล่า?” ผู้พันหลินอุทานออกมา “ดูสิ นายไม่ได้ดีไปกว่าฉัน อย่างน้อยฉันก็ฟื้นมาได้สองสามวันแล้ว ยังมีชีวิต มีแรง ในขณะที่นายนายอยู่ตรงนั้นราวกับผักแหนะ ฉันคิดว่าปีหน้าวกเราจะได้เผากระดาษให้นายขนาดไหน!”
“ดูคุณพูดเข้าสิ!” นางหลินหัวเราะและพยายามตีไหล่ผู้พันหลิน