ตอนที่ 168 ศัตรูไม่ต่ำกว่า 10,000 คน(อ่านฟรี)
ตอนที่ 168 ศัตรูไม่ต่ำกว่า 10,000 คน
หลังจากแยกจากวอลเลอร์ กายก็ตรงไปหาทิฟอนในทันที ซึ่งกองกำลังของทิฟอนได้มาประจำการอยู่ที่กำแพงทางฝั่งตะวันออก
เมื่อทิฟอนเห็นกายมาหาเขา ก็มีสีหน้าแปลกใจที่อยู่ ๆ กายมาหาตนในตอนนี้
“เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถึงมาหาข้าในตอนนี้”
“มีแน่นอน...”
กายตอบ ก่อนจะเล่าเรื่องที่รองแม่ทัพโลเวลเรียกเขาไปพบ ซึ่งพอทิฟอนได้ฟังก็มีสีหน้าเข้มขรึมขั้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะทิฟอนจะกล่าว “ตามข้าไปพบหัวหน้ากองพลเกลกันก่อน”
หลังจากพบหัวหน้ากองพลเกล พอรู้ว่าทางรองแม่ทัพโลเวลยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของมนุษย์ไฟ กำให้หัวหน้ากองพลเกลบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ก็คุมอารมณ์ไว้อยู่
“เขาบอกเหตุผลกับเจ้าไหม ถึงถามเรื่องนี้” หัวหน้ากองพลเกลถาม แต่กายกลับส่ายหัวเบา ๆ เท่านั้น เพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าชายคนนั้นคิดจะทำอะไร
แต่ถ้าให้เขาเดา คงมีแผนแบบเดียวกับของเขา นั้นคือดึงผู้เล่นมาร่วมสู้ในสงคราม แม้ดูเหมือนจะมีประโยชน์กับทั้งป้อมปราการและนครดาราฟ้า แต่ตอนนี้กองทัพพิทักษ์ตะวันออกมีปัญหาแย่งอำนาจภายในกัน มันจึงเงื่อนไขหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จริง ๆ แล้วสองคนนี้ระหว่างรองแม่ทัพอับบาสหรือรองแม่ทัพโลเวล ใครจะได้เป็นแม่ทัพ มันไม่มีผลกับกายมากนัก เพราะในตอนนี้เขายังไม่ได้นับเป็นทหารจริง ๆ แต่มันจะส่งผลต่อภาพรวมของสงครามมากกว่า
“ตามข้ามา” หัวหน้ากองพลเกลกล่าว ก่อนจะลุกเดินออกไป ทิฟอนหันมามองกาย กายได้แต่ถอนหายใจและถามไปอีกครั้ง
ที่ห้องของรองแม่ทัพอับบาส ตอนนี้อับบาสกำลังนั่งนิ่งเงียบปิดตาลงทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองก็มีคนรายงานว่าหัวหน้ากองพลเกลต้องการเขาพบและก็ดูเหมือนอับบาสคาดการไว้อยู่ก่อนแล้ว
“เรื่องพวกมนุษย์ไฟ หลังจากนี้ให้คนของรองแม่ทัพโลเวลจัดการต่อ พวกเจ้าไม่ต้องเข้าไปทำอะไร เพียงแค่จับตาดูอย่าให้มนุษย์ไฟพวกนั้นก่อกบฏในป้อมปราการ”
ทั้งสามคนพอได้ยินดังนั้นก็ตกใจที่รองแม่ทัพอับบาสยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้
“นี่มัน...”
หัวหน้ากองพลและรองแม่ทัพอับบาสพูดคุยกันในทันที ขณะที่กายตอนนี้กำลังจมลงสู่ห้วงความคิด ตัวแปรหายไป อะไรคือสิ่งที่ทำให้รองแม่ทัพโลเวลตัดสินใจแบบนี้ แล้วทำไมรองแม่ทัพอับบาสถึงยอมรองแม่ทัพโลเวล หรือเขาคิดว่าแค่กำลังจากผู้เล่นอาจจะไม่ดึงดูดพอ
เขากำลังประมาทพลังของผู้เล่น จริงอยู่ที่ผู้เล่นนั้นยังอ่อนแอ แต่มันก็แค่ตอนนี้ในเมื่อเรายังมาถึงระดับนักรบฝึกหัดขั้น 3 ได้ในตอนนี้ พวกกิลด์ใหญ่ ๆ ก็คงจะตามมาอีกไม่นาน
“พอแค่นั้น แม้พวกมนุษย์ไฟจะมีประโยชน์ แต่พวกเขาอ่อนแอ ข้าไม่ต้องการเสียเวลาไปกับพวกนอกคอกเหล่านั้น แถมการเอาพวกเขามาใช้งานก็มีความเสี่ยงมากเกินไป พวกมันไม่ต่างจากโจรหรือทหารรับจ้าง ไม่เหมือนเราที่เป็นทหารที่แท้จริง” อับบาสกล่าวเสียงดัง
หัวหน้ากองพลเกลปิดปากเงียบในทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาเป็นหัวหน้ากองพลก็จริง แต่เมื่อเทียบกับรองแม่ทัพแล้วมันยังห่างกันมาก
ส่วนทิฟอนและกายก็ไม่พูดอะไร ทั้งสองได้แต่พึมพำในใจอย่างเข้าใจว่า รองแม่ทัพอับบาสแก่แล้ว
ขณะนั้นเองก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาตัวทั้งป้อมปราการ ซึ่งเสียงที่ดังอยู่นี้ หมายถึงมีศัตรูโจมตี ทุกคนในห้องต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน
“พวกมันบุกโจมตีก่อนรุ่งสางจริง ๆ รีบไปประจำตำแหน่งอย่าให้มันปืนข้ามกำแพงมาได้ ส่วนเจ้าส่งคนไปบอกให้กองพลที่ 3 ช่วยเสริมกำลังที่ประตูใหญ่อย่าให้พวกนครแสงเทวาเข้ามาพังได้เป็นอันขาด” รองแม่ทัพอับบาสสั่งการอย่างรวดเร็ว โดยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ในการบัญชาการ
“ข้าจะไปกับท่าน” กายหันไปกล่าวกับทิฟอน
“งั้นก็ไปเอาอาวุธแล้วไปเจอกันที่กำแพง” ทิฟอนกล่าว ก่อนจะรีบออกไปโดยมีกายตามไปด้วย
กายและทิฟอนมาถึงกำแพงป้อมปราการฝั่งตะวันออก เมื่อมองออกไปนอกกำแพงก็เห็นแสงไฟจำนวนมาก ซึ่งเป็นแสงจากคบเพลิงกำลังมุ่งหน้ามาที่ป้อมปราการ
จากการประมาณคร่าว ๆ มีศัตรูไม่ต่ำกว่า 10,000 คน
“พวกมันมีทหารมากขนาดนี้เชียว” ทิฟอนพึมพำออกมา
“ไม่ใช่ทหารทั้งหมด” กายมองดูพวกที่นำหน้าอยู่ก็รู้ได้เลยว่าพวกนี้คือผู้เล่น ซึ่งน่าตกใจมากที่มีผู้เล่นเข้าร่วมกับทหารนครแสงเทวามากขนาดนี้ ในเวลาแค่ไม่กี่วัน
บางที่อีกไม่กี่วันต่อจากนี้อาจจะมีผู้เล่นมากกว่านี้หลายเท่า...กายมีสีหน้าหนักอึ้ง
เกมราชันสงครามออนไลน์นั้นมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วันหลายแสนคน ซึ่งผู้เล่นอาจจะทะลุร้อยล้านไปแล้ว และที่เห็นผู้เล่นในสองนครนี้นั้นก็แค่หนึ่งในหยดน้ำมหาสมุทรเท่านั้น
ผู้เล่นส่วนใหญ่กระจายไปทั่วทั้งโลกราชัน บ้างก็เปิดเผยตัว บ้างก็ทำแบบกายเล่นไปตามเนื้อเรื่องไม่ให้ NPC รู้ และบางส่วนก็ออกไปสำรวจโลกราชันที่น่าสนใจใบนี้
แต่สำหรับกิลด์อาชีพแล้ว การจะแข็งแกร่งขึ้นและเป็นผู้เล่นชั้นนำได้ไว้สุดนั้นก็คือสงคราม สถานที่นี้จึงดึงดูดผู้เล่นได้มาก และผู้เล่นก็ไปรวมกันที่มัลทาฟา
และภายหลังรองแม่ทัพโลเวลจะบอกว่าได้จัดการดึงพวกผู้เล่นบางส่วนมาเข้าร่วมทัพบ้างแล้ว แต่ก็ยังช้าไป มีผู้เล่นจำนวนมากไปเข้าร่วมกับฝ่ายนครแสงเทวา เพราะแม้จะรู้ว่าฝั่งนั้นมีกิลด์กะโหลกแดงเป็นหัวหอกผู้เล่น แต่ก็ใช่ว่าจะมีกิลด์กะโหลกแดงเป็นกองกำลังผู้เล่นเดียวในนั้น
“ฝ่ายเราช้าไป คงเจอศึกหนักแล้ว” กายพูดด้วยเสียงที่มีแค่เขาได้ยิน ในตอนนั้นหางตาของเขาก็หันไปเห็นมีอาและลิลี่ที่กำลังจะมาทางนี้พอดี
“เจ้ามาข้าพอเข้าใจได้ แต่เจ้าละลิลี่?” กายถามพร้อมกับมองไปที่ลิลี่
“หืม พวกเจ้าออกไปสู้กันสองต่อสองมาสามวันแล้ว ตอนนี้พอข้ามายังจะห้ามอีก ข้าหายดีแล้ว ดังนั้นสู้ได้อย่างไม่มีปัญหา” ลิลี่แสดงท่าทางให้กายดูว่าเธอไม่เป็นอะไร
กายหันไปหามีอาเพื่อยืนยัน
“อืม นางหายดีแล้ว” มีอาตอบ
“เห้!...เจ้าไม่เชื่อข้านี่ ดูนี่ข้าแข็งแรงมากและไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน” ลิลี่ต่อยหมัดเข้าหากันด้วยพละกำลังที่มากกว่าคนปกติ
“ถ้างั้นพวกเจ้าระวังตัวด้วย”
“แน่นอน” มีอาพยักหน้ารับ
“ข้าจะอัดให้เละเลย” ลิลี่ยิ้มพร้อมกับมือกอดอกอย่างมั่นใจ
...
กำแพงป้อมปราการตะวันออกมีโครงสร้างด้านนอกยังห่อหุ้มด้วยเหล็กไม่ต่างจากโล่เหล็กขนาดใหญ่ขวางกันพื้นดิน มันสูงจากพื้นด้านนอกหลายสิบเมตร เทียบกันแล้วความสูงคงไม่ต่ำกว่าตึก 6-7 ชั้น จึงยากมากที่คนธรรมดาจะปืนขึ้นมาได้
กายกำลังมองศัตรูฝ่ายนครแสงเทวาที่เดินหน้าเข้าหาป้อมปราการ ความเร็วของพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเดินธรรมดา เป็นเดินเร็ว จากเดินเร็วเป็นเคลื่อนที่ราวกับวิ่งแข่ง
มีบางส่วนที่ใช้ม้ามักจะเร็วกว่าคนอื่น ๆ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับการเป็นเป้าโจมตีก่อนใครและการโจมตีของป้อมปราการตะวันออกนั้นเริ่มก่อนที่ทหารฝ่ายศัตรูจะถึงกำแพงป้อมปราการซะอีก
อาวุธระยะใกล้ในสงครามครั้งนี้ยังคงหนีไม่พ้น ธนูและหน้าไม้ หนึ่งในบางส่วนก็มีปืนให้เห็นบ้าง แต่เพราะจำนวนมันน้อยจึงไม่ใช่อาวุธหลัก และด้วยการทำลายล้างของศรจากธนูและหน้าไม้ในโลกราชันนั้นถือว่าโดดเด่นมาก ถ้าให้เทียบก็อาจจะกล่าวได้ว่าการโจมตีจากหน้าไม้ยักษ์ขนาดใหญ่ของกองทัพในโลกราชันนั้น มีอำนาจพอจะสามารถยิงทะลุและทำลายรถถังได้เลยทีเดียว
โดยเฉพาะหน้าไม้ยักษ์ที่ติดตั้งอยู่บนกำแพงป้อมปราการที่กายกำลังมองดูอยู่
หน้าไม้ยักษ์ดับตะวัน หน้าไม้ที่จัดเป็นอาวุธระดับ 6 บรรจุจิตวิญญาณอัคคีระดับทองแดงขั้นต่ำไว้ด้วย ซึ่งมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 5 เมตร หนักครึ่งตัน มันใช้ศรเหล็กกล้ายาว 8 เมตรในการยิงแต่ละครั้ง บรรจุได้ 5 ดอกต่อครั้ง
เนื่องจากหน้าไม้มีจิตวิญญาณอัคคีอยู่ ในทุกศรที่ยิงออกไปเมื่อกระทบกับเป้าหมายจะระเบิดเปลวเพลิงเป็นวงกว้างนับสิบเมตรออกมา ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่น่ากลัวมากและกายก็จะได้เห็นการทำลายล้างของอาวุธนี้กับตาในอีกไม่กี่วินาที ซึ่งมีอาและลิลี่ก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน
“เตรียม!!!”
“ยิงได้!!!”
หัวหน้ากองพลสั่งการลงไป ซึ่งคนที่ยิงหน้าไม้ยักษ์ดับตะวันได้นั้นจะต้องเป็นนักรบแท้จริงที่รองรับพลังของจิตวิญญาณได้เท่านั้น ไม่งั้นทหารธรรมดาอาจจะตายได้จากพลังของจิตวิญญาณในอาวุธ
ปัง!...ฟิ้ววว!!!
เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไว้ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงศรเหล็กกล้าตัดผ่านอากาศยิงออกไปในระยะ 500 เมตรเข้าใส่ผู้เล่นศัตรูที่วิ่งเข้ามาที่ป้อมปราการ
ตูม!
ศรขนาดใหญ่ยิงใส่ผู้เล่น ถ้าไม่โดนตัวก็มีเปลวเพลิงระเบิดออกมา ซึ่งมากพอจะเผาพื้นที่ในระยะ 10 เมตรสังหารผู้เล่นในบริเวณนั้นตายไปจำนวนมาก
“นั้นมันบ้าอะไร”
“รุนแรงมาก อาวุธพวกนี้โจมตีครั้งเดียวก็ฆ่าพวกเราไปเกือบ 20 คน”
“บุกต่อไปอย่าหยุด วิ่งให้เร็วขอแค่มันยิงไม่โดนมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“บุก!!!”
ผู้เล่นไม่กลัวตาย พวกเขายังเคลื่อนที่เข้าหาป้อมปราการต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านป้อมปราการตะวันออก พวกเขายังยิงหน้าไม้ยักษ์ดับตะวันอย่างต่อเนื่อง และก็ยิงธนูและหน้าไม้ใส่พวกที่เข้ามาในระยะเช่นกัน
มันเหมือนกับเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ผู้เล่นและทหารฝ่ายศัตรูยังไม่แม้แต่จะเข้ามาสังหารทหารฝ่ายนครดาราฟ้าได้แม้แต่คนเดียว
ซึ่งทางด้านกายที่มองจากกำแพงก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับฉากตรงหน้า เขาอยู่บนกำแพงจึงเห็นทุกอย่างชัดเจน