MDB ตอนที่ 11 เสี่ยวฮั่วเลื่อนระดับ
โจวซิวยอมทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีเพื่อช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเขา
เขาไม่ใช่คนโง่ ถ้าหลินจินสามารถบอกอาการได้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยสัตว์เลี้ยงของเขาได้ โจวซิวเคยพยายามขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าหวังจีมาก่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถบอกที่มาของอาการป่วยได้เลย
เห็นได้ชัดว่าหลินจินมีทักษะในด้านนี้มากกว่า แม้ว่าการที่หลินจินจะวินิจฉัยอาการป่วยของสัตว์เลี้ยงของเขามันจะเชื่อได้ยาก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะถาม สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาคือการหาวิธีรักษาสัตว์เลี้ยงของเขา
ถ้าหลินจินรู้อาการ ดังนั้นเขาจึงต้องมีวิธีรักษา
ดังนั้นโจวซิวจึงตัดสินใจ ขอร้องของวิธีการรักษาจากหลินจิน
จ้าวหยิงหน้าแดงด้วยความเขินอายขณะที่เธอหันหลังกลับอย่างโกรธเคืองและจ้องไปที่โจวซิวอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกเรียกว่า 'ท่านอาจารย์' โดยคนที่อายุเท่าพ่อของเธอเอง คนถูกเรียกก็รู้สึกอายเช่นกัน
ทันใดนั้น หลินจินก็หยุดเดินและพูดในขณะที่ยังคงจ้องมองไปข้างหน้าและพูดว่า “หญ้าน้ำค้างสีเขียว ใบรากหญ้า ดอกโบตั๋นสีขาว 150 กรัม เลือดกวาง โสม 290 กรัม นำพวกมันไปผสมและต้มกับผงหินไนเตรต 90 กรัมและกระดูกสัตว์ วิธีการที่ใช้อยู่ในหนังสือเล่มที่สามของการบดยาของหลี่ในบทที่หก ควรบริโภคทุกวันตอนเที่ยงคืนเป็นเวลาสามวัน ที่สำคัญอย่าเอามันให้กินหลังจากนั้นเด็ดขาด เอาล่ะ ข้าขอตัว”
เขาเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
โจวซิวมึนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบจดบันทึกไว้ในภายหลัง เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หลินจินอธิบายไว้คือวิธีการอัดเม็ดยาซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
ก่อนหน้านี้เขาค้นหนังสือทุกเล่มในสมาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาในขณะที่พยายามหาวิธีรักษาสัตว์เลี้ยงของเขา เขาใช้ความพยายามเป็นพิเศษในการอ่านหนังสือยาอัดเม็ดแบบคลาสสิกและอ่านวิธีการอัดเม็ดมากกว่าร้อยวิธี แต่วิธีการอัดเม็ดของหลินจินก็ไม่รวมอยู่ในหนังสือที่เขาเคยอ่านมาก่อน
“เป็นไปได้ไหมที่เขาพบมันในหนังสือบางเล่มที่ข้ายังไม่เคยเจอ” โจวซิวคิด เขามีข้อสงสัยมากมายแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ไม่ว่ามันจะถูกหรือไม่ มันก็คุ้มค่าที่จะลอง
เขาทบทวนถึงวิธีการรักษาของหลินจิน จากนั้นกลับไปที่สำนักงานโดยไม่สนใจฝูงชนที่มีข้อสงสัยต่อเขา
แทนที่จะค้นหาส่วนผสมของยา สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากกลับมาที่สำนักงานก็คือสั่งลูกน้องไปที่หมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่งเพื่อตรวจสอบบันทึกการประเมินที่หลินจินส่งมา
เรื่องนี้มันจำเป็นต้องทำ
ในเวลาไม่นาน นกก็กลับมา มันมีข้อพิสูจน์ว่าบันทึกที่หลินจินส่งมานั้นเป็นของจริง
“หลินจิน…เขาประเมินสัตว์วิเศษหลายร้อยตัวในสองชั่วโมงจริง ๆ เหรอ?”
แม้จะตรวจสอบแล้ว เขาก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อ แถมลูกน้องของเขายังพูดอีกว่า
“เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าหวังจีต้องการให้หลินจินมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากเรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วและเราปล่อยให้เขาผ่านเรื่องนี้โดยง่าย เราจะลำบากในการอธิบายเรื่องนี้ให้หัวหน้าฟังขอรับ”
โจวซิวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้…ข้าคิดว่าเราควรรายงานตามความจริงดีกว่า สำหรับวิธีที่เขาทำนั้นไม่ใช่เรื่องที่เรากังวล ความจริงก็คือเราไม่สามารถยุ่งย่ามกับเขาได้อีกต่อไป ถึงกระนั้น เขายังห่างไกลที่จะรอดจากแผนการของหัวหน้าได้ง่าย ๆ”
หลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า “วันนี้หลินจินดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง…มันรู้สึกเหมือนราวกับเขาเป็นคนละคนเลย!”
...
หลินจินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่มืดสลัวของเขาอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย
หลังจากกลับจากห้องทำงาน จ้าวหยิงต้องออกไปดูแลเรื่องอื่น ก่อนจากไป เธอยังคงขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเคารพอย่างสูง
ทางหลินจินเอง เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เรื่องนี้จบอย่างที่เขาคาดหวังไว้
ในสายตาของเขา จ้าวหยิงมีเสน่ห์ราวกับดาราภาพยนตร์จากโลกของเขาในแง่ของรูปลักษณ์และรูปร่างของเธอ การได้รับความชื่นชมจากหญิงสาวที่งดงามตระหง่านเป็นสิ่งที่น่ายินดีเสมอ
นอกห้องรับรองของเขา ทุกคนในสมาคมยุ่งและรีบวิ่งไปมา ลูกค้าใหม่มาที่สมาคมเพื่อประเมินและวินิจฉัยสัตว์วิเศษทุกวันซึ่งหมายถึงธุรกิจสำหรับพวกเขา
มีผู้ประเมินฝึกหัดมาเยี่ยมบ่อย ๆ แม้ว่าคนเหล่านี้จะเร่งรีบเข้าออกทุกวันแต่ห้องรับรองของหลินจินยังคงว่างเปล่าและไม่มีใครมาเยี่ยมเลย แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้ประเมินทางการในสมาคม แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรกับทุกคนภายนอก
ผู้ประเมินมักจะอยู่ในสมาคมเพื่อวินิจฉัยสัตว์วิเศษ หากไม่มีงานที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า
ถ้ามีใครเข้ามาและขอบริการประเมิน ผู้ดูแลในห้องโถงจะอนุญาตให้พวกเขาเลือกผู้ประเมินในสมาคม รวมทั้งหัวหน้า ผู้ประเมินทางการและผู้ประเมินฝึกหัด มีป้ายชื่อแขวนไว้บนผนัง กองป้ายทะเบียนจะแสดงชื่ออยู่ใต้ป้ายแต่ละป้ายและหมายเลขที่แสดงบนป้ายที่เลือกจะบ่งบอกถึงลำดับของลูกค้า ทว่าหลายคนยังคงต้องต่อแถวเนื่องจากป้ายทะเบียนของผู้ประเมินยอดนิยมสองสามคนมักจะหมดลงค่อนข้างเร็วในวันนั้น บางคนถึงกับหาเลี้ยงชีพและหารายได้มหาศาลจากการขายป้ายทะเบียนของผู้ประเมินยอดนิยมในราคาที่สูง
โดยธรรมชาติแล้ว ป้ายทะเบียนของหัวหน้านั้นเป็นของที่ต้องการมากที่สุด รองลงมาคือเกาเจียงผู้ประเมินทางการ ป้ายทะเบียนของเขาก็หายากเช่นกัน
แม้แต่ผู้ประเมินฝึกหัดสามอันดับแรกก็ได้รับความสนใจเช่นกัน ส่วนป้ายทะเบียนของหลินจินนั้น ไม่ได้ถูกติดตั้งในส่วนนี้ เนื่องจากตัวเขายังติดทัณฑ์บนอยู่
เวลาผ่านไป หลินจินและเสี่ยวฮั่วนั่งอยู่ในห้องอย่างเอื่อยเฉื่อย
หลินจินบอกกับตัวเองว่าต้องหยุดทำตัวขี้เกียจได้แล้ว เขาถูกหัวหน้าหวังจีกดดันซึ่งหมายความว่าเงินเดือนของเขาสำหรับเดือนนี้ถูกหักไปแล้ว ถ้ายังหาลูกค้าไม่ได้เงินเดือนเดือนหน้าก็จะมีเท่าเดิม
ไม่มีเงินเดือนแล้วจะกินอะไร? แล้วเขาดำรงชีพอยู่ได้อย่างไร?
“โอ้ เสี่ยวฮั่ว…ถ้ายังไม่มีใครมาที่นี่เพื่อประเมินหรือวินิจฉัยสัตว์วิเศษ เราจะไม่สามารถกินเนื้อได้ด้วยซ้ำ” หลินจินบ่นพึมพำในขณะที่เสี่ยงฮั่วที่วางเท้าของมันข้างตัวและหาวออกมา
‘หนอย! ไอ้หมอนี่’
ตอนนี้เสี่ยวฮั่วกำลังได้รับการฟื้นฟู หลังจากกินเม็ดยาไปเมื่อวานนี้ อาการบาดเจ็บของมันก็ดีขึ้นและหายเป็นปกติภายในเวลาไม่กี่วัน
นี่ไม่ใช่คำทำนายของหลินจินแต่เป็นเพียงสิ่งที่พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษกล่าวไว้ ถึงตอนนี้หลินจินเชื่อมั่นในข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อพูดถึงสัตว์วิเศษ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งข้อมูลขั้นสุดยอดและไม่มีใครเทียบได้
นอกจากนี้ มันยังมีวิธีการใช้พลังงานจิตวิญญาณเพื่อกระตุ้นและช่วยหลินจินยกระดับสัตว์เลี้ยงของจ้าวหยิง อย่างตัวนิ่มนั่นด้วย
ส่วนสาเหตุที่เสี่ยวฮั่วได้รับบาดเจ็บ หลินจินได้ค้นหาสาเหตุในพิพิธภัณฑ์แล้ว มันอธิบายว่าเกิดจากการสูญเสียพลังงานทางจิตวิญญาณอย่างรุนแรง มีเงื่อนไขไม่มากนักที่จะทำให้สูญเสียพลังงานทางจิตวิญญาณของสัตว์วิเศษ ยกเว้นเงื่อนไขหนึ่งคือการถ่ายโอนไปยังเจ้านายผ่านพันธสัญญาโลหิต
ดังนั้น หลินจินจึงตระหนักได้ว่าเขามีส่วนทำให้เสี่ยวฮั่วได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่?
กระบวนการระหว่างการตายของเจ้าของร่างคนเก่ากับการเดินทางข้ามโลกอาจต้องใช้เวลาพอสมควร อาจเป็นได้ว่าเสี่ยวฮั่วใช้พลังงานจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อรักษากระบวนการนั้นไว้และเมื่อมันไม่สามารถทำได้อีกต่อไป การกระทำนั้นก็เริ่มทำร้ายร่างกายของมัน
เหตุผลดังกล่าวค่อนข้างฟังขึ้น
เป็นเพราะเหตุนี้หลินจินจึงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเสี่ยวฮั่ว แม้ว่าสัตว์เลี้ยงตัวนี้จะมีค่าเฉลี่ยในแง่ของสายเลือดหรือศักยภาพค่อนข้างต่ำ ตราบใดที่มันซื่อสัตย์ต่อเขา เขาก็จะไม่ละทิ้งมัน
“มานี่ มาให้ฉันลูบแกซะดี ๆ!” หลินจินเหยียดแขนออกไปลูบไล้เพื่อฆ่าเวลา ในขณะที่เขาไม่มีอะไรจะทำมากกว่านี้แล้ว
“อืม อาการบาดเจ็บก็ไม่รุนแรงขนาดนั้นแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเจ้าเตี้ย โจวซิวก็ยังอยู่ที่ระดับสอง มันค่อนข้างน่าอายที่ผู้ประเมินทางการอย่างฉันยังคงมีสัตว์เลี้ยงระดับหนึ่งอยู่” หลินจินลุกขึ้นขณะที่เขานึกถึงเรื่องนี้
เนื่องจากความผิดพลาดมากมายที่เจ้าของร่างคนเก่าทำในการประเมินและวินิจฉัยสัตว์วิเศษ เขาจึงสูญเสียลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาไปจนหมด แต่ส่วนหนึ่งที่เขาไม่มีลูกค้าเลยก็เป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของเขาไม่ดีพอที่จะทำให้เกียรติภูมิของเขาสูงขึ้น
มันสมเหตุสมผลแล้วที่ลูกค้าไม่ได้เลือกเขาเพราะเขาเป็นผู้ประเมินที่สามารถประเมินและวินิจฉัยสัตว์วิเศษได้ แต่สัตว์เลี้ยงของเขาเองก็ยังเป็นสัตว์ร้ายระดับหนึ่ง
ดังนั้นเพื่อพลิกสถานการณ์นี้ เขาจำเป็นต้องมีสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่น่าเชิดหน้าชูตามากกว่านี้และด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงของเขาจึงต้องมีระดับที่สูงขึ้น
ตามที่พิพิธภัณฑ์ระบุไว้ เสี่ยวฮั่วมีศักยภาพที่ต่ำมาก จากศักยภาพของมัน มันยากมากที่จะเลื่อนเป็นระดับสอง ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันจะใช้เวลาประมาณสิบปีในการเพิ่มระดับ
แต่ด้วยพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ สิ่งต่าง ๆ จะต่างไปจากเดิม
พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษได้อธิบายวิธีเพิ่มระดับของเซียวฮั่วมากกว่า 10 วิธี แต่ละวิธีจะเป็นการค้นพบที่น่าตกใจ หลังจากเปรียบเทียบและเลือกสรรแล้ว หลินจินเลือกหนึ่งในหลาย ๆ วิธีแต่เขาต้องการจากทั้งหมดเพื่อช่วยในการเพิ่มระดับของเสี่ยวฮั่ว
ซึ่งวิธีนี้จะใช้หินวิญญาณและเม็ดพลังงานสัตว์วิเศษระดับหนึ่ง
ทางสมาคมมีของทั้งสองอย่าง ตามความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสมาคมที่ได้รับจากความทรงจำของเขา ในฐานะผู้ประเมินทางการ เขามีสิทธิ์ที่จะรับหินวิญญาณทุกเดือน เขาไม่ได้รับอนุญาตให้รับเม็ดพลังงานสัตว์วิเศษระดับหนึ่งเพราะพวกมันเป็นหินที่หายากแต่เขาสามารถซื้อพวกมันได้โดยมีส่วนลด 20%
นี่เป็นหนึ่งในสิทธิพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาพร้อมกับการเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ
ดังนั้นหลินจินจึงตรงไปที่แผนกพลาธิการโดยมีเสี่ยวฮั่ววิ่งเหยาะ ๆ อยู่ข้าง ๆ เขา