WS บทที่ 374 ป้อมปราการทรายดำ PART 1
ในคืนที่มืดมิด สายลมอันแผ่วเบาพัดกระทบกับเหล่านักเวทย์ซึ่งนั่งอยู่รอบกองไฟ พวกเขาเหล่านี้คือนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำ
ดินแดนมนต์ดำนั้นอยู่ห่างจากป้อมทรายดำพอสมควร แม้ว่าพวกเขาจะบินด้วยความเร็วเต็มที่พวกเขาต้องการเวลาสองสามวันกว่าจะไปถึง ด้วยความเร็วในการบินของเมอร์ลินนั้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ท้ายที่สุด เขาพึ่งพาอุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน เขาจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับพ่อมดระดับเจ็ดเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ การใช้อุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน มันใช้พลังเวทย์จำนวนมาก
โชคดีที่เมอร์ลินมีหินธาตุมากมาย เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าพลังเวทย์ของเขาจะหมด
ตลอดการเดินทางนี้ พ่อมดเอนเวียและนักเวทย์ระดับสามคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองมาที่เมอร์ลินอย่างต่อเนื่อง พวกเขารู้สึกสนใจที่เมอร์ลินมีอุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน
“พ่อมดดเมอร์ลิน ฉันสงสัยว่าคุณยังมีอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินอันอื่นอยู่ไหม หากเป็นเช่นนั้น คุณบอกเงื่อนไขของคุณได้เลย ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนมัน”
พ่อมดเอนเวียรู้สึกอยากได้อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินมาก เขามาจากตระกูลนักเวทย์ที่ค่อนข้างทรงพลังแต่ไม่สามารถหาอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินได้
เมอร์ลินส่ายหัว "ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันได้อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินโดยบังเอิญและมีแค่เครื่องเดียวเท่านั้น!”
เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เมอร์ลินพูด ใบหน้าของพ่อมดเอนเวียก็มีสีหน้าผิดหวัง
เมอร์ลินพูดต่อ “พ่อมดเอนเวียด้วยความสามารถของคุณ คุณน่าจะเริ่มสร้างเวทมนตร์ระดับสี่ได้ในไม่ช้านี้ เมื่อถึงจุดนั้น คุณจะสามารถสร้างคาถาบินธาตุลมได้ซึ่งมันเหนือกว่าอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินมาก”
โดยทั่วไป มีเพียงนักเวทย์ที่อยู่เหนือระดับสี่เท่านั้นที่สามารถสร้างคาถาบินได้ ในความเป็นจริง ด้วยความสามารถของพ่อมดเอนเวีย เขาควรจะสามารถสร้างคาถาบินได้แล้วในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม พ่อมดเอนเวียยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่เขาส่ายหัว “มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างคาถาระดับสี่ แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันยังคงวิเคราะห์คาถาระดับสี่ตั้งแต่เริ่มต้น มันยากเกินไปและอาจต้องใช้เวลาอีกสองสามปีกว่าที่ฉันจะสร้างคาถาระดับสี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ได้สร้างคาถาธาตุลมด้วย…”
เป็นเรื่องยากที่จะหานักเวทย์ที่ไม่ได้สร้างคาถาธาตุลม ท้ายที่สุด ทุกคนต่างก็รู้ถึงความสำคัญของความเร็วและหากใครต้องการจะโบยบิน ไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้คาถาธาตุลม
ไม่น่าแปลกใจที่พ่อมดเอนเวียยืนกรานที่จะรับอุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง พ่อมดเอนเวียก็พูดเบา ๆ ว่า “พ่อมดเมอร์ลิน ถ้าคุณกลายเป็นนักเวทย์ระดับที่สี่ในอนาคตและมีคาถาบินเรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้ไหมที่คุณจะมอบอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินให้ฉันได้รึเปล่า?”
ขณะที่เขามองไปที่การจ้องมองอย่างมีความหวังของพ่อมดเอนเวีย เมอร์ลินไตร่ตรองเรื่องนี้สั้น ๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ฉันจะเก็บไปคิดดู ไว้ตอนนั้นเราค่อยพูดเรื่องนี้กันอีกที”
พ่อมดเอนเวียพยักหน้าและรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาค้นหาในหอสมุดเป็นเวลานาน แต่ไม่พบอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินเลย
เขายังมองหามันในที่อื่น เขายินดีจ่ายราคาสูงเพื่อให้ได้มันมาแต่เขายังหามันไม่เจอจนถึงตอนนี้
ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบว่าเมอร์ลินมีอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินที่หายากนี้ เขาจะไม่ยอมให้โอกาสหลุดมือไปง่าย ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องรออีกสองสามปีก็ตาม
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างเย็น นักเวทย์ที่อยู่รอบๆ กองไฟค่อย ๆ หลับตาลงและเริ่มทำสมาธิ
เมอร์ลินไม่รู้ว่าป้อมปราการทรายดำเป็นอย่างไร เขาจึงถามพ่อมดเอนเวียว่า “พ่อมดเอนเวีย คุณพอจะรู้เกี่ยวกับป้อมปราการทรายดำมากแค่ไหน?”
“ป้อมปราการทรายดำ? ที่นั่นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ แตกต่างจากดินแดนมนต์ดำของเรามาก! ในดินแดนมนต์ดำมีนักเวทย์ระดับเก้าเพียงคนเดียว แต่ที่นั่นมีนักเวทย์ระดับเก้าจำนวนมากและจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงสองคน!”
ในโลกปัจจุบันของนักเวทย์ จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นถือว่าเป็นจุดสูงสุดของนักเวทย์ เพื่อที่จะกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในองค์กร
ตัวอย่างเช่น อาคารสเตอร์ลิ่ง แม้ว่ามรดกและทรัพยากรของอาคารสเตอร์ลิ่งยังขาดอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรนักเวทย์แต่การมีอยู่ของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่สเตอร์ลิ่ง นั่นก็ทำให้อาคารสเตอร์ลิ่งเฮาส์เป็นกองกำลังที่น่าเกรงขามซึ่งเทียบได้กับองค์กรนักเวทย์ขนาดใหญ่
ป้อมปราการทรายดำซึ่งมีจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่สองคน ถือได้ว่าเป็นองค์กรที่ทรงพลังอย่างแท้จิรง ท้ายที่สุด แม้กระทั่งในยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดของดินแดนมนต์ดำ พวกเขาก็มีจอมเวทย์ฟิเดลเพียงคนเดียวเท่านั้น
แม้ว่าเมอร์ลินจะรู้ว่าดินแดนมนต์ดำเป็นองค์กรขนาดเล็ก เขาไม่ได้คาดหวังว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างพวกเขากับองค์กรนักเวทย์ขนาดใหญ่จะกว้างมากขนาดนี้
…
หลังจากการเดินทางอันแสนลำบากยาวนานสองสามวัน เมอร์ลินและคนอื่น ๆ ก็ลงจอดในทะเลทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
อุณหภูมิอันร้อนแรง มันได้แผดเผาพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกอบอ้าวเล็กน้อย
เมอร์ลินกวาดพลังจิตของเขาไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว เขาไม่พบสิ่งใดผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ฮิวเซียสและคนอื่น ๆ กลับไม่คิดอย่างนั้น
“ป้อมปราการทรายดำอยู่ที่นี่หรือเปล่าขอรับ?” เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะถาม
พ่อมดฮิวเซียสส่ายหัว แต่เขาดูค่อนข้างมืดมน เขาพูดอย่างเหนื่อย ๆ “อันที่จริง ป้อมปราการทรายดำควรจะอยู่ที่นี่แต่วันนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ฉันหาป้อมปราการทรายดำไม่เจอ”
“คุณหาป้อมปราการทรายดำไม่เจองั้นเหรอ?”
พ่อมดฮิวเซียสเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดที่มีพลังจิตที่ไม่มีใครเทียบได้ มันน่าแปลกจริง ๆ ที่เขาไม่สามารถหาป้อมปราการทรายดำได้ ป้อมปราการทรายดำเป็นองค์กรของนักเวทย์ขนาดใหญ่มีพื้นที่กว้างสมฐานะขององค์กร ด้วยขนาดของสถานที่จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่พบ
ดังนั้นเรื่องนี้จึงค่อนข้างแปลก!
ทันใดนั้น ดวงตาสีแดงเข้มที่หน้าผากของพ่อมดลีโอค่อย ๆ เปิดออก ลำแสงสีแดงเลือดกลายเป็นม่านแสงที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ
หลังจากนั้น พ่อมดลีโอก็หัวเราะอย่างเย็นชา “หึ มีคนกำลังเล่นตลกกับพวกเรา มันเป็นภาพลวงตา!”
หัวใจของเมอร์ลินเต้นรัว เขามีดวงใจแห่งความมืด ดังนั้นจึงไม่มีภาพลวงตาใดที่จะหลอกเขาได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้
หากนี่เป็นภาพลวงตาจริง ๆ ก็มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น ภาพลวงตานี้ไม่ได้สร้างขึ้นโดยคาถาธาตุมืดซึ่งเป็นสาเหตุที่ดวงใจแห่งความมืดของเมอร์ลินไม่ตอบสนองเลย
“ดวงตาแห่งความมืด จงลวงตา!”
เนื่องจากดวงตาแห่งความมืด มันสามารถสร้างภาพลวงตาได้ ตามธรรมชาติแล้ว มันก็สามารถปัดเป่าภาพลวงตาได้เช่นกัน ทันทีที่พ่อมดลีโอพูดจบ ดวงตาที่สามสีแดงเข้มที่หน้าผากของเขาก็กระพริบอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงเลือดสาดและกลายเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง
*ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม*
ทุกที่ที่มีแสงสีแดงเลือดสาด ม่านแสงจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้น ม่านแสงนี้หายไปอย่างรวดเร็วภายใต้อำนาจของดวงตาแห่งความมืด มันเผยให้เห็นอาคารสูงตระหง่านและงดงามหลังหนึ่ง
มีความแตกต่างระหว่างอาคารเหล่านี้กับหอคอยของดินแดนมนต์ดำ อาคารของป้อมปราการทรายดำมีหลังคาแหลมและโครงสร้างอาคารเป็นทรงกลม พวกมันถูกจัดวางชิดกันจนเกิดเป็นภาพที่สวยงามตระการตา
ยิ่งกว่านั้นละอองเม็ดทรายสีดำจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว มันมาจากป้อมปราการทรายดำ
ตามข่าวลือ ทุก ๆ สองสามเดือน ป้อมปราการทรายดำจะประสบกับพายุทรายสีดำที่หายากมาก เม็ดทรายล้วนเป็นสีดำและมีคุณสมบัติลึกลับ พวกเขาสามารถรวบรวมเพื่อใช้เป็นวัสดุสำหรับอุปกรณ์เวทมนต์บางอย่างได้
ป้อมปราการทรายดำตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากเม็ดทรายสีดำอันล้ำค่าเหล่านี้ นอกจากนี้ ป้อมปราการทรายดำยังเป็นที่รู้จักในด้านการเล่นแร่แปรธาตุและได้เปลี่ยนโฉมผลิตภัณฑ์การเล่นแร่แปรธาตุที่ทรงพลังมากมาย พวกเขายังสามารถปรับปรุงอุปกรณ์เวทมนต์แบบพลังบางอย่างได้
“ฉันสงสัยว่าป้อมปราการทรายดำสามารถผลิตอุปกรณ์เวทมนต์แบบประกอบได้ อย่างเดียวกับพื้นที่มิติของเบลล์หรือไม่?”
เมอร์ลินนึกถึงจี้ห้อยคอรูปวงรีของเขา เขาแน่ใจคนที่สร้างมันต้องไม่ใช่นักเวทย์ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อเขามถึงป้อมปราการทรายดำ เขาสามารถสอบถามเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทมนต์แบบประกอบได้อย่างละเอียด บางทีเขาอาจจะพบส่วนประกอบอื่น ๆ ของพื้นที่มิติของเบลล์ก็ได้
พื้นที่มิติของเบลลล์ ตอนนี้ประกอบด้วยอุปกรณ์เวทมนต์สามชิ้น ถ้าเขาสามารถค้นหาส่วนประกอบเพิ่มเติมและรวมพวกมันได้สำเร็จ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้น และเขาจะมีอุปกรณ์เวทมนต์ที่ทรงพลังและลึกลับ
หลังจากที่พ่อมดลีโอใช้ ดวงตาแห่งความมืดเพื่อปัดเป่าภาพลวงตาของป้อมปราการทรายดำ ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในสถานที่นั้นคือเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์
เป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมปราการทรายดำมีทางเข้าออกเพียงประตูเดียว พื้นที่อื่น ๆ ดูเหมือนจะล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ย อย่างไรก็ตาม หากมองเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นว่ากำแพงเหล่านี้เชื่อมกับเส้นอักษรรูนลึกลับ เห็นได้ชัดว่านี่คือวงแหวนเวทย์ ขนาดใหญ่ที่ปกป้องป้อมปราการทรายดำเอาไว้
"เราไปกันเถอะ!"
ฮิวเซียสมีท่าทางค่อนข้างท้อใจ เขาคิดว่าป้อมปราการทรายดำได้สร้างภาพลวงตาเอาไว้ ถ้าพ่อมดลีโอไม่อยู่ พวกเขาคงเข้าไปไม่ได้ มันช่างเป็นเรื่องตลกเสียนี่กระไร และดินแดนมนต์ดำก็จะกลายเป็นตัวตลกสำหรับพวกเขา
ขณะที่เมอร์ลินและคนอื่น ๆ เข้าใกล้ประตูบานใหญ่ นักเวทย์สองคนก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาและขวางทางไว้ หนึ่งในนั้นคือนักเวทย์ร่างสูงและผอมแห้ง เขามองไปทางพ่อมดลีโออย่างพินิจก่อนจะพูดอย่างจองหองว่า
“พวกคุณมาจากองค์กรนักเวทย์หรือตระกูลนักเวทย์ที่ไหน?”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว ออร่าที่อยู่รอบนักเวทย์ทั้งสองนี้ไม่รุนแรงนัก อย่างดีที่สุด พวกเขาเป็นเพียงนักเวทย์ระดับสี่แต่มารยาทของพวกเขากลับหยิ่งผยองมาก
“พวกเรามาจากดินแดนมนต์ดำ!”
พ่อมดฮิวเซียสพูดอย่างเย็นชา ต่อจากนั้น เขาก็มอบสัญลักษณ์แห่งดินแดนมนต์ดำให้นักเวทย์ทั้งสองคนตรวจสอบ
หลังจากนั้นนักเวทย์สองคนก็พยักหน้า “พวกคุณมาจากดินแดนมนต์ดำสินะ! ภาพมายาก่อนหน้านี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้วงแหวนเวทย์โดยนักเวทย์ระดับเจ็ดจากป้อมปราการทรายดำ แม้แต่นักเวทย์ที่อยู่เหนือระดับเจ็ดก็ยังยากที่จะตรวจจับได้ ไม่ต้องพูดถึงการปัดเป่ามันด้วยซ้ำ โดยทั่วไปแล้วเราจะต้องออกไปรับพวกเขา”
หลังจากหยุดชั่วครู่ นักเวทย์ทั้งสองก็จ้องเขม็งไปที่พ่อมดลีโอ แววตาอันเคร่งขรึมส่องเข้ามาในดวงตาของพวกเขา “อย่างไรก็ตาม เราได้นำสมาชิกขององค์กรนักเวทย์ขนาดกลางเข้ามาก่อนหน้านี้และกำลังตั้งใจให้พวกคุณรอสักครู่ พวกเราไม่คิดว่าพ่อมดคนนี้สามารถทำลายภาพลวงตาได้…”
ใคร ๆ ก็เห็นว่านักเวทย์ทั้งสองจับตาดูพ่อมดลีโอ
อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ รู้ดีว่านักเวทย์เหล่านี้ไม่ได้นำนักเวทย์คนอื่นเข้ามา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจงใจ พวกเขาต้องการเล่นสนุกกับดินแดนมนต์ดำหรืออะไรทำนองนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ไม่ได้คาดคิดว่าการเล่นสนุกของพวกเขาจะส่งผลย้อนกลับมา เพราะพ่อมดลีโอสามารถขจัดภาพลวงตาได้
ถ้าทางป้อมปราการทรายดำรู้เรื่องนี้ ทั้งสองคนจะถูกลงโทษ ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้แค่จ้องมองพวกนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำอย่างไม่เป็นมิตรเท่านั้น