ตอนที่ 9 การซุ่มโจมตี
ตอนที่ 9 การซุ่มโจมตี
ดิออร์ได้ใช้คาถาเร่งความเร็วหลายครั้งในขณะที่เขากำลังวิ่งอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะไปที่พิกัดที่แสดงโดยเครื่องตรวจจับเวทย์มนตร์ขนาดเล็ก เขานั้นได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในพิกัดตั้งแต่ครั้งแรกที่มันปรากฏขึ้น นอกจากนั้น เขานั้นถูกบังคับให้เปิดใช้งานค่ายกลก่อนหน้านี้ เนื่องจากตราประทับเวทย์มนตร์ของเด็กชายนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่เครื่องตรวจสอบเวทมนตร์จะตอบสนอง
“มันราวกับว่าเขานั้นกำลังจะใช้เวทมนตร์อยู่ แต่แล้วเขาก็หยุดที่จะใช้มัน” เขากล่าวใต้ลมหายใจที่หอบของเขา
มันทำให้เขาสงสัยว่าเด็กคนนั้นรู้หรือไม่ว่าค่ายกลนั้นทำอะไรได้บ้าง
ดิออร์ส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้.”
ถ้าเด็กคนนั้นรู้ เขาคงไม่หยุดใช้เวทมนตร์กลางคันแบบนี้ เว้นแต่ว่ามีคนบอกให้เขาหยุด
“เขานั้นอยู่กับใครสักคนหรือเปล่า” ดวงตาของดิออร์หรี่ลง
เครื่องตรวจจับเวทมนตร์ตรวจไม่พบตราประทับเวทมนตร์อื่น ดังนั้นความเป็นไปได้ของบุคคลอื่นที่อยู่กับเด็กชายจึงแทบที่จะเป็นศูนย์
“แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย” เขาคิด
==================
คิรันคุกเข่าลงทันทีที่การโจมตีจากซากปรักหักพังสี่สีหายไปในความว่างเปล่า เขาได้หายใจอย่ารุนแรงและหยาดเหงื่อของเขาก็หยดลงมาที่ด้านข้างของใบหน้า
ปริมาณพลังเวทมนตร์จากการโจมตีโดยไม่คาดคิดนั้นมหาศาลเกินไปสำหรับคิรัน
ถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของชายที่สวมเสื้อคลุมก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะไม่ลองที่จะลงมือทำแบบนี้
แผนเริ่มต้นของคิรันคือการวาร์ปไปนอกขอบเขตของค่ายกลและหลบหนี แต่แล้วชายที่สวมเสื้อคลุมก็เรียกหมอกสีดำเหล่านั้นออกมาราวกับเป็นการป้องกันการโจมตี และ คิรันก็ได้อยู่ในระยะการเปิดใช้งานของเขา
“เขาต้องการปกป้องฉันหรือไม่” เป็นความคิดแรกที่คิรันนึกถึง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้ละทิ้งแผนเดิมที่จะหลบหนี และเขานั้นสงสัยว่าเขาจะสามารถตอบโต้การโจมตีของค่ายกลโดยใช้เวทมนตร์ความว่างเปล่าของเขาได้หรือไม่
อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าเขาสามารถทำได้และเขาก็ทำมัน แต่ว่าเขานั้นไม่รู้ว่าเขาจะหมดเรี่ยวแรงหลังจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“คุณ คุณทำบ้าอะไร มันคือเวทมนตร์อะไร” ชายที่สวมเสื้อคลุมได้ถามคิรันทันที
คิรันหันไปมองที่เขาและยังคงหายใจอย่างรุนแรงเหมือนเดิม
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เสียงที่เปล่งออกมาจากคาถาก็ดังขึ้น
“คิรัน รีจิส! ถึงเมื่อคืนคุณนั้นจะพยายามหลบหนี แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มอบตัวกับกองทัพ!”
คิรันขมวดคิ้ว “เมื่อคืนนี้? แต่….”
เขาไม่ได้หนีจากพวกนั้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเหรอ?
แล้วหลังจากนั้น พอกินยาเข้าไปเขาก็หมดสติไปทั้งวัน! ไม่น่าแปลกใจที่กองทัพสามารถไล่ตามเขาได้
“เรจิส? กองทัพ? เขาหมายถึงกองทัพหลวงหรือเปล่า” ชายที่สวมเสื้อคลุมขมวดคิ้วและได้จ้องไปที่คิรัน
เขานั้นไม่ใช่คนโง่ ทันทีที่เขาเห็นค่ายกลนี้ เขานึกถึงความเป็นไปได้สี่ประการที่บอกได้ว่าทำไมมันจึงปรากฏขึ้นที่นี่ และด้วยเหตุผลอะไร
อย่างแรก ศัตรูของเขาอาจพบเขาแล้วและวางแผนการซุ่มโจมตีนี้ นี่เป็นเหตุผลน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้เพราะเขามั่นใจในการปกปิดร่องรอยของเขา
ประการที่สอง พวกคนในกลุ่มนี้เป็นทหารรับจ้างหลังจากที่มีรางวัลนำจับเป้าหมายมูลค่าหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งล้าน พวกเขาอาจพบเป้าหมายแล้ว แต่เป้าหมายนั้นได้ต่อต้านพวกเขา และตอนนี้ทั้งเขาและเด็กนี่ต่างก็พัวพันกับการเผชิญหน้ากัน
ชายที่สวมเสื้อคลุมปฏิเสธความเป็นไปได้นี้เนื่องจากข้อกำหนดอย่างหนึ่งของงานคือการจับเป้าหมายทั้งเป็น
การทำแบบนี้นั้นมันเกินความจำเป็นอย่างชัดเจน
ประการที่สาม นี่อาจเป็นสงครามระหว่างสองตระกูลใหญ่
ในตอนแรก ชายที่สวมเสื้อคลุมคิดว่านี่คือเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุด
และสุดท้าย เด็กที่เขาพบเป็นผู้ลี้ภัยและคนที่ตามเขามาก็รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และตอนนี้ พวกเขาก็ตามเด็กนี่มาทันแล้ว
นี่เป็นเพียงการคาดเดาเหตุผลจากชายที่สวมเสื้อคลุมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสิ่งนี้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุดจากคำพูดที่ตะโกนออกมาในตอนนี้
เขานั้นได้เข้าไปพัวพันกับสถานการณ์ระหว่างตระกูลรีจิสและกองทัพหรือไม่?
คิรันกัดฟันของเขา
ในขณะที่ชายที่สวมเสื้อคลุมดูเป็นมิตร แม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลก ๆ และมีปากที่หยาบคาย คิรันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเปิดเผยเวทมนตร์ของเขา ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนตระกูลของเขาที่จะยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อตัวของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดทั้งวันนั้นมันทำให้เขาตกใจ
คิรันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
คิรันนั้นได้หันหลังให้กับชายที่สวมเสื้อคลุม เขากล่าวว่า “เจ้าอาจไม่ต้องการความกตัญญูจากข้า แต่ข้ารู้สึกขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไว้ ด้วยแบบนี้ พวกเราได้หายกันแล้ว”
คิรันกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บริเวณใกล้เคียงและจากไปโดยไม่รอคำตอบ
“เฮ้ย!” ชายที่สวมเสื้อคลุมตะโกน
“ไอ้เด็กเวรนั่น! อะไรนะ? แกทำมันด้วยตัวเอง ฉันไม่ได้ขอมัน!” เขาสาปแช่งคิรัน
ถึงกระนั้น เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับเขาหากพวกที่มาจากกองทัพเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงออกไปในขณะที่ทำให้แน่ใจว่าจะไม่รบกวนเขา
คุณสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่คุณนั้นยอมรับทุกอย่างด้วยการทำเช่นนี้ เด็กโง่เอ้ย
ชายที่สวมเสื้อคลุมกำหมัดแน่น เขาจำคำพูดของคนที่ตะโกนได้ ดวงตาของเขาเป็นประกาย
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังและเดินออกไปที่ตรงกันข้ามกับคิรัน
==================
คิรันหยิบของเหลวสีชมพูอ่อนขวดเล็ก ๆ ออกจากกระเป๋ามิติของเขา เขาเปิดมันและดื่มมันทั้งหมดก่อนที่จะเก็บกลับเข้ากระเป๋าไป
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็กระปรี้กระเปร่า
สิ่งที่เขาได้รับคือยาเพิ่มความแข็งแกร่งระดับต่ำ เขาไม่จำเป็นต้องระมัดระวังในการดื่มยานี้เพราะเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับยานี้แล้ว เขาดื่มยานี้เป็นจำนวนมากเมื่อเขาเข้าร่วมค่ายฝึกที่โรงเรียนทหาร
เขามองขึ้นไปและเห็นค่ายกลอยู่ด้านบน คิ้วของเขาย่น
“ลุงแปลกหน้าได้กล่าวไว้ว่าค่ายกลนี้จะกำหนดเป้าหมายเวทมนตร์ใด ๆ ที่ใช้นอกการคำนวณ แสดงว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ? หรือการใช้ เวทย์มนตร์เป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณ? ประณามมัน ฉันไม่รู้ว่าอาเรย์เวทมนตร์ทำงานอย่างไร”
เขากระโดดลงต้นไม้และวิ่งไปข้างหน้าต่อไป แต่เสียงหวีดหวิวได้ดังผ่านหูของเขาไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อมีของมีคมได้กระทบไปที่ไหล่ขวาของเขา
คิรันได้สะดุ้งและกลิ้งไปด้านข้างทันทีและได้ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้
เขาเห็นลูกธนูอีกสี่ลูกส่องประกายตลอดทั้งคืนขณะที่มันกระทบพื้นที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้
“ให้ตายสิ” คิรันสาปแช่งขณะที่เขาหยิบลูกธนูที่พุ่งเข้าใส่เขา
เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกแสบร้อนที่ได้กระจายจากไหล่ไปถึงแขน
“ลูกศรพิษ!” เขาตระหนัก
เขาหยิบของเหลวสีเขียวอ่อนอีกขวดออกมาดื่มทันทีและยัดขวดกลับเข้าไปในกระเป๋ามิติ
เป็นสิ่งที่ดีที่เขาตรวจสอบรายการของของเขาก่อนหน้านี้ เขายังจัดพวกมันเพื่อให้หยิบของออกมาได้ง่ายเมื่อเขาต้องการที่จะใช้มัน
เสียงดังกรอบแกรบได้ดังมาจากฝั่งตรงข้ามกับที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่
คิรันเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองและยืนขึ้นให้เงียบที่สุดแล้วได้หนีไปทางอื่น
เนื่องจากการโจมตีครั้งนี้ เขาจึงมั่นใจอย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายก็ไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์ของพวกเขาได้เช่นกัน
“ก็ถ้ามันเป็นแค่การต่อสู้ทางกายภาพ ฉันก็ยินดีที่จะสร้างความบันเทิงให้คนพวกนี้” คิรันนั้นคิดอย่างแน่วแน่
ตอนนี้เขารู้สึกอยากที่จะต่อสู้
==================
ดิออร์ทุบกำปั้นลงบนต้นไม้บริเวณใกล้ ๆ
เป็นอีกครั้งที่เขาพลัดหลงจากร่องรอยของคิรัน
เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่คิรันเคยอยู่ คิรันก็ได้ออกไปเรียบร้อยแล้ว เขาคาดหวังไว้แล้ว แต่เนื่องจากคิรันนั้นรีบหนีไป ดิออร์จึงคิดว่าเขาน่าจะทิ้งร่องรอยไว้บ้าง
“เด็กหนุ่มคนนั้นแน่ใจในความสามารถความสามารถของตนเองที่นักเรียนโรงเรียนทหาร... ดูเหมือนว่าพวกเขาจะฝึกนักเรียนได้ดีเกินไป” เขาคิด
“แกจะลองซ่อนก็ได้ แต่ภายในอาณาเขตนี้ แกหนีไม่พ้นแน่!” ดิออร์ตะโกนอีกครั้ง และได้ขยายเสียงของเขาด้วยเสียงคาถา
“คุณคงชอบใช้เสียงคาถาเวลาคุยกับตัวเอง นี่เป็นเครื่องรางของคุณหรือไม่” เสียงทุ้มพูดมาจากด้านหลัง
สัญญาณเตือนอันตรายของดิออร์ได้ดับลง เขาร่ายเวทย์มนตร์ทันที เขาได้เรียกเปลวเพลิงในขณะที่เขาหันกลับมาและได้โจมตีไปที่เจ้าของเสียงที่อยู่ข้างหลังเขา
เปลวเพลิงกระทบต้นไม้และพื้นที่ที่ถูกไฟก็ได้ไหม้ทันที
“นักเวทย์แห่งอัคคี อืม และด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรง น่าเสียดายที่คุณเป็นผู้ชาย ฉันนั้นไม่รังเกียจผู้หญิงที่เป็นนักเวทย์ไฟอารมณ์ร้อน” เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
“แสดงตัวออกมาซะ!” ดิออร์คำราม เปลวไฟขนาดใหญ่สองดวงปรากฏขึ้นจากมือทั้งสองของเขา
“ไม่มีทาง ฉันนั้นรบกวนคุณด้วยการทำเช่นนี้ ทำไมฉันต้องปรากฏตัวและทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเองด้วยล่ะ”
“แก!” ดิออร์ได้กระตุ้นเวทมนตร์ของเขา
ค่ายกลเวทย์มนตร์สีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา เปลวเพลิงลุกโชนจากตัวเขา เผาทุกอย่างในระยะสิบเมตรรอบ ๆ
“ในเมื่อคุณสามารถใช้เวทมนตร์ของคุณโดยไม่ต้องปลุกค่ายกลซากปรักหักพังสี่สี นั่นหมายความว่าคุณคือหนึ่งในคนที่สามารถควบคุมมันได้”
ดวงตาของดิออร์หรี่ลง “คุณก็เป็นนักเวทย์ด้วยเหรอ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้าไม่ใช่นักเวทย์ฉันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ”
“คุณไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรา ดังนั้นฉันจะยกโทษให้คุณสำหรับการที่ไม่ให้เกียรติพวกเรา ดังนั้นออกไปจากที่นี่ซะ”
เสียงนั้นไม่ได้ตอบสนอง
เสียงเผาไหม้ของไฟเป็นเสียงเดียวที่สะท้อนรอบตัวของดิออร์
เมื่อเขาคิดว่าชายผู้ที่ดูหมิ่นเขาออกไปแล้ว ดิออร์ก็ลดมือลงและปลดเวทมนตร์ออก
“ฮึ่ม” เขายิ้มเยาะ
เขาหันกลับมา
“พอนึกขึ้นได้ ฉันขอดูหมิ่นคุณต่อไปดีกว่า อุวะ พูดได้คำเดียวว่าหยาบคายใช่ไหม”
หมอกดำปกคลุมทั่วพื้นที่
นัยน์ตาของดิออร์เบิกกว้าง “อะไรนะ?”
“คุณรู้ข้อบกพร่องของค่ายกลซากปรักหักพังสี่สีนี้หรือไม่ มันจะตอบสนองก็ต่อเมื่อตรวจพบเวทย์มนตร์ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณสามารถซ่อนเวทมนตร์ของคุณได้”
“คุณ!”
เงาคล้ายหมอกปกคลุมดิออร์และพื้นดินที่ที่เขายืนอยู่ก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำ เขาเรียกเวทมนตร์ของเขาออกมาทันที แต่
“ไอออน เมเดน!”
หนามสีดำปรากฏขึ้นจากพื้นดินและได้เจาะไปที่ร่างกายของดิออร์
“อ๊าก!” เขากรีดร้อง