ตอนที่ 7 มิตรหรือศัตรู?
ตอนที่ 7 มิตรหรือศัตรู?
ที่กองบัญชาการกองทัพ ภายในสำนักงานแห่งหนึ่งในอาคารกลาง
แจ็คลูบจมูกของตัวเองขณะที่กำลังนึกถึงรายงานของเวร่า เขาเอนร่างกายลงบนเก้าอี้ที่อยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา เขากำลังคิดที่จะอธิบายสถานะการณ์ให้ท่านจอมพลฟัง
ก่อนที่ท่านจอมพลจะจากไปในตอนเช้า เขาได้มอบหมายให้แจ็คนั้นทำการค้นหา คิริน รีจิส ต่อไป
แจ็คจำได้ว่าตอนที่เขาถามกาเอลว่าจะให้อำนาจคนทั่วไปในการช่วยเหลือการค้นหาหรือไม่ กาเอลเลยจ้องมาที่เขาและกล่าวว่าถ้าผู้มีอำนาจคนทั่วไปย้ายออกไป มันจะดูไม่สร้างสรรค์เลยหากมีข้อมูลว่าการที่พวกเราพยายามที่จะจับกุมคิรันนั้นล้มเหลว
เป็นธรรมดาที่แจ็คเข้าใจความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังคำพูดของกาเอล
ขณะที่กาเอลยืนอยู่จุดสูงสุดของกองทัพ รองจอมพลสามคนที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่าเขานั้นจะไม่ปล่อยสถานการณ์นี้ไปอย่างแน่นอน โดยเฉพาะพวกรองจอมพลที่จากสาขาตะวันออกและตะวันตกของกองทัพเพราะความทะเยอทะยานของพวกเขา รองจอมพลจากสาขาเหนือนั้นไม่มีความทะเยอทะยาน แต่เธอนั้นจะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอนเนื่องจากการคงอยู่ของคิรันนั้นเป็นการคุกคามต่อจักรวรรดิ
กาเอลไม่ต้องการให้ศัตรูของเขารู้ถึงการมีอยู่ของคิรันเช่นกัน คนเหล่านั้นจากทางใต้เป็นผู้คลั่งไคล้ปราชญ์ทมิฬ หากพวกเขารู้เกี่ยวกับคิรันนั่นมันจะหมายถึงหายนะครั้งใหญ่ต่อจักรวรรดิ
ดังนั้นกาเอลจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่ต่ำกว่ายศกัปตันทำการค้นหาเพราะเขาควบคุมคนเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากดิออร์และลูก้าแล้ว เวร่านั้นยังเป็นกัปตันเพียงคนเดียวที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการนี้
จากนั้นก็มีแจ็คที่ทำหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอันดับสองสำหรับภารกิจนี้
แจ็คถอนหายใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาดำเนินการตามล่า แต่อันนี้ซับซ้อนและอันตรายที่สุด
“เราสามารถจัดการกับมันได้ตามสถานการณ์เท่านั้น การแสดงออกอย่างระมัดระวังเกินไปนั้นมันอาจจะดึงดูดความสนใจมากขึ้น” แจ็คตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
เขาเปิดอุปกรณ์สื่อสารและส่งคำสั่งไปยังทุกทีม
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและออกไป เขายังต้องเตรียมตัว
====================
สิลาสและเกจมาถึงที่เมืองเอเรนและตรงไปที่ผับของเมือง
ยังเช้าอยู่ แต่ผับก็เริ่มที่จะคึกคักแล้ว
ทหารรับจ้างและนักเดินทางต่างก็กินและดื่มกันอยู่ที่นี่ คนอื่น ๆ นั้นสามารถที่จะระบุได้ว่าคนไหนบ้างที่เป็นทหารรับจ้างได้อย่างง่ายดายด้วยเสียงที่ดังมากและความเกียจคร้านของพวกเขา ในขณะที่นักเดินทางนั้นจะไม่ค่อยนักเลงมากนัก พวกเขาก็จะเข้าร่วมการสนทนากับทหารรับจ้างเป็นครั้งคราว
สิลาสและเกจนั่งบนที่นั่งว่างที่เหนือบาร์และสั่งเหล้ามาดื่ม
“คืนนี้คนเต็มร้านเลยไหมครับ นายท่าน?” สิลาสทักทายเจ้าของผับซึ่งเสิร์ฟเหล้าให้พวกเขา
เจ้าของบาร์ที่เป็นชายวัยกลางคนที่มีผมสั้นสีน้ำตาลและตาสีน้ำตาล เขาเป็นคนเป็นกันเองมาก เมื่อคุณคุยกับเขา คุณจะรู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อนเก่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีการให้ภารกิจดี ๆ และสถานที่สุดท้ายของเป้าหมายก็น่าจะอยู่ใกล้ ๆ ที่นี่สินะ”
สิลาสและเกจมองหน้ากันอย่างมีความหมาย
เจ้าของบาร์สังเกตเห็นการมองหน้าครั้งนี้และหัวเราะอย่างเต็มที่
“พวกนายสองคนถึงเป็นทหารรับจ้างด้วยนิ ดังนั้นพวกนายคงรู้มากกว่าฉันแน่นอน”
สิลาสยิ้มและมองมาที่เขา “บอกตามตรง เรามีแค่ข้อมูลที่กิลด์ให้มา เรามาที่นี่เพื่อที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เราภารกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่”
เจ้าของร้านยิ้ม “เอาล่ะท่านสุภาพบุรุษ การหาข้อมูลตอนนี้ค่อนข้างยาก”
“ทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้นล่ะ?” เกจถาม
ก่อนที่เจ้าของบาร์จะตอบ กลุ่มชายชุดแดงก็เข้ามา พวกเขาเป็นผู้ชายจากหน่วยควบคุมเวทมนตร์ต้องห้าม
เสียงในผับทั้งหมดค่อย ๆ ที่จะเงียบลง ขณะที่ทหารรับจ้างคนอื่นหันไปมองผู้ที่มาใหม่ทีละคน
เจ้าของบาร์มองไปที่หญิงสาวข้าง ๆ เขา และกระซิบบางอย่างกับเธอ
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ทักทายผู้ชาย ด้วยชุดแดงและโบกมือให้พวกเขาตามเธอไป
เมื่อกลุ่มชายชุดแดงขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องส่วนตัว ทหารรับจ้างและนักเดินทางก็ค่อย ๆ ดำเนินกิจกรรมต่อ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าความมีชีวิตชีวาลดลงกว่าแต่ก่อนมาก
เจ้าของบาร์จึงมองดูสิลาสและเกจแล้วยิ้มอย่างขอโทษ “อย่างที่คุณเห็น ว่ากองทัพหลวงอยู่ในเมือง พวกเราส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงเพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหา”
เกจขมวดคิ้ว “ทำไมเราต้องก้มหน้าให้บรรดาขุนนางพวกนั้นด้วย”
สิลาสขมวดคิ้วกับท่าทียั่วยุของเกจ เขาพูดอย่างเสียงดังและทหารรับจ้างบางคนก็ได้มองมาที่พวกเขา
ยังดีที่กองทัพหลวงไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจต้องรับมือกับการเผชิญหน้า ที่ไม่จำเป็น
“ฮ่าฮ่า ฉันชื่นชมความกล้าหาญของคุณจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่คนที่นี่ไม่ได้รับพรจากเวทมนตร์ เราจึงไม่มีทางที่จะต่อต้านพวกเขาได้”
“โอ้ นักเวทย์หายากในเมืองนี้หรือ?” สิลาสถาม
“ใช่แล้ว ผู้ที่ได้รับพรจากเวทมนตร์ส่วนใหญ่มักจะมาจากตระกูลเรจิส”
"เรจิส... พวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวรรดิ"
“นายรู้ข้อมูลนายแล้วนิ”
“เมืองเอเรนเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองของตระกูลเรจิสหรือไม่”
เจ้าของส่ายหัว “เปล่า พวกเขาค่อนข้างจะเก็บตัว ทุกปีพวกเขาจะเปิดประตูรับเด็กฝึกงาน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็แค่อยู่ในที่ดินของพวกเขา”
เจ้าของบาร์มองอย่างครุ่นคิด “นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ เมื่อคืนนี้ ดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายในที่ดินของพวกเขา”
ตาของสิลาสและเกจหรี่ตาลงกับข้อมูลนี้
“เรื่องวุ่นวาย?” สิลาสพูดซ้ำ
“ถูกต้อง แต่มันกินเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อคืนนี้นั้นเป็นวันเกิดนายน้อยของตระกูลเรจิส ดังนั้นอาจเป็นเพราะพวกเขาสนุกกันมากเกินไป”
สิลาสยิ้มอย่างมีความหมาย “มันอาจจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่มาก”
เจ้าของบาร์ยังยิ้ม “มันเป็นเรื่องจริง”
====================
“หืม?” คิรันได้ตื่นจากการหลับใหล
เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและเห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย เขาหันศีรษะไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจและมองดูกองไฟที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุตจากเขา
จากฝั่งตรงข้ามของกองไฟ ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่นั่งไขว่ห้างและดูเหมือนจะมองมาที่เขา
คิรันจ้องเขม็งไปที่ชายที่สวมเสื้อคลุม
แต่แล้วความทรงจำเมื่อคืนก็กลับมาหาเขาอย่างเร่งรีบ และดวงตาของเขาโตขึ้นเมื่อเขานั่งตัวตรง
การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันทำให้เขาเวียนหัว และเขาก็คดตัวตามสัญชาตญาณและคว้าหัวของเขา หัวของเขาสั่นด้วยความเจ็บปวด
“อ๊ะ” เขาสะดุ้ง
“ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะนอนพักต่อนะ” ชายในชุดคลุมที่สังเกตเขาได้กล่าว
คิรันอดทนต่อความเจ็บปวดและคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขาทันที เขายกแขนขึ้นแล้วเล็งไปที่ชายที่สวมเสื้อคลุม มองมาที่ชายที่สวมเสื้อคลุมอย่างขู่เข็ญ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคิรันชายในชุดคลุมก็ถอนหายใจ “เอาจริงเหรอ? คุณวางแผนที่จะโจมตีฉันด้วยสิ่งนั้นเหรอ?”
คิรันยังคงข่มขู่เขาอยู่ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดหลังจากเห็นสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ
เขาคว้า… หิน!
อันที่จริงมันไม่ใช่แม้แต่หิน แต่เป็นก้อนดิน และเนื่องจากว่าคิรันนั้นกระวนกระวาย เขาจึงกำมือแน่น และมันก็หัก จากนั้นจึงค่อย ๆ กลายเป็นฝุ่นผง
“….”
ทันใดนั้นชายที่สวมเสื้อคลุมก็หัวเราะออกมา
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ!"
คิรันเริ่มหน้าแดงและมองไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาอาวุธที่เหมาะสมกว่า
“ฟังนะ ถ้าฉันอยากฆ่าคุณ ฉันแค่ปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพังและคุณก็คงตายถ้าฉันทำอะไรเลย” ชายที่สวมเสื้อคลุมบอกเขา
คิรันหยุดและมองมาที่เขาอีกครั้ง
ชายในชุดคลุมก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกัน
“ดี?”
“ทำไมคุณถึงช่วยฉันในตอนนั้น” คิรันถามทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกหวาดระแวง
“ฉันอยากอยู่ที่นี่สักคืนและฉันไม่ต้องการให้มีคนตายอยู่ใกล้ฉัน”
“ทำไมไม่โยนฉันทิ้ง ปล่อยให้ฉันตายข้างนอก”
“คุณอยากให้ฉันทำอย่างนั้นเหรอ แต่ยังไม่สายเกินไปแล้วนะ” ชายที่สวมเสื้อคลุมตอบและลุกขึ้นยืน
“หยุด! อยู่ตรงนั้น” คิรันคำรามเมื่อชายในชุดคลุมเริ่มเข้าใกล้เขา แหวนสีม่วงปรากฏขึ้นบนแขนที่เหยียดออกของคิรัน
ชายที่สวมเสื้อคลุมหยุดและจ้องไปที่แหวนสีม่วงที่วงแขนของคิรัน
“ช่างเป็นค่ายกลเวทมนตร์ที่แปลกประหลาด มันไม่มีอักษรรูนใด ๆ แค่พลังงานบริสุทธิ์” เขานั้นได้คิด
“ก่อนอื่นคุณบอกว่าให้โยนคุณออกไป แล้วบอกให้ผมหยุด ตัดสินใจสักอย่างสิ ไอ้หนู” ชายที่สวมเสื้อคลุมกล่าว ตรงกันข้ามกับความโกรธ เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
คิรันขมวดคิ้ว จริง ๆ เขาไม่รู้สึกว่าเป็นอันตรายใด ๆ จากชายที่สวมเสื้อคลุม แต่ที่มาของเขานั้นคลุมเครือเกินไป ดังนั้นคิรันจึงไม่สามารถที่จะละสายตาของเขาได้
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงช่วยผม”
ชายในชุดคลุมก็เงียบไป
มีเพียงเสียงไม้ที่ลุกไหม้ เสียงกองไฟที่แผดเผา และเสียงอึกทึกของแมลงในป่าเท่านั้นที่ได้ยินรอบตัว
ชั่วขณะหนึ่ง ชายที่สวมเสื้อคลุมก็จ้องไปที่คิรัน
เขารู้ว่าภูมิหลังของเด็กไม่ใช่เรื่องธรรมดา ท้ายที่สุดเขาแทบจะตายเมื่อเห็นเขาครั้งแรก ในขณะที่ดวงตาของคิรันแสดงความเกลียดชังออกมา ชายที่สวมเสื้อคลุมก็เห็นความกลัวซ่อนอยู่ใต้ความเกรียดชังนั้น
เขาช่วยเด็กคนนี้ด้วยความตั้งใจ ไม่เป็นความจริงที่ว่าเขานึกถึงศพที่อยู่ใกล้เขา เขาเคยอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ หลายครั้งที่เขาต้องนอนโดยมีศพนอนอยู่รอบ ๆ ตัวเขาเช่นเดียวกับที่คิรันพูด เขาสามารถโยนคิรันทิ้งและปล่อยให้เขาตายข้างนอกก็ได้แต่เขานั้นไม่ได้
“ทำไมล่ะ” ชายในชุดคลุมยังสงสัยในตัวเอง เขาไม่ใช่คนเห็นอกเห็นใจคนอื่น เขานั้นไม่แม้แต่กระพริบตาเมื่อฆ่าเด็กถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของเขา
แต่เด็กคนนี้....
“ฉันนั้นต้องการเหตุผลที่จะช่วยใครซักคนหรือไม่” ชายที่สวมเสื้อคลุมตอบกลับไปหลังจากนั้นไม่กี่นาที
คิรันขมวดคิ้ว เขายังคงเงียบ
“อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่เชื่อใจฉัน นั่นเป็นทางเลือกของคุณ ฉันก็จะไม่ไว้ใจคุณเหมือนกัน เราสองคนก็เหมือนกัน ฉันช่วยคุณเพียงเพราะว่าฉันนั้นเป็นคนใจกว้าง ฉันไม่ต้องการความกตัญญูจากคุณเช่นกัน ตอนนี้ฉันจะอยู่ฝั่งนี้คุณอยู่ฝั่งนั้นแบบนั้นเราทั้งคู่จะได้มีพื้นที่ส่วนตัว แล้วไง”
คิรันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตกลงหลังจากนั้นไม่กี่วินาที “ตกลง”
“ดี”
ชายที่สวมเสื้อคลุมกลับมานั่งที่ข้างเขา เขาเอนหลังพิงกำแพง
คิรันมองเขาอยู่ในความเงียบ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามตรวจสอบสภาพร่างกายของเขา
บาดแผลทั้งหมดของเขา รวมทั้งกระดูกหักของเขา เกือบจะหายดีแล้ว ถ้าชายที่สวมเสื้อคลุมโจมตีเขา เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถป้องกันตัวเองได้
แต่ชายที่สวมเสื้อคลุมดูเหมือนจะพูดความจริงและต้องการพักผ่อน ดังนั้นคิรันจะไม่ไปยั่วยุเขา
“ใช่แล้ว ของของฉันล่ะ” คิรันมองไปรอบ ๆ เพื่อที่จะค้นหาสิ่งของของเขา
“ด้านขวาใกล้คูน้ำ” ชายสวมเสื้อคลุมพูด
คีแรนหยุดกะทันหัน หลังจากมองไปทางขวา เขาเห็นสิ่งของของเขาอยู่ใกล้คูน้ำ เขาขมวดคิ้วและมองไปที่ชายที่สวมเสื้อคลุม
“ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันไม่สนหรอกว่าเด็กอย่างนายจะแบกอะไรไปด้วย ยังไงก็เถอะ ฉันจะงีบหลับแล้ว อย่าส่งเสียงดังล่ะ”
คิรันไม่ตอบแต่เพียงมองดูชายที่สวมเสื้อคลุมก้มศีรษะลงและเงียบไป
“เขาเป็นมิตรหรือศัตรู?” คิรันสงสัย
====================
ห่างจากถ้ำไม่กี่กิโลเมตร จู่ ๆ ก็มีลูกน้องคนหนึ่งของดิออร์หยุดเดิน
ดวงตาของเขาโตขึ้นเมื่อเครื่องตรวจจับเวทมนตร์ขนาดเล็กของเขาสว่างขึ้นและตรวจพบตราประทับเวทมนตร์ของคิรันในบริเวณใกล้เคียง
เขาหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาทันที และส่งพิกัดให้ดิออร์และคนอื่น ๆ ในทีม