ตอนที่ 5 ค้นหาร่องรอยของเขา
ตอนที่ 5 ค้นหาร่องรอยของเขา
กาเอลเดินเข้าไปในทางเดินยาวที่ชั้นใต้ดินของกองบัญชาการกองทัพ
แหล่งกำเนิดของแสงนั้นมีเพียงแหล่งเดียวมาจากโคมไฟติดผนังตามทางเดิน
มีประตูที่สูงจากพื้นจรดเพดานขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายสุดของทางเดินและทหารราบสองคนที่ในชุดเกราะป้องกันเต็มตัว ถือดาบ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตู
เมื่อกาเอลเข้าใกล้ประตู ทหารทั้งสองก็ได้โค้งคำนับเขา
“ท่านจอมพล” ทั้งสองคนกล่าวทักทาย
กาเอลพยักหน้าและถามว่า “ทุกคนอยู่ข้างในหรือเปล่า”
“ครับท่าน”
“ดี เปิดประตู”
“ครับท่าน”
ทหารทั้งสองเดินไปที่ประตูแต่ละด้าน พวกเขายืนอยู่หน้าแผงกลมบนผนัง พวกเขาได้วางมือขวาไว้ตรงกลางแผง ขณะที่อีกข้างใช้มือซ้าย
วงเวทย์สีเหลืองปรากฏขึ้นจากข้อมือของพวกเขาและหมุนเวียนไปจนมาถึงอักขระ
เวทมนตร์ที่ซับซ้อนที่อยู่ขอบด้านนอกของแผงเวทมนตร์
แผงเวทมนตร์นั้นได้สว่างขึ้นและอักขระเวทมนตร์บนแผงนั้นดูเหมือนมีชีวิตและเครือบคลานแผ่กระจายไปราวกับเถาวัลย์ที่อยู่บนส่วนตรงกลางของประตู
ประตูเริ่มขยับและเปิดออกมาเผยให้เห็นด้านในอย่างช้า ๆ
ภายในประตูเป็นห้องมืดทึบขนาดใหญ่
เมื่อกาเอลเข้ามาข้างใน และทหารก็เริ่มมองไม่เห็นเงาของเขาอีกต่อไป พวกเขาจึงปล่อยมือบนแผงหน้าปัด
แสงสีทองที่ประตูค่อย ๆ ถอยกลับไปที่แผง และประตูก็ได้ปิดลงอีกครั้ง
หลังจากที่ชายสวมเสื้อคลุมออกจากสมาคมทหารรับจ้าง เขาก็ไปที่ชานเมือง
จากข้อมูลที่เขียนบนใบคำขอ ตำแหน่งสุดท้ายที่ทราบทีอยู่ของเป้าหมายคือในป่านอกที่ดินของตระกูลเรจิส มีแผนที่เล็ก ๆ อยู่ที่ด้านล่างขวาของใบคำขอ มันคือแผนที่ของเมืองแอเรน ซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์รีจิส
ชายที่สวมเสื้อคลุมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและได้ถอนลมหายใจออกมา
“ทำไมทุกครั้งที่ฉันรับภารกิจต้องเป็นป่าตลอดเลย” เขาบ่น เขามองดูใบคำขอในมือและจ้องไปที่แผนที่
นอกจากจะจำหน้าคนไม่ค่อยได้แล้ว เขายังหาทางไปรอบ ๆ ป่าไม่ได้อีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึง เขาอ่านแผนที่ไม่ได้เลย เส้น จุด จุดสังเกต และสัญลักษณ์อื่น ๆ ทั้งหมดดูเหมือนเป็นภาพวาดของเด็กสำหรับเขา
แค่คิดเกี่ยวกับมัน คุณคาดหวังที่ให้คนอื่นเข้าใจสัญลักษณ์รูปถั่วลิสงบนแผ่นกระดาษได้อย่างไรว่ามันควรจะเป็นทะเลสาบ? จากนั้นหลังจากออกห่างจากที่ทะเลสาบไปสองสามที่ มันก็มีรูป v กลับด้าน ที่ทางด้านซ้าย และมันควรที่จะเป็นภูเขา
มันก็ได้กลายเป็นอุปสรรค์ในทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่รางวัลมีมูลค่าหนึ่งล้านหินวิณญาญ
ชายที่สวมเสื้อคลุมถอนลมหายใจอีกครั้งและเดินไปตามทางของเขา
แม้ว่ากองทัพหลวงจะมอบเงินรางวัลให้แก่สมาคมทหารรับจ้างแต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดที่จะตามหาร่องรอยของคิรัน
ทั้งสามทีมเริ่มที่จะทำงานร่วมกัน ดิออร์และคนของเขากลับไปยังสถานที่ที่คิรันได้หลบหนีจากพวกเขา
ลูก้าไม่ได้ไปพร้อมกับพวกเขาเพราะเขาต้องพักฟื้น แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่แจ็คเกลี้ยกล่อมให้เขาพักผ่อนเพราะไม่งั้นเขาอาจจะไม่สามารถช่วยทีมของดิออร์เพราะด้วยสภาพร่างกายปัจจุบันของเขา
“เขาทำพวกนี้อย่างงั้นเหรอ?”
ผู้หญิงในวัยยี่สิบกลาง ๆ ที่มีผมสีน้ำตาลแดงและนัยน์ตาสีเขียวมรกตยืนอยู่ข้างตัวของดิออร์ ขณะกำลังสำรวจสถานที่ทั้งหมด เช่นเดียวกับของลูก้า เธอสวมเครื่องแบบสีเขียวและมีตราทองแดงติดอยู่บนเสื้อกั๊กของเธอ
“ใช่” ดิออร์ตอบอย่างหมดหวัง แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่เขาปล่อยให้คิรันหนีไปได้
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว “ฉันได้อ่านรายงานของคุณแล้ว ถึงแม้ว่าการคาดเดาของคุณจะถูก แต่เขาก็ใช้เวทมนตร์ของเขาเป็นครั้งแรกเพียงเพราะเขาเข้าใจทฤษฎีเป็นอย่างดี พอเห็นสิ่งนี้ก็ยากที่จะเชื่อว่าเขาเป็นมือใหม่ ไม่ เขาไม่ได้ลงทะเบียนเป็นผู้วิเศษด้วยซ้ำ มันเป็นไปไม่ได้”
“ฉันรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เวร่า ฉันไม่อยากเชื่อจริง ๆ แต่ด้วยสิ่งที่เราเห็นที่นี่มันเป็นเรื่องจริง”
“ไม่ อาจมีอย่างอื่นอีก” เวร่าครุ่นคิด
“แล้วคุณมีความคิดอะไรไหม ถ้าคุณคิดว่าเขามีสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่จะช่วยควบคุมเวทมนตร์ของเขา ฉันจะบอกคุณตอนนี้เลยว่าเขาไม่มี”
เวร่ามองดิออร์ พลางเลิกคิ้วขึ้น “ฉันอยากรู้มาก ฉันอยากเจอคนที่สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่เข้ากันได้กับเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า”
ในโลกนี้เวทมนตร์แห่งความว่างเปล่าถูกจัดอยู่ในประเภทที่หายากและอันตรายที่สุด ไม่ใช่เพราะมันมีอำนาจทุกอย่าง แต่เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์นี้ใกล้ที่จะเป็นศูนย์แล้ว
ในตอนแรก พวกเขาเชื่อว่าเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่าอาจเป็นเวทมนตร์ช่องว่างขั้นสูง ดังนั้นนักเวทย์หลายคนจึงทำการทดลอง
เวทมนตร์ช่องว่างก็ถูกห้ามเช่นกัน แต่ต่างจากเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า มันถูกจัดประเภทว่ามีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นผู้วิเศษที่มีเวทมนตร์อวกาศไม่ได้ถูกกักตัวโดยกองทัพ แต่ต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ในกองวิจัยของกองทัพบก พวกเขายังมีนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ช่องว่างและพวกเขาได้ค้นคว้าเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า แต่หลังจากเปรียบเทียบการใช้เวทมนตร์อวกาศกับบันทึกที่พวกเขารวบรวมจากการศึกษาปราชญ์ทมิฬ พวกเขาตระหนักได้ว่าช่องว่างและความว่างเปล่ามีความแตกต่างกันมาก
เมื่อใช้เวทมนตร์ช่องว่าง พวกเขาควบคุมพื้นที่โดยย่อหรือขยายระยะทางในพื้นที่เป้าหมาย ระยะทางที่สั้นลงนั้นเป็นผลมาจากการบีบอัด ในขณะที่พื้นที่ยาวขึ้นเป็นผลจากการขยายตัว หากคุณร่ายเวทย์สถานะเชื่องช้าให้กับบุคคลที่ใช้เวทมนต์ช่องว่าง คุณจะเห็นว่าพื้นที่เป้าหมายบีบอัดหรือขยายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในลักษณะการเคลื่อนไหวช้า ๆ
เวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า ในทางกลับกัน เนื่องจากไม่มีผู้วิเศษที่สามารถใช้ได้ พวกเขาจึงเปรียบเทียบกับหนึ่งในบันทึกการต่อสู้ของปราชญ์ทมิฬ เมื่อเขาเรียกความว่างเปล่าและอัญเชิญกองทัพของเขาในระยะไกล ไม่มีวี่แววของพื้นที่ถูกบีบอัด กล่าวโดยย่อ ระยะห่างระหว่างจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งถูกลบออก
นอกจากนั้น ยังมีขีดจำกัดในการใช้เวทมนตร์ช่องว่างนั่นคือระยะทาง เวทมนตร์แห่งความว่างเปล่านั้นอย่างน้อยจากการค้นคว้าของพวกเขาก็ปรากฏออกมาอย่างไร้ขอบเขตและนั่นทำให้เวทมนตร์นี้อันตรายอย่างยิ่ง
ลองนึกภาพว่าถ้ามีราชาของกองทัพขนาดใหญ่ที่มีเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า และเขาสามารถอัญเชิญกองทัพของเขาในดินแดนใดก็ได้ตามต้องการและเขาสามารถทำได้หลายครั้งเท่าที่จะทำได้ เขาจะเป็นสุดยอดราชา
และนั่นเป็นเพียงหนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวของปราชญ์ทมิฬที่หลงเหลือจากยุคที่เรียกว่ายุคแห่งความโกลาหล
วีร่าส่ายหัวและถอนหายใจ เธอรู้เกี่ยวกับปราชญ์ทมิฬจากหนังสือประวัติศาสตร์และเรื่องราวเท่านั้น ตอนนี้มีนักเวทย์ที่มีเวทมนตร์คล้ายคลึงกันถือกำเนิดขึ้นแล้วและเขาเพิ่งเริ่มใช้มัน แต่ก็สามารถที่จะใช้มันได้ถึงขนาดนี้แล้ว เวร่ากลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีขึ้น
“เขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่” เธอคิด
“นี่คือที่ที่เขาเคลื่อนย้ายตัวเองและหลบหนี” เสียงของดิออร์นำความคิดของเวร่า กลับมาสู่ปัจจุบัน
เธอมองดูเขาที่ยืนอยู่กลางปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ เธอเข้ามาใกล้เขาแล้วถามว่า “บอกฉันมาว่าคุณจำการกระทำและตำแหน่งของเขาในคืนนั้นได้”
ดิออร์ขมวดคิ้วและตอบว่า “ตอนแรกเขานั้นหันหน้าไปทางนี้…” เขาชี้ไปทางเหนือ “แต่จากนั้นเขาก็ตอบโต้การลอบโจมตีของลูก้าและหันกลับมาที่นี่” เขาชี้ไปทางทิศตะวันออก
เวร่ามองไปที่ทางขวาของเธอและสำรวจพื้นที่
ดิออร์มองเธออย่างเงียบ ๆ
ในกองทัพหลวง เวร่านั้นถือได้ว่าเป็นนักเวทย์ติดตามที่ดีที่สุด ความสามารถของเธอในการแยกแยะว่าศัตรูคิดอย่างไรในขณะที่กำลังวิ่งหนีนั้นยอดเยี่ยมมาก ถ้าเธอถูกเกณฑ์เข้ากองทัพตั้งแต่เนิ่น ๆ เธออาจจะกลายเป็นจอมเวทย์คนสำคัญ และนอกจากนั้น เวทมนตร์โดยกำเนิดของเธอก็เป็นที่เกรงขามสำหรับหลาย ๆ คน
“เมื่อคุณโจมตีเขา สีหน้าของเขาเป็นเช่นไร? เขาหงุดหงิดไหม? เขามองไปรอบ ๆ อย่างกังวลใจหรือเปล่า เวร่าถามโดยที่ไม่ได้มองดิออร์
ดิออร์ทำหน้างงเล็กน้อย เมื่อเธอถามคำถามเหล่านี้ เขาพบว่าทัศนคติของคิรันนั้นแปลกสำหรับอายุของเขา
โดยปกติ คนที่จนมุมจะแสดงความกลัวและการต่อต้าน แต่คิรันกลับทำตรงกันข้าม
ดิออร์ส่ายหัวตอบ “ไม่ เขาสงบมาก เขาแค่ยืนอยู่ที่นี่และอดทนต่อการโจมตีของฉัน”
ดวงตาของเวร่าได้หรี่ลง “เขาสามารถทนต่อการโจมตีของคุณได้หรือไม่”
ดิออร์ตอบพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึง
เวร่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและสำรวจพื้นที่ทางตะวันออก “ทำไมเขาถึงได้ไม่โต้กลับลูก้า ทำไมเขาถึงเสี่ยงที่จะโดนโจมตี?”
“หลังจากที่เขาตอบโต้ลูก้า เขาก็เริ่มร่ายเวทมนตร์ เห็นได้ชัดว่าเขาอดทนต่อการโจมตีของเราเพื่อไม่ให้เขาถูกขัดจังหวะ”
“เขาไม่ได้มองคุณสองคนตอนที่คุณกำลังโจมตีเขาหรือ ปกติแล้ว คน ๆ หนึ่งจะรู้สึกโกรธและจ้องไปที่ผู้โจมตีของเขา”
“ไม่ เขาไม่ได้ทำแบบนั้น”
“แล้วเขาดูไปที่ไหนล่ะ”
“ก็… เขาดูไม่เหมือนว่าเขากำลังมองอะไรเป็นพิเศษเลย”
“แต่เขาหันหน้าไปทางนี้”
“ใช่.”
“จากนั้น เขาอาจจะเพ่งความสนใจไปที่จุดหนึ่งในภูเขาเหล่านั้น”
“ทำไม?”
“แน่นอนที่จะเคลื่อนย้ายไปที่นั่น”
“แต่ภูเขาเหล่านั้นอยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยไมล์”
เวร่ายิ้มแหย ๆ “เขาใช้เวทย์มนตร์ที่ว่างเปล่า ไม่ใช่เวทย์ช่องว่าง”
ดิออร์ขมวดคิ้วและเงียบไป
“แต่ทางตะวันออกนั้นอยู่นอกเขตอำนาจของเมลิโอราแล้ว” ในที่สุดดิออร์ก็พูดขึ้นพร้อมกับรู้สึกปวดหัวเข้ามา
เวร่ายังถอนหายใจ เธอเข้าใจความกังวลของดิออร์
เมลิโอราเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิลฟาน มันตั้งอยู่ที่ตรงกลางและทั้งพระราชวังและกองบัญชาการกองทัพตั้งอยู่ที่นี่
ป่าใกล้กับที่ดินของตระกูลรีจิส พวกเขาอยู่ใกล้พรมแดนของเมลิโอราและเมืองทางตะวันออกที่เรียกว่าสตาร์ฮอร์น
ดิออร์ไม่ได้กังวลเลยว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาจะถูกจำกัดที่สตาร์ฮอร์น เนื่องจากมันอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลอื่น สิ่งที่เขากังวลคือสิ่งที่อยู่ในสตาร์ฮอร์น
ในอาณาจักรอิลฟาน สามกลุ่มที่สามารถแข่งขันกับกองทัพหลวงได้ และหนึ่งในนั้นอยู่ในสตาร์ฮอร์น
และมันคือการประชุมของตะวันออก