ตอนที่ 2 เวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า
ตอนที่ 2 เวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า
ดิออร์และคนของเขารีบไปที่หลุมดำที่ปรากฏขึ้น
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ที่นั้นมากขึ้น พวกเขาสังเกตเห็นว่าหลุมดำที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขานั้นมีขนาดลดลงหลังจากนั้นสิ่งที่เห็นมันทำให้ศรีษะของเขาเริ่มมึนงง
หลุมดำนั้นได้เจาะพื้นที่นี้ทั้งหมด
รอยแยกที่หลงเหลืออยู่ในอากาศทำให้เกิดเสียงแตกหัก
มันเป็นความจริงที่พวกเขามีความคิดเกี่ยวกับประเภทของเวทมนตร์ที่ชายหนุ่มมีอยู่แล้วจากตราประทับเวทมนตร์ที่เครื่องตรวจจับพบแต่เมื่อได้เห็น พวกเขาก็ได้ตกอยู่ในความงุนงงถึงแม้ว่าสติปัญญาของพวกเขาจะชาญฉลาด แต่อย่างไรเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังคงเป็นมือใหม่ ไม่ ไม่ใช่มือใหม่เพราะเขาเพิ่งรู้ได้เกี่ยวกับเวทมนตร์ของเขาในวันนี้
แต่ถึงกระนั้นเขาก็สามารถใช้มันได้ในระดับนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาสามารถควบคุมมันได้สมบูรณ์?
ดวงตาของดิออร์เป็นประกาย
พวกเขาต้องฆ่าเด็กคนนั้นการจับกุมการเขาไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับเขาอีกต่อไปเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ของเขา
เมื่อความว่างเปล่ากระจัดกระจาย ก็ได้พบชายหนุ่มที่อยู่ศูนย์กลางของช่องว่างนี้ เขาหายใจหอบหนัก และรูปลักษณ์ทั้งหมดของเขานั้นดูน่าสมเพช เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขา และเห็นรอยฟกช้ำจากบริเวณผิวหนังของเขาถูกเปิดเผย
“ไอ้เด็กบ้า!”
เงาสีเขียวปรากฏได้ขึ้นข้างหลังเขา เผยให้เห็นลูก้าที่สามารถหลีกเลี่ยงความว่างเปล่าได้
ลูก้าได้ฟันชายหนุ่มด้วยมีดเล็ก ๆ ในมือขวาเล็งที่จะตัดคอของเขา
แต่ชายหนุ่มก็สามารถตอบสนองได้แม้จะอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมจนทำให้ลูก้าได้ประหลาดใจ
ชายหนุ่มใช้แขนของเขาขวางมีดของลูก้า
ลูก้าได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันขณะที่มีดของเขาได้ฟันไปที่ปลายแขนของชายหนุ่ม
“ชุดเกราะ?” ก่อนที่ลูก้าจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ ชายหนุ่มก็หันกลับมาพร้อมกัน ขาขวาของเขาพุ่งตรงเข้าไปที่สะโพกของลูก้า
ลูก้าขมวดคิ้ว เขาลดแขนขวาเพื่อป้องกันการเตะของชายหนุ่มแต่ก็รู้สึกประหลาดใจที่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน เขาพุ่งไปด้านข้างของเขาสองถึงสามเมตรหลังจากที่ล้มเหลวในการป้องกันครั้งนี้
ดวงตาสีม่วงแดงของชายหนุ่มเป็นประกาย เขาไม่ได้ติดตามการโจมตีลูก้าเพราะสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขานั้นไม่สามารถทำได้
สิ่งที่เขาต้องทำคือหนีทันที เมื่อมองไปข้างหน้า เขาจ้องมองอย่างมุ่งมั่นที่จุดที่ห่างจากตำแหน่งของเขาไม่กี่ไมล์
เขาเรียกแหวนสีม่วงออกมาอีกครั้ง แต่ถ้ามันปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขาก่อนหน้านี้ คราวนี้ก็ปรากฏอยู่ใต้เท้าของเขา มันขยายออกไปในขณะที่เขากระตุ้นเวทมนตร์ของเขาอีกครั้ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ลูก้าก็กัดฟันและกางแขนออกเวทมนตร์สีเขียวสองอันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาในขณะที่เขาหยุดอยู่ที่กลางอากาศ เมื่อลูก้าหยุดลงเขาก็เรียกชุดเวทมนตร์สีเขียวอีกสองชุดออกมา แล้วมันก็วนรอบขาของเขา เขาเร่งความเร็วและรีบกลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง
ดิออร์ก็ได้มาสนับสนุนเขาด้วย คนของเขาอยู่ข้างหลังเขาไม่กี่เมตร
เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังจะใช้เวทมนตร์ ดิออร์ก็ได้เริ่มกางแขนออกทันที ค่ายกลเวทมนตร์สีแดงปรากฏบนข้อมือทั้งสองของเขาและเปลวไฟที่สูงสองฟุตปรากฏขึ้นที่เหนือฝ่ามือของเขา
“หยุด!” ดิออร์ตะโกนใส่ชายหนุ่ม
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่ได้หยุดเพียงเพราะมีคนบอกให้เขาทำ มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะทำอย่างนั้นในสถานการณ์แบบนี้ เขาแค่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาจะทำ
ลูก้ายังคงกระตุ้นเวทมนตร์ของเขาในขณะที่เขากำลังยกแขนขวาขึ้นและเล็งไปที่ชายหนุ่ม เวทมนตร์ค่ายกลสีเขียวปรากฏขึ้นรอบ ๆ ชายหนุ่มที่บริเวณเอวของเขา
ดิออร์ก็ได้วิ่งไปที่ชายหนุ่มและเล็งเปลวไฟไปที่เขา
ชายหนุ่มกัดฟันและไม่ยอมที่จะหยุดร่ายเวทย์ แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะโจมตีเขาก็ตาม เขาเลือกที่จะอดทนต่อกองกำลังควบคุมของลูก้า และเปลวไฟของดิออร์ที่พุ่งเข้าใส่เขา
ดิออร์เรียกเปลวไฟบนมือทั้งสองข้างของเขาและได้ระดมยิงใส่ชายหนุ่ม
ลูก้ายังเพิ่มค่ายกลเวทมนตร์ควบคุมเพิ่มที่ด้านบนของค่ายกลแรกของเขา
ชายหนุ่มได้กระอักเลือดออกมาเต็มปาก แต่ก็ยังไม่หยุด ในไม่ช้าวงแหวนสีม่วงก็เชื่อมต่อกันและก่อตัวเป็นจานขนาดใหญ่อยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
รอยแยกสีเข้มลามไปจากตรงกลางของแผ่นจานนั้น และชายหนุ่มก็เริ่มลงไปในรอยแยก
“อะไร!” ดิออร์และลูก้าต่างก็อุทานออกมา
พวกเขาเพิ่มความเร็วและเสริมพลังเวทมนตร์
ค่ายกลเวทมนตร์สีเขียวเข้มขนาดใหญ่ล้อมรอบชายหนุ่ม การเคลื่อนไหวนี้เป็นหนึ่งในแนวป้องกันที่ทรงพลังที่สุดในการกำจัดของลูก้า มันสามารถที่จะยับยั้งเป้าหมายในจุดนั้นและลดการป้องกันของเป้าหมายและผลกระทบจากของเวทมนตร์ของเป้าหมาย
แม้ว่าค่ายกลเวทมนตร์นี้อาจมีประโยชน์หากเขาใช้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่มันก็ใช้พลังงานมากและอาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเขา
แต่นั่นก็ไม่สำคัญในตอนนี้ ลูก้าก็เหมือนกับดิออร์ ที่เข้าใจความรุนแรงของผลที่ตามมาหากเด็กคนนี้สามารถหนีไปได้ นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ลังเลใจและเต็มใจที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อจับกุมเขา
ต่างจากดิออร์ที่เวทมนตร์แห่งไฟสามารถสร้างความเสียหายได้ เวทมนตร์ของลูก้านั้นทำให้เกิดสถานะแก่เป้าหมายได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ค่ายกลเวทมนตร์เพื่อเพิ่มพลังโจมตีของดิออร์
เมื่อเห็นค่ายกลเวทย์นี้ดิออร์ก็ได้เข้าใจถึงเจตนาของลูก้าและได้หลอมรวมเปลวไฟทั้งสองไว้ในมือของเขาทันที เปลวไฟก็ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“ตาย!” ดิออร์ตะโกนและยิงเปลวไฟไปที่ชายหนุ่ม
อย่างไรก็ตาม ขอบจานสีม่วงขยับและปิดล้อมชายหนุ่มไว้ เมื่อมันสัมผัสกับค่ายกลเวทมนตร์ที่ลูก้าร่าย ค่ายกลเวทมนตร์ก็ได้แตกและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที
ลูก้าคุกเข่าลงกับพื้นและกระอักเลือดหลังจากรู้สึกว่าการฟื้นตัวของชุดเกราะของเขาถูกทำลาย
ดวงตาของดิออร์แทบจะแตกออกเมื่อมองดูจานสีม่วง ซึ่งตอนนี้อยู่ในรูปของครึ่งทรงกลมที่ปกป้องชายหนุ่ม และมันได้กลืนเปลวเพลิงของเขาเข้าไป
จากภายในการคุ้มครองของทรงกลมสีม่วง ชายหนุ่มจดจำใบหน้าของดิออร์และลูก้า เขาเข้าใจว่าเขาไม่สามารถต่อสู้กับสองคนนี้ได้ในตอนนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามรถทำไม่ได้ในอนาคต
และในที่สุดเขาก็จะต้องทำมัน
“สองคนนี้… จะเป็นคนแรกในรายการการแก้แค้นของฉัน” เขาสาบานขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มจมลงไปในรอยแยกอย่างเต็มที่
ด้านนอกทรงกลมสีม่วงเริ่มหดตัวช้า ๆ และในไม่กี่วินาที มันก็หายไป เหลือเพียงรอยแยกเล็ก ๆ ในอากาศ
ดิออร์กำหมัดแน่นและกรีดร้องด้วยความหงุดหงิด
“คิรัน รีจิส” ดิออร์พูดชื่อชายหนุ่มราวกับถูกสาป “ฉันจะตามหาแกเจออย่างแน่นอน และเมื่อพบ ฉันจะเผาแกให้ตายอย่าทรมาน!”
รอยแยกเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในอากาศ ทำให้เกิดพื้นที่บิดเบี้ยว
จุดนี้อยู่ห่างจากป่าอย่างน้อยหนึ่งพันไมล์ซึ่งอยู่ใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลรีจิส
รอยแยกขยายจนมีขนาดที่ผู้ใหญ่สามารถเข้าไปได้และชายหนุ่มที่ชื่อ คิรัน รีจิสก็ปรากฏตัวขึ้น
ขณะที่เขาก้าวออกจากรอยแยก แสงจากดวงจันทร์ก็ได้เผยให้เห็นผมและดวงตาสีดำสนิทของเขาที่เปลี่ยนกลับเป็นสีเทาเข้มตามปกติ ตอนนี้เขาดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลากว่าปกติ เขาอาจจะถือว่าหล่อมากเลยด้วยซ้ำ
คิรันได้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวก่อนจะคุกเข่าลงและเขาก็ล้มลง
เขานั้นเหนื่อยเกินไป ร่างกายของเขานั้นได้ปวดร้าวไปทั้งตัว เขารู้ตัวด้วยว่าแขนซ้ายของเขาไม่ใช่แขนเดียวที่หัก นอกจากนั้นเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลและไฟไหม้ทั่วร่างกายแม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ยังไหม้เกรียมไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อรอยแยกนั้นได้หายไปอย่างสมบูรณ์ คิรันก็พยุงตัวเองขึ้นโดยใช้แขนของเขา แม้ว่าเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่หลับตาลง แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำอยู่ที่นี่ได้
เขาอาจจะอยู่ห่างจากพวกนั้นหลายไมล์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาปลอดภัยแล้ว
ในขณะที่เขานั้นคุกเข่าลง มีบางอย่างตกลงมาจากคอของเขา
แหวนหยกสองชิ้นห้อยลงมาจากสร้อยคอของเขา
แหวนเหล่านี้เป็นของที่ระลึกของพ่อแม่ของเขาและท่านได้มอบให้เขาเป็นของขวัญในวันเกิดครบรอบ 18 ปีของเขา
แค่เพียงนึกถึงพวกเขามันก็ได้ทำให้น้ำตาของคิรันไหลออกมา
คิรันกำหมัดแน่นและจิตใจของเขาก็ล่องลอยกลับไปในช่วงเหตุการณ์ก่อนที่หน่วยควบคุมเวทมนตร์ต้องห้ามจะมาถึง
ในฐานะลูกชายของผู้นำตระกูลคนต่อไป ทั้งตระกูลรีจิสได้ฉลองวันเกิดของเขา ทุกคนสนุกสนานและเพลิดเพลินกับอาหารจนได้มีการมาถึงหน่วยควบคุมเวทมนตร์ต้องห้าม
มันตกต่ำจากที่นั่น
ในตอนแร คิรันคิดว่ามันเป็นหนึ่งในการตรวจสอบตามปกติของกองทัพบก แต่ทันทีที่พวกเขาประกาศว่าพวกเขามาจากทีมไหนทัศนคติของคนในตระกูลรีจิสที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนก็เปลี่ยนไป
ไม่นานหลังจากนั้นกองทัพก็เคลื่อนตัวและในขณะเดียวกันจอมเวทก็ได้สกัดกั้นพวกเขาไว้
พ่อของเขาเปิดใช้งานแนวป้องกันของตระกูลในขณะที่แม่ของเขาลากเขาไปที่เส้นทางหลบหนีที่ซ่อนอยู่
ราวกับว่าทั้งตระกูลรีจิสคาดหวังกับสิ่งนี้และเตรียมพร้อมสำหรับมันไว้ก่อนแล้ว
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทำไม
แม่ของเขาอธิบายให้เขาฟังขณะที่เธอกำลังพาเขาหลบหนีไป
เขามักจะคิดว่าเขาล้มเหลวพ่อและตระกูลของเขาเมื่อเขาไม่ได้แสดงเวทมนตร์ใด ๆ เขารู้สึกว่าครอบครัวของเขาและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลใจดีเกินกว่าจะเอ่ยถึงและยังสนับสนุนให้เขาใช้ชีวิตอย่างปกติที่สุดการที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ไม่ได้หมายความว่ามีความสำคัญน้อยกว่าคนที่ทำได้
เขานั้นได้รู้สึกขอบคุณพวกเขาเสมอเขาภูมิใจที่ได้เป็นตนในตระกูลรีจิส
แต่เมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของแม่ เขาก็รู้สึกสับสน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเวทมนตร์ แต่เวทมนตร์ของเขานั้นเป็นของต้องห้าม และใครก็ตามที่ถูกจับได้ว่าใช้หรือฝึกฝนมันจะถูกกองทัพจับได้ อย่างดีที่สุด กองทัพจะจับนักเวทย์ทั้งหมดที่ถูกจับเข้าคุกของจักรวรรดิ แต่ที่แย่กว่านั้น พวกเขาจะต้องถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะเพื่อเป็นข้อพิสูจน์สำหรับทุกคนที่พยายามใช้เวทมนตร์ต้องห้าม
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อคิรันแสดงสัญญาณของการครอบครองเวทมนตร์ต้องห้ามทั้งตระกูลจึงตัดสินใจผนึกเวทมนตร์ของเขาและสาบานว่าจะปกป้องเขาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
คิรันแย้งว่าเขาอาจมีเวทมนตร์ต้องห้าม แต่ชีวิตของเขาไม่คุ้มกับทั้งตระกูลรีจิส
แม่ของเขามองมาที่เขาและทำเพียงแค่ยิ้มให้เขา
เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอพาเขากลับไปและเขาก็จะสู้เช่นกันแต่เธอนั้นแย้งว่าถ้าพวกเขากลับมาและกองทัพจับเขาไป ทุกคนคงตายไปพร้อมกับเขา
“มีเพียงแค่การที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสามารถช่วยชีวิตตระกูลได้”
เมื่อคิรันได้ยินคำพูดของแม่ เขาก็ไม่อยากเชื่อ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของแม่ของเขาแล้ว
เวทมนตร์ของคิรันนั้นแตกต่างออกไปจนถึงวันนี้มีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่มีเวทมนตร์ประเภทนี้
และบุคคลนั้นคือปราชญ์ทมิฬที่น่ารังเกรียจหรือที่เรียกว่าเจ้าแห่งความว่างเปล่า
แม้ว่าเวทมนตร์บางอย่างจะเลียนแบบเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่า แต่ก็ไม่มีใครสามารถเลียนแบบตราประทับเวทมนต์ของปราชญ์ทมิฬได้และคิรันก็ครอบครองสิ่งเดียวกัน
นั่นเป็นสาเหตุที่หน่วยควบคุมเวทมนตร์ต้องห้ามทั้งหมดคลุ้มคลั่ง ใช่ พวกเขาสามารถใช้ตระกูลรีจิสเพื่อบังคับให้คิรันยอมจำนนก็ได้ แต่พวกเขากลัวว่าคิรันจะทำอะไรเพื่อตอบโต้
เวทมนตร์ที่ว่างเปล่าของเขากลายเป็นเส้นชีวิตของตระกูล
กัปตันหน่วยควบคุมเวทมนตร์ต้องห้ามได้เห็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่ถึงขั้นสุดของสิ่งที่เขาสามารถทำได้จริง ๆ
อย่างน้อย นั่นคือความรู้สึกของคิลันเมื่อเขาใช้เวทมนตร์ของเขา
จริง ๆ เขาไม่รู้ว่าจะกระตุ้นเวทมนตร์ของเขาอย่างไรให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ความรู้ของเขาเกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งความว่างเปล่านั้น จำกัด เฉพาะสิ่งที่เป็นที่รู้จักในที่สาธารณะเกี่ยวกับปราชญ์ทมิฬนอกจากนั้นเขาไม่เคยเรียนรู้การใช้พื้นฐานหรือการควบคุมเวทมนตร์เลยแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างนั้นทำให้เขาสามารถรู้สึกถึงความว่างเปล่าได้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าเวทมนตร์ของเขามีความเฉลียวฉลาดมีการประสานงานอย่างละเอียด และแม้กระทั่งนำทางเขา
คิรันส่ายหัวและเคลียร์ความคิดของเขา เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะรำลึกความหลังและอยู่เฉย ๆ อย่างแรกคิรันต้องหาที่หลบซ่อนที่ปลอดภัย
สิ่งที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือการพักฟื้น