STBI : ตอนที่ 2 ร่างกายผิดปกติ
ไป๋ตงหล่น ได้ก้าวออกจากรถม้า หลังจากที่คนรับใช้หน้าประตูเห็นเขา พวกเขาก็เปิดประตูต้อนรับอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยสิบสาม ในที่สุดท่านก็มา นายหญิงกำลังรอท่านอยู่ที่กรงเลี้ยงนก”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาไม่จำเป็นจะต้องให้ใครนำทาง เพราะเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางในความทรงจำเป็นอย่างดี
เขาได้เดินไปที่ห้องประดับด้านข้างอย่างรวดเร็ว ห้องประดับนี้ไม่ใหญ่มาก และ ตัวเรือนก็ประดับไปด้วยสิ่งของหายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หญ้าแปลกตา เนินเขาเทียม และ ต้นไม้เขียวขจี ที่แต่งเหมือนสวน
ห้องประดับนี้แตกต่างไปจากสวนทั่วไปตรงผนังด้านนอก เพราะ ทั่วทุกทิศทางกลับปกคลุมไปด้วยตาข่ายโลหะ
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตของโลกนี้ ตาข่ายเหล็กเหล่านี้จึงค่อนข้างมีราคาแพงเป็นอย่างมาก
จากนี้จะสามารถแสดงให้เห็นว่า นายหญิงคนนี้ เอาใจบุตรชายคนรอง มากแค่ไหน แม้ว่า บุตรชายคนรองจะไม่ค่อยได้กลับมาในช่วง 2-3 ปี แต่ กรงนก เหล่านี้ก็ได้รับการดูแลอย่างดี
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย มาชิมขนมฉิงโจว นี้หน่อยเถอะ”
หญิงสาวที่อยู่ในเรือนด้านข้าง หลังจากมองเห็น ไป๋ตงหลิน ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย และ รีบลุกขึ้นยืนเดินไปหา ไป๋ตงหลิน พร้อมกับ บีบใบหน้าของเขา
“ท่านป้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
ไป๋ตงหลิน ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความขมขื่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลังจากปลุกความทรงจำ เขาก็จำได้ว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้า และ ไม่คุ้นเคยกับความสนิทสนมเช่นนี้
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ใช่ว่าข้าให้เจ้าเรียกว่าท่านแม่หรอกเหรอ?”
“ขอรับ ท่านแม่!”
ไป๋ตงหลิน ได้กล่าวตอบ
“เจ้าตัวน้อย ตั้งแต่ที่พี่รองของเจ้าเข้านิกายไป และ พี่สาวคนโตของเจ้าก็แต่งออกไป ตำหนักจื่อหยุน ของข้าก็กลายเป็นสถานที่รกร้างมากยิ่งขึ้น โชคดีที่เจ้ามักจะแวะมาเยี่ยมเยือนข้าเป็นประจำทำให้ข้ารู้สึกเปลี่ยวเหงามากเกินไป”
นายหญิงใหญ่ ของตระกูลไป๋ มีบุตรชายและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวคนโตได้แต่งงานกับราชวงศ์และออกไปจากตำหนักเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ส่วนบุตรชายคนรอง ก็ได้เข้าร่วมนิกายตั้งแต่อายุ 6 ปี
ทางราชวงศ์มีกฏเกณฑ์ที่เข้มงวด หลังจากกลายเป็นชายา มันก็เป็นเรื่องยากที่นางจะกลับมาเยี่ยมเยือนที่บ้านได้ ดังนั้น นางจึงสามารถกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่ได้ ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น
ส่วนบุตรชายคนรองก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนภายในนิกาย และ กลับบ้านครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว กรงนกขนาดใหญ่นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นในเวลานั้นด้วย
ดังนั้น จึงมี เพียง ไป๋ตงหลิน เท่านั้นที่อยู่กับนางมากที่สุด และ ไป๋ตงหลิน ก็เป็นคนที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก อาจกล่าวได้ว่า อีกฝ่ายคล้ายกับลูกในใส้ของนางเอง
หลังจากกินขนม ดื่มชา และ จัดการธุระเสร็จ ไป๋ตงหลิน ก็ลุกขึ้น
“ท่านแม่ ข้าขอไปดูแลเจ้าตัวเล็กพวกนั้นสักครู่ เมื่อครู่ ข้าเห็นพวกมันร้อง คล้ายกับว่าพวกมันกำลังหิว”
“เรื่องพวกนี้ สามารถมอบให้พวกบ่าวรับใช้ทำก็ได้ เจ้าไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำด้วยตัวเองเลย”
“เอ่อ นี่ไม่ค่อยจะดีนัก นกเหล่านี้ เป็นของรักของหวงของพี่รอง และ พวกมันจดจำกลิ่นของคนที่เลี้ยงดูมันได้ ดังนั้น คนส่วนใหญ่ ที่ไม่สนิทกับพวกมัน จึงไม่สามารถให้อาหารพวกมันได้”
เกี่ยวกับนกเหล่านี้ เขาไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นดูแลแทนได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา
หลังจากบอกกล่าวกับท่านป้า ไป๋ตงหลิน ก็เรียกคนรับใช้ 2-3 คนให้ไปเตรียม อาหารนกหลายชนิดมาให้
มีนกไม่น้อยกว่า 100 ชนิด ในกรงนก และ จะต้องใช้เวลากว่าเกือบ 2 ก้านธูป (30นาที) ในการดูแลพวกมันทีละตัว
ที่เส้นชั้นในสุด มีกรงนกแยกอยู่ต่างหาก เพราะในบรรดานกเหล่านี้ มีพวกนกสายพันธุ์นักล่าอยู่ด้วย
“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก ในนกพวกนั้น มี อินทรีหิมะ ที่มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก ยกเว้นพี่รองและข้า ที่เติบโตมากับพวกมันตั้งแต่เด็ก ใครที่เข้าใกล้มันจะถูกโจมตี”
“ขอรับนายน้อยสิบสาม!”
คนรับใช้ตัวเล็ก ๆ ได้เหลือบมองไปที่กรงนกอย่างระวังและพยักหน้าด้วยความเคารพ
หลังจากพูดจบ ไป๋ตงหลิน ก็เปิดประตูเหล็ก และ เดินเข้าไปข้างใน
“เสี่ยวไป๋,เสี่ยวเฮย,เสี่ยวฮุ่ย ออกมากินข้าวเร็ว!”
“น่าแปลก ปกติทันทีที่ฉันปรากฏตัว ทั้งสามตัวนี้ มักจะรีบวิ่งเข้ามาเหมือนสุนัขฮัสกี้ แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่มีการตอบสนอง?”
ในวันธรรมดา เขาจะมาที่กรงนกทุกสองหรือสามวัน แม้ว่าจะไม่มีเวลาให้อาหารนกตัวอื่น แต่ เกี่ยวกับ อินทรีหิมะ เขาจำเป็นจะต้องมาให้อาหารพวกมันด้วยตัวเอง
ไป๋ตงหลิน ได้วางเนื้อดิบลงบนพื้นและมองไปรอบ ๆ เพื่อค้นหามัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันซ่อนตัวและวางไข่?
“เสี่ยวฮุ่ย เจ้าเป็นตัวผู้ไม่ใช่เหรอ เจ้าอยู่ไหนกันรีบออกมาเร็ว!”
ในขณะนี้ เงาร่างสีเทาก็พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ไป๋ตงหลิน ได้ยกมือขึ้นเพื่อสกัดกั้นมันโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด
“เสี่ยวฮุ่ย ที่ข้าเอง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วงั้นเหรอ?”
ไป๋ตงหลิน ได้กลิ้งลงไปกับพื้น และ หลีกเลี่ยงการโจมตีครั้งที่สองของอินทรียักษ์ โลหิตได้ไหลผ่านมือและแขนทั้งสองข้างของเขากระทั่งมองเห็นกระดูก
“เจ้าบ้านี่ ข้าให้อาหารเจ้ามาตั้งหลายปี แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าแบบนี้งั้นหรือไม่?”
ไป๋ตงหลิน ตะโกนด้วยความเจ็บปวด
หลังจากที่ เสี่ยวฮุ่ย หยุดการโจมตี และ บินอยู่บนโขดหินในระยะไกล อินทรีหิมะสองตัว ก็บินออกมาและมองไปที่ ไป๋ตงหลิน
ราวกับว่าทั้งคู่ต้องการจะยืนยันอะไรบางอย่างแต่ก็ยังไม่แน่ใจ
“อินทรีหิมะจะไม่โจมตีโดยไม่มีเหตุผล มันไม่เคยเกิดขึ้นในความทรงจำของฉัน มันน่าจะเป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง”
“หรือว่า เพราะฉันปลุกความทรงจำก่อนหน้านี้ ทำให้ กลิ่นอายรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป?”
“เมื่อฉันได้ติดต่อกับผู้คนมากมายในวันนี้ ก็ไม่มีใครสังเกตุเห็นความผิดปกติของฉัน แต่ สัญชาตญาณของสัตว์มักจะเฉียบคมเสมอ โดยเฉพาะ สัตว์ประเภทนี้ ที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงรอบตัวได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน”
ไป๋ตงหลิน หมกมุ่นอยู่กับนิยายในชีวิตก่อนหน้านี้มานานกว่า 10 ปี กลอุบายหลายอย่างเป็นเขาที่เคยอ่านและได้เรียนรู้มันมาก่อน
ดังนั้น เขาจึงเดาได้ในทันที
“เอ๊ะ เหตุใดมือฉันไม่เจ็บแล้ว?”
ไป๋ตงหลิน กลับมาได้สติ และ มองไปที่บาดแผลของเขา
หลังจากปาดโลหิตที่แขน เขาก็มองเห็นผิวที่นุ่มเนียนไม่บุบสลายของเขา คล้ายกับว่ามันไม่เคยมีบาดแผลเกิดขึ้นมาก่อน
ภาพหลอนงั้นหรือไม่?
ไม่สิ ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ สมจริงมาก และ โลหิตบนมือของเขาก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจริง
ย้อนเวลา? นี่คือการย้อนเวลางั้นหรือไม่?
ไม่สิ
“ถ้าจำไม่ผิด นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับพลังในการฟื้นฟู มันเหมือนกับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหมือนกับวูล์ฟเวอรีนและเดดพูล!”
ไป๋ตงหลิน ได้ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการมีพลังวิเศษ
เขาค่อนข้างมั่นใจว่าพลังพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ได้ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะตื่นขึ้น แม้ว่าเขาจะเป็น นายน้อย แต่เขาก็ได้รับการปรนนิบัติดูแล และ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เด็ก
“กล่าวอีกนัยนึงคือ ความสามารถนี้มาจากจิตวิญญาณของฉัน และ มันไม่สามารถใช้การได้จนกว่าร่างกายและจิตวิญญาณจะหลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่ง”
“นี่คือจุดเริ่มต้นของความพิเศษของฉันในชีวิตนี้งั้นหรือไม่?”
ไป๋ตงหลิน ลูบมือด้วยความตื่นเต้น ด้วยความสามารถช่วยชีวิตนี้ ความรู้สึกของวิกฤติในใจของเขาได้ลดลงในทันที
“จะมัวเหลิงไปกับพลังไม่ได้ ฉันจำเป็นจะต้องหาทางพัฒนาตัวเอง!”
ไป๋ตงหลิน ได้ขจัดความคิดจำนวนมากออกไป เขาจะต้องทำให้แน่ใจว่าคนอื่นจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขา รวมถึง ความลับนี้ ว่าจะไม่รั่วไหลไปยังบุคคลที่สอง
เขาเข้าใจความจริงของโลก หากไม่ต้องการกลายเป็นหนูตะเภา ก็อย่าได้ริอาจเปิดเผยความสามารถโดยไม่จำเป็น
เขาได้ทำความสะอาดคราบโลหิตในสระน้ำข้าง ๆ และ จัดเสื้อผ้า ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างแผ่วเบา
ในเวลานี้ เขาต้องการกลับไปที่ลานเล็ก ๆ ของเขาเพื่อศึกษาพลังพิเศษของเขา เลยไม่ได้สนใจอยู่ดูแล อินทรีหิมะ ทั้งสาม ต่อ
หลังจากวางอาหารให้พวกมันเสร็จ เขาก็จากไป
เขาเดินออกจากกรงนกอย่างรวดเร็ว และ เหลือบมองไปที่ เด็กน้อยที่รออยู่ข้างนอกแบบสบาย ๆ
“รบกวนบอกท่านป้าให้ด้วย ว่าข้าจะกลับแล้ว!”
“ขอรับ นายน้อยสิบสาม”
หลังจากครุ่นคิด เขาก็ไม่ได้คิดจะไปหาป้าของเขา เพราะ เนื่องจากเสื้อผ้าของเขาฉีกขาด นายหญิงของตระกูลไป๋ นี้ไม่ธรรมดา นางอาจจะพบเห็นความผิดปกติของเขาได้
เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่จำเป็น มันควรจะดีกว่าหากไปโดยไม่บอกลาด้วยตัวเอง
เพราะยังไงซะ อีก 2-3 วันพวกเขาก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของฉัน
การจะมีอนาคตที่สดใส หรือ เดินบนเส้นทางที่ราบรื่นในชีวิตนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของเขายังมีความรู้สึกคลุมเครือแบบพิเศษ ว่า พลังนี้ไม่ใช่แค่การเร่งการฟื้นฟูเท่านั้น
เขาได้ก้าวออกจากตำหนักจื่อหยุน และ ขึ้นไปบนรถม้าในทันที
“กลับไปที่ตำหนัก ฉิงโหยว!”
“ขอรับ นายน้อยสิบสาม เชิญท่านนั่งให้สบาย!”