ตอนที่ 343+344 ไม่มีทาง
“ก็จริงที่ลูกชายของคุณอายุมากกว่า แต่เขาจะสู้กับกองทัพเล็ก ๆ ของเราได้ยังไงกันคะ” เจียงเหยาพูดทั้งน้ำตา ดวงตาของเธอแดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำตาราวกับตาของกระต่าย แต่เธอยังพยายามทำหน้าอวดดีที่ทำให้ตัวเองทั้งดูน่าทึ่งและน่ารักได้
“ใช่ ใช่ ลูก ๆ ของพวกเขาจะรังแกลูกของผู้พันหลินได้แน่” ลู่ชิงสีกล่าวเสริมในขณะที่ลูบศีรษะของเจียงเหยา
“เฮ้ เฮ้ ลูกของฉันไม่ใช่ภัยคุกคามเสียหน่อย” พันเอกหลินพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
“ไม่ใช่จริงเหรอครับ” ลู่ชิงสีขมวดคิ้วอย่างสงสัย การแสดงออกที่สับสนอย่างเสแสร้งของเขาช่างดูเหมือนจริง “เมื่อสองสามวันก่อน คุณยังบ่นเรื่องลูกของคุณกับผมอยู่เลย”
พวกเขาล้อเล่นกันประมาณสองนาทีกระทั่งได้ยินเสียงนกหวีดแหลมดังก้องทั่วลานจานเฮลิคอปเตอร์ เพื่อส่งสัญญาณให้รวมพล นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่พวกเขาต้องจากกันแล้ว
เจียงเหยาและโจวเหวยฉีเฝ้าดูจากระยะไกล ขณะที่ลู่ชิงสีและพันเอกหลินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ค่อย ๆ ทยานขึ้นเหนื่อศีรษะของพวกเขา บินไปไกลเรื่อย ๆ กระทั่งหายลับไปจากสายตา
“เจียงเหยา ไปกันเถอะ พวกเขาไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนี้คงข้ามชายแดนไปแล้วล่ะ”
โจวเหวยฉีขว้างก้นบุหรี่ลงพื้นและบดขยี้มันด้วยเท้า
เจียงเหยาสูดลมหายใจด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าเธอได้มองดูท้องฟ้าเพียงไม่กี่นาทีเอง แต่ความจริงก็คือ เวลามันผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง
“เร็วจัง?” เจียงเหยาไม่รู้แน่ชัดว่าเธอหมายถึงเวลาหรือความเร็วของเฮลิคอปเตอร์
“เจียงเหยา ตอนนี้ก็มาเป็นรูมเมทกันเถอะ มาอยู่ที่บ้านของชิงสีที่เขาให้ฉัน โอเคไหม? บ้านที่โกลเด้นฮาร์เบอร์ มีห้องว่างหลายห้อง ถ้าคุณเบื่อ ฉันจะขอให้หยางนี่มาอยู่เป็นเพื่อน คุณคิดว่าไง” โจวเหวยฉีถามขณะที่เขาเปิดประตูรถให้เจียงเหยา
“เที่ยงแล้ว อยากกินอะไร? จะทานระหว่างทางที่กลับบ้านหรือกลับบ้านก่อนแล้วค่อยโทรสั่งเข้ามาทาน”
เจียงเหยาได้สติคืนมาเมื่อได้ยินเสียงโจวเหวยฉี เธอขึ้นขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับตอบไปพราง ๆ ว่า “เราแวะทานข้าวร้านข้างทางก็ได้ ฉันอยากไปเยี่ยมย่าเหลียงที่โรงพยาบาลค่ะ”
เธอแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง และมองไปยังทิศทางที่เฮลิคอปเตอร์บินออกไป
“พอได้แล้ว ถ้ายังเงยหน้าแบบนั้นต่อ คอได้เคล็ดแน่ ไม่แน่ว่าอีกสองวันข้างหน้าเขาก็อาจจะกลับมาแล้วก็ได้ เชื่อฉันสิ” โจวเหวยฉีล้อเลียนเจียงเหยา เพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนลายขึ้นมาบ้าง และเปลี่ยนเรื่องกลับมาคุยเรื่องอาหารกลางวันแทน “เที่ยงนี้อยากกินอะไร? ชิงสีเคยบอกว่าคุณชอบอาหารรสอ่อน ไปร้านหลงเถิงไหม? ครั้งล่าสุดที่มากิน ชอบอาหารของร้านนี้หรือเปล่า? อร่อยใช้ได้เลย เห็นว่ากำลังจะขยายร้ายหลงเถิงเป็นรีสอร์ท รายได้คงเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า! ฉันกำลังจะขอให้ชิงสีคุยกับพี่ใหญ่ ให้เขาออกบัตร VIP ให้ฉันมากินร้านนี้ฟรีได้ทุกวัน”
เขาพูดถึงธุรกิจของลู่ชิงสีด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงการไปซื้อของที่ตลาด
“ไม่มีทาง~” เจียงเหยาส่ายหน้า “พี่ใหญ่เขาต้องเลี้ยงลูกอีกสามคน พี่ชิงสีของคุณก็ต้องเลี้ยงลูกอีกสี่คน พวกเขามีภาระทางการเงินที่หนักมากแล้ว”
โจวเหวยฉีมองด้วยความสงสัยไปที่เจียงเหยา เขาควรส่งเธอกลับไปที่กองทัพและทิ้งเธอไว้ที่นั่นคนเดียวดีหรือไม่?
สุดท้ายก็ไม่ได้ไปร้านหลงเถิง เพราะร้านนั่นอยู่ไกลจากโรงพยาบาลเกินไป พวกเขาแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเล็ก ๆ ใกล้ ๆ หลังจากนั้นก็แวะซื้อผลไม้และของกินที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ก่อนจะตรงไปยังโรงพยาบาล
ในขณะนี้มีเพียงเหลียงเยวื่อจือและหลัวเหลาหรุนเท่านั่นที่อยู่โรงพยาบาล คนอื่น ๆ กลับบ้านไปพักกันหมดแล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับคนในครอบครัวที่เหลือในช่วงวิกฤตเช่นนี้ คุณนายเหลียงและลูกสะใภ้คนโตจึงกลับบ้านไปพักผ่อนและเปลี่ยนให้เหลียงเยวื่อจือและภรรยาของเขาดูแลต่อในช่วงกลางคืน
“เฮ้ มาด้วยเหรอ” เหลียงเยวื่อจือทักทายโจวเหวยฉีและเจียงเหยา ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นพวกเขา เขารู้ว่าลู่ชิงสีส่งเจียงเหยามาที่เมืองจินโด แต่เขาไม่คิดว่าพวกเขาจะมาที่โรงพยาบาลทันที
__
ลู่ชิงสีน่าจะไปแล้ว นั่นหมายความว่าเจียงเหยาตรงมาที่โรงพยาบาลทันทีหลังจากส่งเขา พวกเขายังไม่ได้เข้าไปที่บ้านเลยล่ะสิ
“เธออยากจะแวะมาที่โรงพยาบาลก่อน เลยขอให้ฉันมาส่งที่นี่” โจวเหวยฉีตอบขณะที่เหลือบมองหลัวเหลาหรุน เขารู้สึกลำบากใจมากที่เห็นเธอเหน็ดเหนื่อย พวกเขาโตมาด้วยกัน เขาสนิทกับเธอมากกว่าพี่สาวน้องสาวจริง ๆ ของเขาเสียอีก
“ขอบใจเธอแทนคุณย่าด้วยนะ” หลัวเหลาหรุนกอดเจียงเหยาและพูด “พวกเรารู้เรื่องชิงสีแล้วล่ะ”
ทำให้พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณ
ถ้าลู่ชิงสีไม่คิดที่จะเข้าร่วมภารกิจ ครอบครัวเหลียงก็มีอำนาจพอที่จะไม่ให้เขาเข้าร่วมได้ เหลียงเยวื่อจือและพ่อของเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาคิดเสียใหม่ แต่เขาเองที่ยืนยันว่าอยากจะเข้ไปช่วยพลเอกเหลียงทุกวิถีทาง
เพื่อน ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลู่ชิงสีภายใต้ภารกิจนี้บ้าง
ครอบครัวลู่มีลูกสาวและลูกสาว คนทางใต้เคยชินกับการที่ลูกสาวต้องเป็นผู้สืบทอดสกุล เจียงเหยาก็ยังเด็ก พวกเขาเพิ่งจะเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกทั้งพวกเขายังไม่มีลูก
ครอบครัวเหลียงหวังว่าทหารจะส่งคนที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือเข้าร่วมภารกิจกู้ภัยได้ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็ไม่อยากให้ลู่ชิงร่วมภารกิจ
ทุกคนมักจะเห็นแก่ตัวในบางโอกาส คล้ายกับตระกูลเหลียง ลู่ชิงสีมีเป้าหมายเดียวกัน – ลำดับความสำคัญสูงสุดและเพียงอย่างเดียวของเขาคือชีวิตของนายพลเหลียงเท่านั้น ถ้าเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงคนเดียว ท่ามกลางตัวประกันทั้งหมด เขาก็จะเลือกช่วยเหลือครอบครัวของเขาและเพื่อนของเขา
แน่นอน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือช่วยเหลือทุกคน พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ในการทำภารกิจครั้งนี้
“พวกคุณที่ดูแลย่าเหลียงก็ด้วย ท่านเป็นคนดี ฉันเชื่อว่าไม่นานก็ฟื้นค่ะ” เจียงเหยาพูดปลอบหลัวเหลาหรุน
เธอเห็นว่าหลัวเหลาหรุนแตกต่างไปจากลูกสะใภ้ของครอบครัวอื่น พูดกันตามตรง ผู้ใหญ่ของครอบครัวเหลียงเห็นหลัวเหลาหรุนมาตั้งแต่ที่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาว กระทั่งโตเป็นหญิงสาวที่สง่างาม ความห่วงใยของเธอเกินกว่าการที่ลูกสะใภ้จะมอบให้กับครอบครัวของสามี
ไม่มีใครรู้สถานการณ์ปัจจุบันของนายพลเหลียง ตอนนี้ย่าเหลียงก็อยู่ที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว โจวเหวยฉีก็บอกกับเธอว่า หมอยังไม่แน่ใจว่าเธอจะฟื้นเมื่อไหร่ พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอจะฟื้นได้หรือไม่
หลัวเหลาหรุนคงจะเครียดมากในตอนนี้
โจวเหวยฉีและเหลียงเยวื่อจือออกจากห้องพักผู้ป่วย เพื่อไปพูดคุยกัน ขณะที่เจียงเหยาและหลัวเหลาหรุนอยู่ภายในห้องผู้ป่วย
ขณะที่ย่าเหลียงนอนอยู่บนเตียง ท่านดูต่างไปจากผู้หญิงที่ร่าเริงในงานเลี้ยงแต่งงานเมื่อวันก่อน ใบหน้าของท่านซีดขาวราวกับกระดาษที่ไร้ชีวิตชีวา การหายใจตื้นและช้า
เจียงเหยาหยิบเวชระเบียนขึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียด หลัวเหลาหรุนพบว่าการกระทำของเธอแปลก แต่เธอไม่ได้พูดหรือหยุดอีกฝ่าย
หลายคนที่มาเยี่ยมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจียงเหยาเป็นเพียงคนเดียวที่ดูเวชระเบียนอย่างจริงจัง หลัวเหลาหรุนรู้ว่าเจียงเหยาเป็นนักศึกษาแพทย์ ในชั่วพริบตา เธอดูราวกับมีวิญญาณของหมอซ้อนทับในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรอยขมวดคิ้วเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่อ่านเอกสาร
เธอมั่นใจว่าคนที่ไม่รู้ มาเห็นคงบอกว่านั่นคือหมอที่กำลังตรวจเอกสารคนไข้
ย่าเหลียงมีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง ช็อกอย่างกะทันหันทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นจนส่งผลให้มีเลือดออกในสมอง แม้ว่าเธอจะถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลและรักษาได้ทันเวลา แต่ด้วยความชราภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันที่ไม่ก้าวหน้าเท่ากับอีกหนึ่งทศวรรษต่อมา ทำให้การรักษาของเธอดูยุ่งยากและซับซ้อนมาก