ตอนที่แล้วWS บทที่ 372 เดือนอันแสนสงบสุข PART 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 374 ป้อมปราการทรายดำ PART 1

WS บทที่ 373 เดือนอันแสนสงบสุข PART 3


กำลังโหลดไฟล์

หลังจากนั้น เรื่องก็ง่ายขึ้นมาก พ่อมดแบมมูกลับไปพร้อมกับเอกสารสัญญา เขาได้บอกเงื่อนไขและกำหนดเวลาแก่พ่อมดพเนจรเหล่านั้น หากพวกเขาลงนามสัญญา พวกเขาจะสามารถเข้าถึงคาถา อุปกรณ์เวทมนต์ ยาและอื่น ๆ

หากพวกเขาไม่สมัครใจอย่างแท้จริงและไม่ต้องการลงนามสัญญา พวกเขาจะต้องออกจากปราสาทวิลสันทันที

นักเวทย์ส่วนใหญ่เลือกที่จะเซ็นสัญญา อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินค่อนข้างเสียใจที่ระหว่างนักเวทย์ระดับสี่สองคน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เต็มใจจะลงนามสัญญา อีกคนหนึ่งตัดสินใจออกจากปราสาทวิลสันไปในที่สุด

แม้ว่าเมอร์ลินจะค่อนข้างเสียใจกับการตัดสินใจของนักเวทย์ระดับสี่คนนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ขอให้แบมมูนำตัวนักเวทย์คนนั้นกลับมา

ตอนนี้มีนักเวทย์จำนวนมากลงนามสัญญากับตระกูลวิลสัน จึงทำให้พลังของตระกูลเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ หากตระกูลวิลสันมีอำนาจเช่นนี้ในอดีต พวกเขาจะไม่ตกเป็นเป้าหมายของพ่อมดพเนจรอีกต่อไป

ตอนนี้ตระกูลวิลสันมีทรัพยากรบุคคลแล้ว สิ่งเดียวที่ขาดคือเวลา เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ คนรุ่นหลังของตระกูลวิลสันจะเพิ่มจำนวนขึ้น ทายาทที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์จะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยองค์ความรู้ที่เป็นระบบที่อบรมสั่งตั้งแต่เด็กและโอกาสที่พวกเขาจะเป็นนักเวทย์ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ดังนั้น เมอร์ลินจึงนำคาถาธาตุทต่าง ๆ และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างคาถารวมถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอักษรรูน การเล่นแร่แปรธาตุและปรุงยาวิเศษมามอบให้แบมมูเพื่อให้เขาจัดการ

เมอร์ลินสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เขาวางใจในแบมมูในขณะที่เขายังเป็นทาสของเมอร์ลิน เมอร์ลินไม่ต้องกังวลว่าแบมมูจะไม่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เขาเชื่อว่าด้วยความรู้พื้นฐานทั้งหมดนี้ แม้แต่แม่มดมือใหม่อย่างเฟลินดาก็สามารถใช้ความรู้พื้นฐานดังกล่าวเพื่อพัฒนาความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับอักษรรูนได้

ในขณะที่สิ่งต่าง ๆ สำหรับตระกูลวิลสันค่อย ๆ ดำเนินไปตามครรลอง เมอร์ลินก็กังวลน้อยลงเรื่อย ๆ เขาใช้เวลาไปเยี่ยมแอวริลกับเชอรีส ท้องของทั้งคู่ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่ได้อยู่ที่ปราสาทวิลสันมาสองสามเดือนแล้วแต่เชอรีสก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่

มันต้องเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตในครรภ์ที่ให้ความหวังและพละกำลังแก่เชอรีส!

หลังจากทำทั้งหมดนี้ เมอร์ลินก็ขังตัวเองอยู่ในห้องอีกครั้ง เขาไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเขา เขาเริ่มฝึกกระบวนท่าจากรูปปั้นทองคำ

กระบวนท่าของรูปปั้นทองคำมีความแตกต่างอย่างมากจากรูปปั้นสี่รูปก่อนหน้านี้ เขาจะต้องฝึกฝนเป็นเวลานานและบ่อยครั้งก่อนที่มันจะแสดงผลลัพธ์ของออกมา

เมอร์ลินเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะต้องฝึกฝนนานแค่ไหนก่อนที่เขาจะได้รับผลลัพธ์จากมัน บางทีเมื่อถึงเวลา มันจะเปิดเผย ‘ความลับ’ ของมันออกมาเอง

เมอร์ลินยังคงมีเวลาประมาณยี่สิบวัน เขาไม่มีเวลาปรุงยาโมครา เขาจึงใช้โอกาสที่จะกระบวนท่าของรูปปั้นทองคำ

หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไป...

ยี่สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมอร์ลินฝึกฝนกระบวนท่าของรูปปั้นทองคำทุกวัน กระบวนท่าเหล่านี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับรูปปั้นสี่รูปก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มันก็แตกต่างกันมากเช่นกัน

เมอร์ลินฝึกซ้อมทุกวัน โดยได้สัมผัสประสบการณ์ว่ารูปปั้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ในที่สุด หลังจากที่เพียรฝึกฝนมายี่สิบวันแล้ว เมอร์ลินก็เห็นการเปลี่ยนแปลงในที่สุด

เมอร์ลินยกแขนขึ้นและสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ก่อนหน้านี้ ผิวแขนของเมอร์ลินนั้นขาวเนียนราวกับผิวเด็ก ดึงดูดความอิจฉาของผู้หญิงนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม แขนยาวของเมอร์ลินถูกฉายแสงสีทองจาง ๆ แสงสีทองนี้สลัวเกินไปและเขาต้องเพ่งมองมันให้ดี ๆ จึงจะมองเห็นแสงสีเหล่านั้น

เมอร์ลินจ้องอยู่หนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่เขาจะเห็นแสงสีทองสลัวส่องอยู่บนแขนของเขาในที่สุด

แสงสีทองจาง ๆ นี้ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นชั้นนอกสีทองสำหรับผิวของเมอร์ลิน มันดูแปลกประหลาดมาก ถึงกระนั้น เมอร์ลินก็รู้สึกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในร่างกายของเขาและไม่ใช่เพียงแค่คุณลักษณะทางกายภาพของเขาจะดีขึ้นเท่านั้น

*ฉัวะ*

จู่ ๆ เมอร์ลินก็หยิบกริชคมกริบจากแหวนของเขาแล้วเฉือนไปที่แขนของเขา แสงสีทองจาง ๆ เปลี่ยนเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ขวางการฟันของกริชไว้

แขนของเมอร์ลินไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว เมอร์ลินประหลาดใจเล็กน้อย แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจ เขามีความสามารถนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เขารู้สึกว่าคุณสมบัติทางกายภาพของเขาไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หลังจากการสังเกตอย่างระมัดระวัง เมอร์ลินพบว่าชั้นแสงสีทองสลัวนั้นดูเหมือนจะสามารถต้านทานการโจมตีแทนเขาได้ ดังนั้น เมอร์ลินจึงพยายามใช้กำลังทั้งหมดของเขา ฟันแขนของเขาอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง

*ฉีก*

คราวนี้ เขาเจาะทะลุผ่านการป้องกันแสงสีทองจาง ๆ ได้อย่างง่ายดาย รอยแผลเป็นเปื้อนเลือดถูกทิ้งไว้บนแขนของเมอร์ลินทันที

อย่างไรก็ตาม มีเลือดไหลออกจากบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้น ผิวหนังรอบ ๆ บาดแผลก็เริ่มกระจายระลอกคลื่น มันเริ่มรักษาตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

*ฟู่*

ขณะที่เขาเห็นภาพแปลก ๆ นี้ แม้แต่เมอร์ลินก็ไม่สามารถต้านทานความประหลาดใจตรงหน้าได้!

แม้ว่าเมอร์ลินจะรู้ว่าคุณสมบัติทางกายภาพของเขานั้นยอดเยี่ยม แต่เขาไม่เคยรักษาให้หายอย่างรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน สิ่งนี้เกินจินตนาการของคนส่วนใหญ่มาก ไม่ว่าร่างกายจะน่าเหลือเชื่อสักเพียงใด ก็ไม่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้

“รูปปั้นทองคำ มันต้องเป็นเพราะกระบวนท่าของรูปปั้นทองคำแน่นอน! รูปปั้นพวกนี้มาจากไหนกัน?”

เมอร์ลินพึมพำด้วยเสียงต่ำ ทันใดนั้น ความคิดนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในหัวของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีพลังในการฟื้นฟูอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ เนื่องมาจากการฝึกฝนกระบวนท่าของรูปปั้นของคำ

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่ข้อจำกัด เมอร์ลินสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าตราบใดที่เขายังคงฝึกต่อไป พลังในการฟื้นฟูของเขาในอนาคตจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

รูปปั้นเหล่านี้มันอยู่เหนือความเข้าใจของเมอร์ลินไปมาก หากนำไปเทียบกับแม็กซิม เขายังมีความเข้าใจมากกว่าซะอีก

พวกมันเป็นพลังที่เมอร์ลินก็ไม่รู้จัก แม้แต่ตอนนี้ เมอร์ลินก็ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของพวกมัน รวมถึงจุดประสงค์การใช้งานที่แท้จริงของพวกมัน

ความกลัวที่ไม่ทราบสาเหตุปรากฏขึ้นมา แม้ว่ากระบวนท่าพวกนี้จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับเมอร์ลินแต่สิ่งที่เขารู้สึกส่วนใหญ่ก็คือความกลัว เช่นเดียวกับร่องรอยของความไม่สบายใจเล็กน้อย

แม้เมอร์ลินจะไม่มีเงื่อนงำของมันเลยแม้แต่น้อยแต่เขก็ยังฝึกฝนกระบวนท่าต่อไป อย่างน้อย ๆ มันก็ให้ผลดีมากกว่าผลเสีย

เขาฝึกฝนอย่างนี้ก็ไปเรื่อย ๆ และแล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว

*วิ้ง วิ้ง วิ้ง*

แหวนมนต์ดำของเมอร์ลินเริ่มสั่นและอักษรรูนลึกลับก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเส้นรูนกลางอากาศ อักษรรูนลึกลับเหล่านี้ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัว มันคือใบหน้าของพ่อมดลีโอ

“เมอร์ลิน หมดเวลาแล้ว รีบกลับมาที่ดินแดนมนต์ดำได้แล้ว!”

เมอร์ลินโค้งคำนับเล็กน้อย “ได้ขอรับ ผมจะรีบกลับไป”

ทันทีที่เขาพูดจบ ร่างของพ่อมดลีโอก็หายไปในทันทีและอักษรรูนลึกลับก็บินกลับเข้าไปในแหวนมนต์ดำอย่างรวดเร็ว

นี่คือพลังของอักษรรูน ในบางครั้ง พลังของรูนอาจโดดเด่นเป็นพิเศษ หากไม่มีอักษรรูน พวกเขาจะไม่มีทางถ่ายทอดข้อมูลในระยะทางไกลอย่างเมื่อกี้ได้

จากนั้น เมอร์ลินจึงบอกเลห์แมนและภรรยาทั้งสองของเขา สุดท้าย เขาได้เรียกพ่อมดแบมมูและสั่งเขาสองสามอย่าง ด้วยพ่อมดแบมมูที่คอยเฝ้าดูแล นอกจากนั้นยังมีนักเวทย์จำนวนมากที่ลงนามในสัญญา ตอนนี้ตระกูลวิลสันคงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เมอร์ลินก็รีบกลับไปที่ดินแดนมนต์ดำอย่างรวดเร็ว

บนชายหาดที่เงียบสงบ ร่างของเมอร์ลินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากภายในแสงสีขาวที่ริบหรี่ จากนั้น เขาก็มุ่งไปข้างหน้าทันที

เมื่อเขามาถึงแผ่นศิลา รอยยิ้มก็ดึงขึ้นที่มุมปากของเขา เขานึกถึงการโจมตีที่น่ากลัวของเจ้าแมวดำ ไดอามอส บนชั้นเจ็ดของหอคอนยแห่งรูน มันเป็นพลังที่อยู่ในระดับเจ็ดอย่างแท้จริง เมอร์ลินไม่สามารถต้านทานได้เพียงเล็กน้อยและถูกส่งออกจากหอคอยแห่งรูน

แม้ว่าเจ้าแมวดำจะยังไม่ปรากฏตัวแต่เมอร์ลินได้ทิ้งหินธาตุสองสามก้อนไว้ข้างหน้าแผ่นศิลา จากนั้นเขาก็เข้าสู่ดินแดนมนต์ดำอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากที่เมอร์ลินจากไป กรงเล็บแหลมคมยื่นออกมาจากแผ่นศิลาและคว้าหินธาตุที่อยู่ข้างหน้าทันที หลังจากนั้นจะได้ยินเสียงเคี้ยงที่ดังคมชัด

“อืม ไม่เลว รสชาติก็ไม่เลวจริง ๆ น้อยคนนักที่ยังจดจำข้าได้ ครั้งหน้าที่เขาพยายามจะท้าทายชั้นเจ็ด ฉันจะทำให้มันง่ายขึ้นเล็กน้อยล่ะกัน…”

หลังจากนั้น เสียงก็ค่อย ๆ หายไป และความเงียบก็กลับมาที่ด้านหน้าของแผ่นศิลา

ภายในหอคอยของพ่อมดลีโอ เมอร์ลินอยู่ชั้นบนสุดแล้ว เขารอพ่อมดลีโออย่างอดทน

*เอี๊ยด*

ไม่นานนัก พ่อมดลีโอก็ผลักเปิดประตู เมื่อเห็นเมอร์ลิน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย “เมอร์ลิน เป็นยังไงบ้าง? เจ้าจัดการเรื่องของตระกูลของเจ้าเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง?”

“ตอนนี้ปัญหาส่วนใหญ่ของตระกูลถูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ ผมพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว!”

เมอร์ลินตอบเรียบ ๆ ดินแดนมนต์ดำได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการเดินทางไปยังป้อมปราการทรายดำที่กำลังจะมีขึ้น ท้ายที่สุด ดินแดนมนต์ดำก็มีความหวังที่จะเฉิดฉายในงานประชุมครั้งนี้

สำหรับนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับเจ็ด พวกเขามีพ่อมดลีโอผู้ซึ่งฝึกฝนดวงตาแห่งความมืด พลังของเขานั้นยิ่งใหญ่มากจนแม้แต่นักเวทย์ระดับเจ็ดก็ยังรู้สึกกดดัน

สำหรับนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับสี่ พวกเขามีอัจฉริยะอย่างเมอร์ลินซึ่งแข็งแกร่งกว่าไคลส์ในตอนนั้น ดังนั้นทั่วทั้งดินแดนมนต์ดำจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจในการเดินทางไปยังป้อมปราการทรายดำ

พ่อมดลีโอพยักหน้า “ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราไปกันเถอะ”

จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากหอคอยอย่างรวดเร็วและบินไปยังหอคอยของพ่อมดฮิวเซียส

ในฐานะนักเวทย์ระดับเจ็ด พ่อมดฮิวเซียสยังเป็นหนึ่งในสามนักเวทย์ระดับเจ็ดที่จะไปที่ป้อมปราการทรายดำ เมื่อเมอร์ลินและพ่อมดลีโอมาถึงหอคอยของเขา พวกเขาทั้งสองเห็นว่ามีนักเวทย์มากมายมารวมกันที่นั่น

พ่อมดฮิวเซียสรีบไปข้างหน้าและยิ้ม “พ่อมดลีโอ พวกเราสามคน ฉัน พ่อมดเนเตอร์และพ่อมดมิลส์ จะเป็นผู้นำในการเดินทางครั้งนี้”

พ่อมดลีโอเห็นนักเวทย์ระดับเจ็ดสองคนที่อยู่เบื้องหลังพ่อมดฮิวเซียสและพยักหน้าเป็นการทักทายเล็กน้อย นักเวทย์ระดับเจ็ดสองคนนั้นรู้ดีว่าพ่อมดลีโอมีความพิเศษเพียงใด พวกเขาจึงมองว่าพ่อมดลีโอมีสถานะเท่าเทียมกัน ดังนั้นพวกเขาจึงดูเป็นมิตรมากเช่นกัน

นอกจากนักเวทย์ระดับเจ็ดที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้ว ยังมีนักเวทย์ระดับสามอีกสามคน ยิ่งกว่านั้น เมอร์ลินเคยเห็นพวกเขามาก่อน พวกเขาคือแม่มดซาราห์, พ่อมดเอนเวียและพ่อมดอิลแมนที่พยายามท้าทายหอคอยแห่งรูน

นักเวทย์ระดับสามทั้งสามนี้มีความเชี่ยวชาญในอักษรรูนและได้สร้างคาถาสี่ธาตุ พวกเขาจึงดูโดดเด่นกว่านักเวทย์คนอื่น ๆ ในดินแดนมนต์ดำ

ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จึงถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับสูงที่แท้จริงของดินแดนมนต์ดำซึ่งเป็นตัวแทนของระดับต่าง ๆ ของนักเวทย์ในองค์กร

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้!” พ่อมดฮิวเซียสกวาดสายตาไปทั่วกลุ่มและพูดอย่างใจเย็น

ทั้งกลุ่มพยักหน้า พวกเขาเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วเพื่อที่จะออกเดินทางไปเมื่อใดก็ได้

ดังนั้นฮิวเซียสและนักเวทย์ระดับเจ็ดอีกสองคนต่างก็นำนักเวทย์ระดับสามและทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เมอร์ลินมีอุปกรณ์เวทมนต์แบบบินจึงไม่ต้องมีใครมาแบกเขา

นักเวทย์ทั้งแปดคนออกจากดินแดนมนต์ดำอย่างรวดเร็วผ่านวงแหวนเวทย์และบินไปยังป้อมปราการทรายดำ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด