WS บทที่ 372 เดือนอันแสนสงบสุข PART 2
“พ่อมดลีโอ ผมต้องการเดินทางกลับเมืองปรากาซขอรับ” เมอร์ลินพูดกับพ่อมดลีโอเบา ๆ
พ่อมดลีโอเคาะนิ้วที่เหี่ยวก่อนจะพยักหน้า “ได้สิแต่เจ้าอย่าลืมว่าเราต้องออกเดินไปยังป้อมปราการทรายดำในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ทางที่ดีเจ้าควรรีบกลับมาล่วงหน้า”
เมอร์ลินพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากเขาได้รับเกียรติจากนักเวทย์ระดับเจ็ดแห่งดินแดนมนต์ดำในการเสนอชื่อพ่อมดลีโอและเมอร์ลินให้เข้าร่วมการเดินทางสู่ป้อมปราการทรายดำ
หลังจากนั้น เมอร์ลินก็ออกจากห้องของพ่อมดลีโอ ขณะที่เขานึกถึงดวงตาที่สามที่น่าเกรงขามบนหน้าผากของพ่อมดลีโอ ความตั้งใจแรกเริ่มของเมอร์ลินในการเรียนรู้ดวงตาแห่งความมืดก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
พลังของดวงตาแห่งความมืดนั้นทรงพลังจริง ๆ ในฐานะที่มันเป็นพลังปีศาจแพนโดร่า มันแข็งแกร่งกว่าพลังปีศาจแพนโดร่าที่สามารถรวมเข้ากับเวทมนตร์ได้ อย่างไรก็ตาม ดวงตาแห่งความมืดเป็นพลังต้องสาป นอกจากมหาจอมเวทย์แห่งความมืด โอลาส แล้วก็ไม่มีใครสามารถฝึกฝนดวงตาแห่งความมืดทั้งเจ็ดรูปแบบได้
ตอนนี้พ่อมดลีโอมีรูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวและสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ด ทั้งหมดเป็นเพราะเขาฝึกฝนดวงตาแห่งความมืด
ด้วยสถานการณ์ของพ่อมดลีโอ เมอร์ลินจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ว่าเขาจะต้องการฝึกฝนดวงตาแห่งความมืดมากแค่ไหนก็ตาม
…
หลังจากผ่านการเดินทางมาพักใหญ่ ในที่สุดเมอร์ลินก็มองเห็นปราสาทวิลสันจากระยะไกล เขาสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนั้น ในอดีต มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความผันผวนของธาตุ อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของธาตุในระยะไกล
นี่หมายความว่ามีนักเวทย์มากมายในปราสาทวิลสัน
เมอร์ลินขมวดคิ้ว มีเพียงพ่อมดแบมมูที่เป็นนักเวทย์ในปราสาทวิลสัน ที่เหลือยังคงพยายามสร้างคาถาซึ่งใช้เวลานาน แม้จะมีคำแนะนำของพ่อมดแบมมู พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างคาถาง่าย ๆ
ดังนั้นตอนนี้ที่ความผันผวนของธาตุที่รุนแรงได้ปรากฏขึ้น เมอร์ลินจึงเริ่มสงสัยว่า ในช่วงที่ผ่าน มันเกิดอะไรขึ้นกับปราสาทวิลสัน?
เมอร์ลินไม่สนใจที่จะเดาอีกต่อไป เขาพุ่งขึ้นไปในอากาศทันทีและบินตรงไปที่ปราสาทวิลสัน
ยิ่งเขาอยู่ใกล้ปราสาทมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังธาตุมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเขาอยู่เหนือปราสาทวิลสันโดยตรง เขาค้นพบด้วยความประหลาดใจที่มีนักเวทย์มากกว่าสิบคนปรากฏตัวในปราสาท
นักเวทย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งแต่ก็มีหนึ่งหรือสอง คนที่พลังจิตแข็งแกร่งผิดปกติ สำแดงพลังอำนาจตั้งแต่หัวจรดเท้า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของพวกเขาดูเหมือนจะบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นผู้นำของนักเวทย์เหล่านี้
“นักเวทย์ระดับสี่?”
ความสงสัยของเมอร์ลินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงเริ่มเดินลงมายังปราสาทวิลสันอย่างช้า ๆ
"หื้ม? คุณคือใคร? คุณมาที่นี่เพื่อสมัครเป็นนักเวทย์ในสังกัดพ่อมดแบมมูด้วยงั้นหรือ?”
ไม่นานนักเวทย์ร่ายเวทย์ก็พบเมอร์ลินและรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของพวกเขาไม่มีความเป็นศัตรู ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเมอร์ลินเป็นคนที่มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับพ่อมดแบมมู
เมอร์ลินไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อ พวกเขาหมายความว่าอย่างไรเมื่อพวกเขากล่าวว่า ‘อยู่ภายใต้พ่อมดแบมมู’ ย้อนกลับไปเมื่อเมอร์ลินอยู่ในปราสาทวิลสัน มันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
เมื่อเห็นว่าเมอร์ลินเงียบ นักเวทย์ระดับหนึ่งเหล่านี้ก็ไม่กล้าพูดออกมาเช่นกัน ท้ายที่สุด เมอร์ลินก็เพิ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้าซึ่งบ่งบอกว่าเมอร์ลินเป็นอย่างน้อยก็เป็นนักเวทย์ระดับสี่
แต่แน่นอนว่า เมอร์ลินใช้อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินและไม่ใช่เพราะเขากลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เวทมนต์แบบบินนั้นหานากมากเมื่อเทียบกับนักเวทย์ระดับสี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทมนต์แบบบิน
ไม่นานนัก นักเวทย์ระดับสี่สองคนที่เมอร์ลินสัมผัสได้ก็ออกมาข้างหน้าเมอร์ลิน “คุณมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับพ่อมดแบมมูหรือเปล่า?”
ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด เมอร์ลินก็รู้ว่านักเวทย์เหล่านี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพ่อมดแบมมู ดังนั้น เมอร์ลินจึงหยิบเอกสารสัญญาออกทันที
“แบมมู เกิดอะไรขึ้นกับปราสาทวิลสัน ทำไมถึงมีนักเวทย์เต็มไปหมด?”
เมอร์ลินสามารถใช้เอกสารสัญญาเพื่อสื่อสารกับแบมมูได้ในทันที นี่เป็นคุณสมบัติพิเศษของสัญญาทาส
ทันใดนั้น ในห้องหนึ่งในปราสาท ในขณะที่แบมมูกำลังเพลิดเพลินกับหินธาตุที่นักเวทย์บางคนจัดหาให้เพื่อเติมพลังเวทย์ของเขาอย่างรวดเร็ว เสียงของเมอร์ลินก็ดังขึ้นในใจของเขา
“นายท่านกับมาแล้วเหรอ?”
พ่อมดแบมมูรู้สึกสั่นไหวในหัวใจของเขา และไม่สนใจเกี่ยวกับการสะสมพลังเวทอีกต่อไป พลังธาตุลมสั่นไหวเล็กน้อยเหนือร่างกายของเขาและเขาก็รีบออกจากห้องทันที
*หวู่ม...*
สายลมพัดผ่านไป พ่อมดแบมมูก็ปรากฏตัวต่อหน้าเมอร์ลินแล้ว
“พ่อมดแบมมู!”
นักเวทย์จำนวนมากมายในปราสาท เมื่อเห็นพ่อมดแบมมูก็แสดงความเคารพอย่างมากและโค้งคำนับเขาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้พบกับรูปลักษณ์ที่เย็นชาของเมอร์ลิน พ่อมดแบมมูก็ไม่รู้สึกถึงความสุขใด ๆ จากสิ่งนี้ เขาพูดด้วยเสียงต่ำทันทีว่า “นี่คือนายท่านของข้า พ่อมดเมอร์ลินแห่งตระกูลวิลสัน!”
"อะไรนะ? นี่คือพ่อมดเมอร์ลิน!”
เห็นได้ชัดว่านักเวทย์เหล่านี้เคยได้ยินเรื่องพ่อมดเมอร์ลินมาก่อน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อมดแบมมูและพ่อมดเมอร์ลิน
หลายคนถึงกับคิดว่าเมอร์ลินอยู่ภายใต้การควบคุมของพ่อมดแบมมูแต่ภาพตรงหน้าดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย แถมพ่อมดแบมมูพูดกับเมอร์ลินราวกับว่าเป็นนายท่านจริง ๆ!
“แบมมู บอกฉันที นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ใบหน้าของเมอร์ลินเย็นยะเยือกในขณะที่เขาจ้องไปที่แบมมูอย่างเย็นชา ทำให้หัวใจของพ่อมดแบมมูสั่นสะท้าน
“นายท่าน เรื่องมันเป็นแบบนี้ เพื่อให้ตระกูลวิลสันที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว การพึงพาแค่พวกเราเองคงจะไม่เพียงพอ ดังนั้นข้าจึงใช้วิธีพิเศษสองสามวิธีเพื่อดึงดูดนักเวทย์เหล่านี้ พวกเขาทั้งหมดเข้าร่วมตระกูลวิลสันโดยสมัครใจ ด้วยวิธีนี้ พลังของตระกูลวิลสันจะเติบโตอย่างรวดเร็วและจะมีนักเวทย์เพียงพอในตระกูลวิลสันที่สามารถอธิบายความรู้พื้นฐานแก่ลูกหลานที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ได้”
หัวใจของเมอร์ลินเต้นรัว เขาไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ เป็นไปได้ว่า ‘วิธีการพิเศษ’ พ่อมดแบมมูที่กล่าวถึงน่าจะเป็นการบีบบังคับและการล่อลวงซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงได้รับนักเวทย์จำนวนมากเพื่อเข้าร่วมตระกูลวิลสันด้วยความเต็มใจ
“มาที่ห้องของฉันแล้วอธิบายให้ฟัง”
เมอร์ลินเหลือบมองที่นักเวทย์เหล่านี้อีกครั้ง โดยเฉพาะนักเวทย์ระดับสี่สองคน ในบรรดาพ่อมดพเนจร นักเวทย์ระดับสี่นั้นค่อนข้างหายาก เขาไม่รู้ว่าพ่อมดแบมมูใช้วิธีใดถึงทำให้พวกเขาทั้งสองคนยอมตกลงเข้าร่วมกับตระกูลวิลสัน
*หวู่ม*
เมอร์ลินร่ายสายลมแสงวาบและหายวับไปจากสายตาพวกเขาในพริบตา
…
พ่อมดแบมมูก้าวเข้ามาในห้องเงียบ ๆ อย่างวิตกกังวล
"นายท่านขอรับ!"
พ่อมดแบมมูเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เมอร์ลินแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเมอร์ลินคิดอะไรจากการแสดงออกของเขา
เมอร์ลินรักษาน้ำเสียงของเขาให้สงบ “บอกฉันที คุณใช้วิธีการอะไรเพื่อให้ได้นักเวทย์จำนวนมากมาที่นี่ที่ปราสาทวิลสัน?”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของพ่อมดแบมมู “มันค่อนข้างง่ายขอรับนายท่าน หลังจากที่ข้ากลับมาที่ปราสาทวิลสัน ข้าก็เดินไปรอบ ๆ และเจอพ่อมดพเนจรอยู่บ้าง หลังจากนั้น ข้าฆ่าไปสองสามคนและคนที่เหลือก็ยืนกรานที่จะติดตามฉันโดยธรรมชาติ แน่นอนว่าข้าขอให้พวกเขาจงรักภักดีต่อตระกูลวิลสันด้วย”
“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? สำหรับพวกนักเวทย์ระดับหนึ่ง ฉันไม่แปลกใจกับวิธีนี้แต่นักเวทย์คาถาระดับสี่สองคนนั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมด้วยความเต็มใจด้วยการคุกคามเพียงเล็กน้อยแค่นั้น?” เมอร์ลินถามด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยินยอมแต่โดยดี ทำไมนักเวทย์ระดับสี่ถึงจะกล้าหยิ่งผยอง? ในตอนแรกพวกเขาไม่ยอมแต่หลังจากที่ข้าบอกพวกเขาว่าพวกเราสามารถให้คาถาระดับห้าและแม้แต่ความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถาให้พวกเขา พวกเขาจึงตกลงเข้าร่วมกับตระกูลวิลสันโดยไม่ลังเล”
หลังจากได้ยินสิ่งที่พ่อมดแบมมูพูด เมอร์ลินก็พยักหน้าเล็กน้อย ตามที่คาดไว้ พ่อมดแบมมูใช้การบังคับและการล่อลวงเพื่อให้นักเวทย์ระดับสี่สองคนนั้นเข้าร่วมโดยสมัครใจ
ท้ายที่สุด สิ่งที่พ่อมดพเนจรขาดมากที่สุดคือคาถาและความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถา ความสำเร็จของพวกเขาในการสร้างคาถาระดับสี่นั้นเป็นไปได้ด้วยโชคและความยากลำบากเท่านั้น หากพวกเขาต้องการสร้างคาถาระดับห้าเพิ่มเติม มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่ไม่มีความรู้และคาถาที่เป็นระบบ
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของพ่อมดแบมมูในขณะนี้ทำให้พวกเขามีโอกาส การมาที่ปราสาทวิลสันที่นี่กลายเป็นทางเลือกเดียวของพวกเขา
การบีบบังคับและการล่อลวงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองกำลังของตระกูลวิลสันในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม หากพ่อมดแบมมูไม่อยู่ใกล้ ๆ และเมอร์ลินไม่อยู่ด้วย พ่อมดพเนจรเหล่านี้จะเริ่มคิดที่จะตีตัวออกจากที่นี่ไป
เพื่อขจัดข้อบกพร่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมอร์ลินจึงนึกถึงเอกสารสัญญาขึ้นมาทันที
“โชคดีดีที่ฉันนำเอกสารสัญญามาเพียงพอในครั้งนี้ มิฉะนั้นเราจะมีปัญหาในอนาคต!”
เมอร์ลินพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นเขาก็หยิบเอกสารสัญญาออกจากแหวนและพูดกับพ่อมดแบมมูว่า
“นำนักเวทย์พวกนั้นมาและบอกพวกเขาว่าสำหรับผู้ที่ยินดีลงนามสัญญาและเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของตระกูลวิลสันของฉัน ฉันจะไม่หวงแหนคาถาระดับห้าและความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถาเท่านั้น จะมีรางวัลเป็นสมบัติที่พวกเขาคาดไม่ถึงด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ความเชี่ยวชาญด้านอักษรรูน ฉันสามารถมอบแผ่งวงเวทย์รูนให้พวกเขา! สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านปรุงยา ฉันสามารถมอบสูตรยาอันล้ำค่าให้กับพวกเขาเป็นของขวัญได้!”
ด้วยเหตุนี้ เมอร์ลินจึงนำแผ่นวงเวทย์รูนกับสูตรยาสองสามสูตร ทำให้พ่อมดแบมมูเพื่อให้เขาสามารถนำสิ่งเหล่านี้ติดตัวไปด้วยเพื่อส่งเสริมการโน้มน้าวใจของเขา
พ่อมดแบมมูพยักหน้า “ด้วยการผูกมัดของสัญญา พวกเขาจะกลายเป็นสมาชิกของตระกูลวิลสัน แผนของนายท่านเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน”
พ่อมดแบมมูเห็นว่าเมอร์ลินไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ต่อไปและอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะจากไป เมอร์ลินก็ร้องออกมาอย่างเย็นชาตามหลังเขา “แบมมู ครั้งต่อไปที่คุณอยากได้หินธาตุมากกว่านี้ คุณไม่จำเป็นต้องไปไกลขนาดนั้น คุณเพียงแค่บอกฉันมา ฉันก็ยินดีมอบพวกมันให้คุณ”
ทันทีที่เขาพูด เมอร์ลินก็มอบหินาตุสองสามพันก้อนจากแหวนของเขาให้พ่อมดแบมมู นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งมหาศาลของเมอร์ลิน ดังนั้นเขาจึงมอบมันให้กับพ่อมดแบมมู ทำให้เขาสามารถเติมพลังเวทย์ของเขาได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลวิลสันเช่นกัน
พ่อมดแบมมูรู้สึกประหลาดใจในใจและใบหน้าของเขาร้อนฉ่าด้วยความอับอาย อันที่จริง ถึงแม้ว่าเขาจะถูกว่าเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่าแต่ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง เหตุผลที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้กับพ่อมดพเนจรในบริเวณใกล้เคียงคือการได้รับหินธาตุเพื่อฟื้นฟูพลังเวทย์ของเขา
สำหรับเมอร์ลินแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของพ่อมดแบมมู แม้กระทั่งวิธีคิดของเขา เขาสามารถเข้าถึงได้ผ่านเอกสารสัญญา ดังนั้น พ่อมดแบมมูจึงไม่สามารถปกปิดความตั้งใจเล็ก ๆ นี้จากเมอร์ลินได้อย่างสมบูรณ์
“ถ้านายท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนขอรับ!”
หลังจากเก็บหินธาตุ พ่อมดแบมมูรีบออกจากห้องของเมอร์ลินราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนีจากบางสิ่งบางอย่าง