MDB ตอนที่ 6 นี่มันพวกต้มตุ๋น!
“วัวเหลืองระดับหนึ่ง คุณสมบัติดิน มีความอดทนสูงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีศักยภาพในการส่งเสริม”
“ลิงตาแหลมระดับหนึ่ง คุณสมบัติไม้ นักปีนเขาที่ยอดเยี่ยมด้วยสายตาที่ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับการล่าขุมทรัพย์ ศักยภาพปานกลาง!”
“สุนัขมาสทิฟฟ์ดำ ระดับหนึ่ง…”
พู่กันเขียนของหลินจินกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมือของเขา เขาไม่เคยเงยหน้าขึ้นเลย ในขณะที่แตะสัตว์วิเศษด้วยซ้ายและเขียนด้วยขวา
มันง่ายเกินไปสำหรับเขา
ในขณะที่เขาพบว่ามันง่าย ในสายตาของคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
จ้าวหยิงรู้สึกอยากจะพูดบางอย่างแต่เธอก็ลังเล เธอนั่งอยู่ข้างหลังอย่างเชื่อฟังและมองไม่เห็นสิ่งที่หลินจินกำลังเขียนและพิจารณาจากสีหน้าของเขา สิ่งที่เขาเขียนดูเหมือนจะไม่ได้เขียนมั่ว ๆ เนื้อหาของมันมีรายละเอียดต่าง ๆ ของสัตว์วิเศษที่ประเมินแต่ความเร็วราวกับพระเจ้านี้ไม่น่าจะเป็นจริงใช่ไหม?
การประเมินสัตว์วิเศษส่วนใหญ่ใช้ยันต์สัตว์วิเศษในการตรวจสอบ แต่หลินจินได้ข้ามขั้นตอนนี้ไป ถ้าจ้าวหยิงไม่รู้ว่าหลินจินมีทักษะที่แท้จริง เธอคงคิดว่าเขากำลังเขียนเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ
คนในชนบทที่ต่อแถวอยู่ข้างหน้าก็ไม่สามารถต้านทานการนินทาได้เช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รับการศึกษาแต่บางคนก็เคยผ่านการประเมินสัตว์วิเศษมาก่อนและสังเกตว่ากระบวนการที่น่าเบื่อและซับซ้อนอย่างมากนั้นใช้เวลาอย่างน้อยสิบนาที ในขณะที่กระบวนการนี้เสร็จสิ้นภายในสิบลมหายใจ
มันดูเหมือนการเล่นขายของ
ขณะที่พวกเขากำลังสงสัย ไม่มีใครกล้าถามแต่ทำได้เพียงซุบซิบกันในวงเล็ก ๆ
“ผู้ประเมินสัตว์วิเศษคนนี้เชื่อถือได้หรือไม่? เขาจะประเมินโดยการสัมผัสสัตว์วิเศษได้อย่างไร? ข้าไม่เห็นเขาเงยหน้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ”
“บางทีเขาอาจจะอยู่ในระดับสูง”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่าการประเมินสัตว์วิเศษเป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังของเครื่องราง การเปิดใช้งานและอย่างน้อยต้องมีตราประทับเพื่อยืนยันคุณสมบัติของมันแต่ผู้ชายคนนี้เพียงแค่สัมผัสพวกมันเท่านั้น เขาดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับข้าเลย”
"ใครสน? มันเป็นการประเมิน 10 เหรียญทองแดง เจ้าคาดหวังอะไรอีก นอกจากนี้ เขามาจากสมาคมประเมินสัตว์วิเศษของเมืองเมเปิ้ล สิ่งที่เขาประเมินมันน่าจะถูกต้อง ดูสิ เขายังมีสัญลักษณ์สัตว์วิเศษของผู้ประเมินที่ผ่านการรับรองที่คอเสื้อและแขนเสื้อของเขาด้วย”
หลังจากที่มองเข้าไปใกล้ ๆ ก็มีสัญลักษณ์ระดับหนึ่งบนเสื้อผ้าของหลินจิน
สักญลักษณ์นี้ใช้ได้โดยผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการเท่านั้น วงแหวนบนสัญลักษณ์แสดงถึงระดับของผู้ประเมิน หลินจินมีวงแหวนเดียวบ่งบอกถึงผู้ประเมินระดับหนึ่ง ผู้ประเมินราคาระดับสอง เช่น หัวหน้าหวังจีจะวงแหวนสองชั้น สำหรับผู้ฝึกหัดเช่นจ้าวหยิง มีเพียงลวดลายคลื่นบนแขนเสื้อของเธอ ไม่แสดงวงแหวน ความสามารถและระดับของผู้ประเมินได้รับการพิสูจน์ผ่านสัญลักษณ์พวกนี้
ท่ามกลางฝูงชน ดวงตาคู่หนึ่งหวาดตามองแขนเสื้อของหลินจินอย่างถี่ถ้วน แล้วจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย...
ในลานบ้านอันหรูหราภายในหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง มีชายคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้นั่งจิบชาอย่างช้า ๆ
เว่ยชางหยง 'ผู้ประเมินสัตว์วิเศษท้องถิ่น' เขาไม่มีคุณสมบัติที่แท้จริงแต่เขาใช้ชีวิตค่อนข้างสบาย ภายในบ้านหลังใหญ่อันหรูหราของเขา อาหารรสเลิศที่เขาได้รับนั้นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ชาวบ้านคนอื่น ๆ เขามีคนรับใช้มากกว่าสิบคนคอยรับใช้อย่างอดทน
เขาสามารถจ่ายได้ทั้งหมดนี้เพราะเขามีทักษะการประเมินสัตว์วิเศษขั้นพื้นฐาน
ผู้อยู่อาศัยที่นี่ไม่สามารถปรึกษากับผู้ประเมินทางการได้ แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการเสี่ยงที่จะทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์เลี้ยงแบบสุ่ม ๆ ความผิดพลาดอย่างหนึ่งในการจับคู่คุณสมบัตินำมาซึ่งความทุกข์ยากตลอดชีวิต ดังนั้น ผู้ประเมินอย่างเขาจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก
ดังนั้นคนอย่างเว่ยชางหยงจึงไม่พอใจสมาคมประเมินสัตว์วิเศษมากที่สุด
เมื่ออยู่ในวงการเดียวกันก็คงไม่แคล้วที่จะถูกเปรียบเทียบ ด้วยไม่พอใจนี้ เขาจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับสมาคม ดังนั้นทุกครั้งที่สมาคมสัตว์วิเศษส่งผู้ประเมินมา เขาจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและวางแผนก่อวินาศกรรมเพื่อทำลายชื่อเสียงของพวกเขา
เว่ยชางหยงเคยคิดจะไปสอบเพื่อให้ตัวเองได้รับการรับรองแต่มันก็ยากเกินไป
ทักษะส่วนใหญ่ของเขาได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นพี่ของเขา โดยใช้วิธีการที่ด้อยกว่าเท่านั้นที่ไม่อาจเทียบได้กับผู้ประเมินทางการได้ เขาพยายามอย่างหนักแต่สอบไม่ผ่าน เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ประเมินทางการแต่เขาก็แทบจะไม่ทัดเทียมกับเด็กฝึกงานเลยด้วยซ้ำ
มีหลายครั้งที่เขากลับบ้านด้วยความพ่ายแพ้ ตั้งใจที่จะปล่อยมือจากการสอบเป็นผู้ประเมินทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินว่าสมาคมจะส่งตัวแทนมาที่นี่ในวันนี้เพื่อขโมยธุรกิจของเขา เว่ยชางหยงก็อารมณ์ไม่ดีสุด ๆ ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากภายนอก เขาเงยหน้าขึ้นมองดูเว่ยไป่ น้องชายของเขา
“พี่ ข้ากลับมาแล้ว” เว่ยไป่นั่งลงข้างเขาแล้วตักชาหนึ่งถ้วยแล้วดื่ม
เว่ยชางหยงถามอย่างดูถูก “ข้าบอกให้เจ้าสังเกตสมาคมประเมินสัตว์วิเศษไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วอย่างนี้”
“พี่ ข้าเจอเรื่องใหญ่แล้ว!” เว่ยไป่พูดเสียงดัง ในขณะที่เขาอธิบายสิ่งที่เขาเห็นอย่างละเอียด
ขณะที่เขาฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความยินดี “เจ้ากำลังพูดว่าผู้ประเมินสัตว์วิเศษนี้มีสัญลักษณ์วงแหวนเดียวบนแขนเสื้อของเขา?”
เว่ยไป่พยักหน้าหนัก เขาพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “ใช่แล้ว ข้าเห็นมันด้วยตาของข้าเอง พี่ ลองคิดดูสิ ผู้ที่มีสัญลักษณ์เป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการมาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางสมาคมไม่เคยส่งผู้ประเมินทางการมาเลย พวกเขาส่งมาแค่เด็กฝึกงานประมาณเจ็ดหรือแปดคนในแต่ละครั้ง แต่ที่แปลกคือวันนี้พวกเขาส่งคนไปแค่สองคนและวิธีการประเมินของเขาคนนั้น มันยิ่งพี่เสียอีก! ยิ่งดูยิ่งมีกลิ่นแปลก ๆ ข้าเลยรีบกลับมารายงานพี่”
เว่ยชางหยงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า "ที่เจ้าพูดมาก็ถูก!"
จากนั้นเขาก็ตบต้นขาและยืนขึ้น "ไปกันเถอะ!"
เว่ยไป่ตกตะลึง “ไปไหนเหรอพี่?”
“ไปสร้างปัญหาให้พวกมัน!” เว่ยชางหยงดูตื่นเต้น “ตัวแทนที่พวกเขาส่งมาในครั้งนี้น่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นซะมากกว่า สมาคมประเมินสัตว์วิเศษไม่มีทางส่งผู้ประเมินทางการมาแน่นอน นอกจากนี้ จำนวนตัวแทนจากสมาคมก็น้อยเกินไป เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้าสามารถมองออกได้ด้วยการกวาดตาเพียงครั้งเดียว”
เว่ยไป่รู้สึกสับสน “ถึงจะเป็นพวกต้มตุ๋นจริง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?”
หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น เว่ยชางหยงก็ตบน้องของเขา "ไอ้โง่! เจ้านี่ซื่อบื้อขนาดนั้นเลยเหรอ? ในเมื่อพวกเรามองออกแต่คนอื่นไม่รู้ เราจะใช้โอกาสนี้เล่นงานพวกเขา ถ้าเราประลองการประเมินกับเขา ในเมื่อพวกเขาเป็นพวกต้มตุ๋น พวกเราก็ชนะได้อย่างสบาย ๆ เมื่อข้าชนะแล้ว ข้าจะสามารถอวดอ้างได้ว่า ข้าสามารถเอาชนะผู้ประเมินทางการได้ หลังจากนั้นผู้คนจะบูชาฉันและรุมเข้ามาที่ประตูของฉันเพื่อขอรับการประเมิน จากนั้นเงินทองจะไหลมาเทมา ทางเดินเข้าบ้านของข้าจะปูด้วยทอง”
เว่ยไป่ไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากคำว่า 'เงิน ๆ ทอง ๆ'
ราวกับว่าเขาถูกฉีดสารกระตุ้น เขาก็ตื่นตัวทันที “ได้เลยพี่ แค่บอกข้ามาว่าข้าต้องทำอย่างไรและข้าพร้อมที่จะลงมือช่วยพี่เอง!”
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไปที่สวนหลังบ้าน แล้วเอาไก่แปลก ๆ ที่เราได้เป็นครั้งที่แล้วมาให้ข้า”
ใบหน้าของเว่ยไป่ซีดเป็นกระดาษขาวทันที “เจ้าไก่ตัวนั้นเป็นเหมือนปีศาจ พี่ไปเอามันมาจากไหน?”
เว่ยชางหยงเผยท่าทีลำบากใจ “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ามักบอกว่าเจ้าเป็นคนโง่เสมอ ด้วยประสบการณ์สิบปีของการประเมินสัตว์วิเศษของข้า สัตว์หายากชนิดใดบ้างที่ข้ายังไม่เห็น ข้าพอจะสามารถบอกชื่อพวกมันได้บ้าง แต่ข้าไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับเจ้าไก่ตัวนั้นได้เลย ขนาดคนอย่างข้ายังบอกไม่ได้ แล้วเจ้านั่นจะบอกได้อย่างไรได้? เผลอ ๆ แม้แต่ผู้ประเมินตัวจริงก็อาจประเมินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงประเมินมันไม่ได้แน่นอน แล้วแผนของเราจะต้องประสบความสำเร็จ”
ในที่สุดเว่ยไป่ก็เข้าใจ
เขาวิ่งกลับไปและลากกรงขนาดใหญ่ออกมา มันมีผ้าหนาคลุมอยู่ และระหว่างช่องโลหะนั้น มีแสงแวววาวที่คมชัดมองเห็นได้ชัดเจน...
บนถนน
ในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง หลินจินได้ประเมินสัตว์วิเศษเกือบร้อยตัว รายงานการประเมินก็กองโตราวกับกองหิมะ
แถวที่ยาวในตอนแรกเริ่มสั้นลงด้วยความเร็วที่น่ากลัวมาก
ตอนแรกมันทำให้จ้าวหยิงตกใจแต่ตอนนี้เธอชินกับมันแล้ว
หากเป็นการจัดการตามปกติของพวกเขา แม้จะมีผู้ประเมิน 10 คน พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันสำหรับคนจำนวนมาก ถ้าพวกเขาเจอสายพันธุ์ที่หายาก มันจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ โดยปกติจะใช้เวลาหนึ่งวันหรือมากกว่านั้น
แต่ตอนนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น จ้าวหยิงมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะประเมินสัตว์วิเศษทุกตัวให้เสร็จ แต่ผลลัพธ์ตรงหน้า มันไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เธอคิดไว้
พวกเขายังมีเวลาอีกพอสมควรจนถึงพลบค่ำ แต่มันก็เกือบเสร็จแล้ว
นั่นหมายความว่า ถ้าพวกเขารีบมากเท่าไหร่ พวกเขายังสามารถกลับไปที่เมืองเมเปิ้ลได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับความถูกต้องของการประเมินของผู้ประเมินหลินนั้น มันยังคงเป็นปริศนา
การประเมินเชิงปริมาณเช่นนี้ เด็กฝึกงานจะมีความแม่นยำเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ความแม่นยำของผู้ประเมินทางการอาจสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดพลาดร้ายแรง ภารกิจของพวกเขาในวันนี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลินจินหันมาทางจ้าวหยิง เขาพบว่าจ้าวหยิงเตรียมยาของเธอเสร็จแล้ว เธอมองดูเขาหยิบยาขึ้นมาโดยไม่ได้มองหรือคิดอะไรเลย เขาป้อนยาให้สัตว์เลี้ยงของเขาทั้งแบบนั้น หากเขาทำอย่างนี้ก่อนหน้านี้ เธอคงคิดว่าเขากำลังหุนหันพลันแล่นแต่ตอนนี้เธอเห็นเพียงความมั่นใจในรอยยิ้มของผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ
เธอยังแอบดูเนื้อหาของรายงานการประเมินหลายฉบับ จากนั้น เธอตรวจสอบสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นและตรวจสอบว่าผลลัพธ์ทั้งหมดถูกต้อง รายงานได้เปิดเผยรายละเอียดที่ลึกซึ้ง โดยแสดงให้เห็นถึงความรู้ของผู้ประเมิน หากเป็นจ้าวหยิงเป็นคนประเมิน แม้ว่าจ้าวหยิงจะใช้วิธีการประเมินที่ซับซ้อน เธออาจไม่สามารถสรุปด้วยรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าวได้
“ผู้ประเมินหลิน เชิญท่านพักดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ”ความรู้สึกที่จ้าวหยิงเคารพต่อหลินจินกำลังเบ่งบาน สำหรับภารกิจประเมินผลในชนบท ผู้ประเมินจำนวนมากทำงานอย่างไม่เต็มที่ มีเพียงการเขียนรายงานการประเมินอย่างง่าย ๆ แต่สำหรับหลินจินไม่ใช่ ไม่มีรายงานการประเมินอันไหนที่เขียนอย่างลวก ๆ รายงานทั้งหมดร้อยฉบับมีรายละเอียดเท่ากัน ผลงานของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้เธอ
ตลอดครึ่งวันนี้ ความรู้สึกเชิงลบของจ้าวหยิงที่มีต่อหลินจินได้หายไปเกือบทั้งหมด มันได้เผยมุมมองใหม่แก่เธอ เธอยังได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง
ข่าวลือก็คือข่าวลือ มันไม่สามารถเชื่อถือได้
‘ต้องมีใครบางคนจงใจพยายามทำให้ผู้ประเมินหลินเสื่อมเสีย’
ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คน หลินจินยืดข้อมือของเขาและพูดว่า “ขอบใจนะ ข้าตั้งใจจะพักผ่อนหลังจากประเมินเสร็จสิ้นแล้ว”
นอกเหนือจากมือของเขาที่รู้สึกเหนื่อยล้า หลินจินรู้สึกผ่อนคลายผ่านการทำงานของเขา สิ่งที่น่าสนใจที่เขาตระหนักได้คือ สำหรับสัตว์วิเศษทุกตัวที่เขาประเมิน ข้อมูลที่บันทึกไว้จะถูกจัดเรียงเป็นรายการเนื้อหา ดังนั้นจึงสะดวกเมื่อเขาดึงข้อมูลได้ทุกเมื่อที่ต้องการอ้างอิง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พิพิธภัณฑ์สว่างไสวและกว้างขึ้นกว่าเดิม
หลินจินมีความรู้สึกว่ายิ่งว่า ถ้าเขาประเมินและบันทึกข้อมูลไว้ในพิพิธภัณฑ์มากเท่าไหร่ มันจะทำให้เขาได้เปรียบบางอย่าง สำหรับข้อได้เปรียบอะไรนั้น เขาเองไม่รู้เหมือนกัน
แต่ทันใดนั้นเอง เขาได้ยิน 'ดิ้ง ดิ้ง' และมีรอยประทับปรากฏขึ้นจากพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษและพุ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของหลินจิน ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“รางวัลสำหรับการบันทึกสัตว์วิเศษมากกว่าหนึ่งร้อยตัว: การกำราบสัตว์วิเศษ ระดับเริ่มต้น”
“การกำราบสัตว์วิเศษช่วยให้สัตว์ป่าที่ดื้อรั้นเชื่องอย่างง่ายดาย โดยสัตว์วิเศษที่ต่ำกว่าระดับสามทั้งหมดจะถูกกำราบ”
เสียงนั้นดังและชัดเจน มีบรรยากาศของอำนาจสูงสุด
จากนั้น หลินจินก็ได้รับความทรงจำใหม่ มันเป็นเทคนิคของการใช้ออร่าเพื่อควบคุมสัตว์ป่า
นั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
‘มันก็มีข้อดีอยู่พอสมควร!’
เนื่องจากเขาได้บันทึกสัตว์มากกว่าหนึ่งร้อยตัว พิพิธภัณฑ์จึงให้รางวัลความสำเร็จแก่เขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่รู้ว่า 'การกำราบสัตว์วิเศษ' นี้มีประสิทธิภาพเพียงใด
หลินจินรู้สึกตื่นเต้นมาก จากนั้นเขาก็ดึงสติกลับมาและเรียกคนต่อไปให้เข้ามา “คนต่อไป”
ทันใดนั้น เสียงที่ลึกล้ำก็ร้องออกมา “ผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่ง มันช่างหายากเสียเหลือเกิน ทำไมท่านไม่ไปสนุกกับชีวิตในเมืองแต่มาที่นี่เพื่อทำงานหนักเช่นนี้แทนล่ะ”
คนที่พูดคือเว่ยชางหยง
เขามาถึงเมื่อนานมาแล้วและเฝ้าสังเกตอยู่ในความมืด อนิจจา อย่างที่เขาคาดเดา ผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งคนนี้เป็นพวกต้มตุ๋นอย่างแน่นอน