WS บทที่ 371 เดือนอันแสนสงบสุข PART 1
เมอร์ลินไม่ได้อยู่ในหอคอยตลอดเวลา เขาวางแผนที่จะทำในสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำมาก่อนหน้านี้แต่ไม่มีเวลาทำมันซะที แต่เขาลังเลว่าจะจะทำอะไรก่อนดี เนื่องจากเขามีเวลาแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น
อย่างแรกคือเมอร์ลินจะใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้ทั้งหมดในการปรุงน้ำยาโมครา เขาจะดื่มมันทันทีที่ปรุงยาเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถบริโภคดื่มมันสองสามชุดทีเดียวได้ มันจะทำให้การเติบโตของพลังจิตของเขานั้นไม่ชัดเจนและเพียงพอที่จะสร้างคาถาระดับสี่ได้
อย่างที่สองคือไปที่หอสมุดเพื่อแลกเปลี่ยนคาถาและความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถารวมถึงความรู้เกี่ยวกับอักษรรูนหรือแม้แต่การเล่นแร่แปรธาตุและปรุงยา จากนั้นเขาก็จะนำสิ่งของเหล่านี้กลับไปที่ปราสาทวิลสัน ถ้าเขาต้องการที่จะพัฒนาตระกูลวิลสันให้เป็นตระกูลนักเวทย์ เขาคงจะทำไม่ได้ถ้าเขาขาดของเหล่านี้
เมอร์ลินพิจารณาเป็นเวลานานก่อนจะลงมือ ท้ายที่สุด การปรุงและการดื่มน้ำยาโมครา มันต้องใช้เวลานานและเขามีเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขาจะไปกับพ่อมดลีโอเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่ป้อมปราการทรายดำในฐานะตัวแทนของดินแดนมนต์ดำ ดังนั้นเวลาแค่นี้จึงน้อยมาก
ส่วนเรื่องที่สองจะช่วยในการพัฒนาตระกูลวิลสัน เขามีพ่อมดแบมมูที่ดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่ปราสาทวิลสันและความรู้มากมายของเขา ทุกคนในตระกูลวิลสันจำเป็นต้องมีเวลาเติบโต ในอนาคต ตระกูลของเขาจะกลายเป็นตระกูลนักเวทย์ที่น่าเกรงขาม
แน่นอนว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นก็คือเมอร์ลินต้องมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีเขาตระกูลวิลสันจะกลายเป็นเป้าหมายสำหรับพ่อมดพเนจรที่หมายปองทรัพย์สมบัติที่เป็นของเขา
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เมอร์ลินก็ลุกขึ้นและไปที่หอสมุดทันที
…
ภายในหอสมุดผู้คนเดินเข้าออกไปมาเต็มไปด้วยความพลุกพล่านวุ่นวาย
ในดินแดนมนต์ดำ สถานที่แห่งนี้มีนักเวทย์มารวมตัวกันมากที่สุด นอกเหนือจาก ห้องโถงภารกิจก็จะเป็นหอสมุด นักเวทย์หลายคนจะไปที่หอสมุดเพื่อแลกกับสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ เช่น คาถา น้ำยา อุปกรณ์เวทมนต์และอื่น ๆ
เมื่อเมอร์ลินไปถึง หอสมุดเกือบทุกคนก็จ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว
“พ่อมดเมอร์ลิน!”
“พ่อมดเมอร์ลิน!”
“พ่อมดเมอร์ลิน!”
ระหว่างทาง นักเวทย์แทบทุกคนที่เมอร์ลินพบจะโค้งคำนับเขาเล็กน้อย แสดงถึงความเคารพที่พวกเขารู้สึกต่อเขา
ตอนนี้เมอร์ลินเป็นเพียงนักเวทย์ระดับสามและไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างหอคอยด้วยตัวเขาเองด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เขาได้เคลียร์ชั้นที่หกของหอคอยแห่งรูนแล้วและถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกในดินแดนมนต์ดำที่ทำเช่นนั้นได้!
ดังนั้น แม้แต่นักเวทย์ระดับสี่ พวกเขาก็ต้องสุภาพเมื่อพบเมอร์ลิน ในสายตาของนักเวทย์ระดับสี่ เมอร์ลินไม่ได้เป็นเพียงนักเวทย์ระดับสามอีกต่อไปแต่เป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังซึ่งเท่าเทียมกัน!
ในหอสมุดมีนักเวทย์มากมายที่ขานชื่อเมอร์ลินออกมาและโค้งคำนับอย่างเคารพในขณะที่พวกเขาทักทาย เมอร์ลินโค้งคืนเล็กน้อยซึ่งทำให้เขาล่าช้าไปบ้าง
เมอร์ลินสามารถไปถึงชั้นสองของหอสมุดได้หลังจากนั้นไม่นาน มีคาถามากมายที่นี่ตั้งแต่ระดับศูนย์ไปจนถึงคาถาระดับหก
ในบรรดคาถาเหล่านั้น ดินแดนมนต์ดำไม่ได้สนใจคาถาระดับศูนย์ถึงระดับสาม และสามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งเหล่านั้นได้ตามที่ต้องการ แม้ว่าจะมีนักเวทย์ที่นำคาถาพวกนี้ออกไป พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษโดยดินแดนมนต์ดำ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่คาถาระดับสี่เป็นต้นไป หากใครต้องการแลกเปลี่ยนคาถาเหล่านั้น เราจะต้องลงนามในสัญญา โดยสัญญาระบุว่าจะไม่เปิดเผยคาถาแห่งดินแดนมนต์ดำแก่บุคคลภายนอก
ก่อนหน้านี้ เมอร์ลินไม่เคยสัมผัสคาถาระดับสี่ อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาต้องการนำคาถาบางส่วนกลับไปยังตระกูลวิลสัน ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะแลกเปลี่ยนคาถากระดับหนึ่งเป็นระดับหก อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเขาจะประสบปัญหานี้
ถึงกระนั้น คาถาที่อยู่เหนือระดับสี่นั้นมีค่ามาก เป็นไปไม่ได้ที่องค์กรนักเวทย์จะจำหน่ายพวกมันอย่างง่ายดาย
สำหรับคาถาที่ต่ำกว่าระดับสี่ องค์กรนักเวทย์จะไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก มีพ่อมดพเนจรมากมายที่สามารถได้รับคาถาระดับศูนย์ถึงระดับสามจากองค์กรนักเวทย์
เมอร์ลินคิดเกี่ยวกับมัน เขาจะคิดหาวิธีอื่นในการได้รับคาถาเหนือระดับสี่ในอนาคต นอกจากนี้ คาถาระดับสี่ที่เมอร์ลินจะใช้ในอนาคตจะเป็นคาถาใหม่ที่ได้รับมาจากเดอะเมทริกซ์ เมื่อถึงจุดนั้น เขายังสามารถทิ้งบางส่วนไว้ให้ตระกูลวิลสันได้
อย่างไรก็ตาม เขาคิดไปไกลเกินไป เขาไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่ตระกูลวิลสันจะสร้างนักเวทย์ที่เหนือกว่าระดับที่สี่ อาจเป็นทศวรรษหรือหลายศตวรรษ ดังนั้นคาถาระดับศูนย์ถึงระดับสามจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับตระกูลวิลสันในตอนนี้
เมอร์ลินตรวจสอบแหวนมนต์ดำและพบว่าเขาได้รับแต้มสนับสนุนเพิ่มอีกหมื่นแต้มตามที่คาดไว้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ดินแดนมนต์ดำมอบแต้มสนับสนุนให้กับเขาหนึ่งหมื่นแต้ม เขาจะได้รับหนึ่งหมื่นแต้มทุกปีเป็นเวลาสิบปี
ด้วยแต้มสนับสนุนหนึ่งหมื่นแต้มเหล่านี้ เมอร์ลินสามารถแลกเปลี่ยนคาถาระดับศูนย์ถึงระดับสามของดินแดนมนต์ดำได้อย่างอิสระ เขาจะต้องได้รับคาถาทุกธาตุ ไม่ว่าจะเป็นธาตุไฟ, สายฟ้า, ลม, น้ำ, ดิน, น้ำแข็งและความมืดเป็นต้น
แน่นอน เมอร์ลินไม่อาจล้างคลังคาถาในดินแดนมนต์ดำได้ มันมีคาถานับแสนที่จัดเรียงไว้อย่างใกล้ชิดบนชั้นหนังสือ ด้วยคาถามากมาย แม้ว่าเมอร์ลินจะมีหนึ่งหมื่นแต้มแต่เขาไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับมันทั้งหมดได้
ดังนั้น เมอร์ลินจึงเลือกแต่คาถาที่ค่อนข้างครอบคลุมและทรงพลังจากแต่ละธาตุ โดยเลือกคาถาทั้งหมดสองสามร้อยเล่ม ทั้งหมดนี้ใช้ไปแล้วสองสามพันแต้มสนับสนุน
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสร้างคาถาเหล่านี้ได้ทันที นักเวทย์หลายคนจะต้องสร้างคาถาตั้งแต่เริ่มต้นตามระดับของตนเอง
นี่เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างนักเวทย์องค์กรกับพ่อมดพเนจร พ่อมดพเนจรได้รับเพียงคาถาแต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถา ในกรณีนี้ หลังจากได้รับคาถา พวกเขาจะสร้างขึ้นตามตำราโดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร
ผลที่ตามมาของพฤติกรรมนี้คือ หลังจากที่สร้างโครงสร้างคาถาหลายแบบแล้ว นักเวทย์หลายคนค้นพบว่าโครงสร้างคาถาเหล่านี้ในจิตใต้สำนึกไม่เสถียร เป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้
สำหรับนักเวทย์องค์กร พวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คาถาจะต้องได้รับการวิเคราะห์และสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น โดยอิงจากสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเองเท่านั้นมันจึงจะเสถียรและป้องกันไม่ให้พังทลายในอนาคต
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่โครงสร้างคาถาไม่เสถียรจะเกิดขึ้นในหมู่นักเวทย์ในองค์กรนักเวทย์ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้พวกเขามีโอกาสสูงที่จะเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งขึ้น!
เมอร์ลินรู้ดีว่าองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของคาถาอยู่ในการก่อสร้าง ดังนั้นเขาจึงแลกเปลี่ยนความรู้มากมายเกี่ยวกับการสร้างคาถาในดินแดนมนต์ดำ นอกจากคาถาแล้ว ยังต้องมีความรู้เพื่อสร้างคาถาอีกด้วย
เขาไม่ต้องการให้นักเวทย์ของตระกูลวิลสันในอนาคตจะไม่สามารถกลายเป็นนักเวทย์ระดับสูงได้เนื่องจากความไม่เสถียรของโครงสร้างคาถา
ด้วยความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถาและคำแนะนำของนักเวทย์ระดับเจ็ดเช่นพ่อมดแบมมู มันจะเป็นรากฐานที่มั่นคงสามารถวางลงสำหรับการพัฒนาในอนาคตของตระกูลวิลสันได้!
นอกจากความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถาแล้ว เมอร์ลินยังได้แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับอักษรรูน การเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยาต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากที่สุด ตระกูลวิลสันต้องการชุดความรู้ที่ครอบคลุมเพื่อพัฒนาเป็นตระกูลนักเวทย์ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเมอร์ลินเป็นนักเวทย์แห่งดินแดนมนต์ดำ มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเข้าถึงความรู้ดังกล่าวสำหรับตระกูลวิลสัน
นอกจากนี้ เนื่องจากความรู้นี้เป็นระดับพื้นฐาน ดินแดนมนต์ดำจึงไม่มีเข้มงวดมากนัก ทำให้สามารถแพร่กระจายไปทั่วได้
ความรู้พื้นฐานในด้านต่าง ๆ นี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เมอร์ลินเตรียมไว้สำหรับตระกูลวิลสัน บางทีในอนาคตอันใกล้นี้ ความรู้ดังกล่าวจะช่วยให้ตระกูลวิลสันผลิตนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูน, ปรุงยาและการเล่นแร่แปรธาตุออกมาได้มากมาย
และสุดท้าย เมอร์ลินก็แลกกระดาษสัญญา นี่เป็นสิ่งของที่จำเป็นสำหรับเมอร์ลินเพื่อขยายตระกูลวิลสันให้ได้มากที่สุด!
นี่เป็นเอกสารสัญญาประเภทที่ง่ายที่สุด แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะผูกมัดนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับที่เจ็ด สำหรับนักเวทย์ที่อยู่เหนือระดับเจ็ด ใครจะรู้ว่าอีกกี่ปีกว่าที่ตระกูลวิลสันจะสร้างนักเวทย์ที่ทรงพลังเช่นนั้นได้? เมื่อถึงจุดนั้น เมอร์ลินจะคิดหาวิธีที่จะได้รับกระดาษสัญญาที่สูงกว่าอันเดิมเล็กน้อย
"ฉันจะลองแลกของพวกนี้ก่อน!”
เมอร์ลินมองดูสิ่งของที่เขาแลกเปลี่ยน สิ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นตำราคาถาและความรู้พื้นฐานอื่น ๆ และจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเติบโตในระยะยาวของตระกูลวิลสัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ่อมดชุดสีเทาในหอสมุดคำนวณแต้มสนับสนุนที่จะแลกพวกมัน หัวใจของเมอร์ลินก็เจ็บปวด เป็นเพราะสิ่งของเหล่านี้ทำให้เขาเสียแต้มสนับสนุนไปเกือบ 9,000 แต้ม
แต้มสนับสนุนหนึ่งหมื่นแต้มที่เขาเพิ่งได้รับนั้นลดลงเหลือเพียงพันกว่าแต้มในพริบตา
พ่อมดชุดสีเทารู้สึกยินดีกับการทำธุรกรรมครั้งใหญ่เช่นนี้ ยิ่งใช้แต้มสนับสนุนมากเท่าไร รางวัลที่พวกเขาได้รับในห้องโถงภารกิจก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าการใช้แต้มสนับสนุนเกือบ 9,000 แต้ม เหล่านี้จะทำให้เมอร์ลินเจ็บปวด แต่ความคิดที่ว่าสิ่งของเหล่านี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งในอนาคตของตระกูลวิลสัน เขาก็สามารถสงบอารมณ์ของเขาได้
เขายังมีความรู้สึกว่าราคาเกือบ 9,000 แต้มนี้คุ้มค่ามาก ถ้าเขาสามารถ ‘สร้าง’ ตระกูลนักเวทย์โดยใช้เงินจำนวนนี้ มันก็คุ้มค่ามาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ตระกูลนักเวทย์ต้องการคือเวลา ไม่มีใครสามารถสร้างตระกูลนักเวทย์เพียงแค่อาศัยความรู้พื้นฐานหรือนักเวทย์ที่ทรงพลัง เมอร์ลินรู้ดีว่าการที่ตระกูลวิลสันสามารถพัฒนาเป็นตระกูลนักเวทย์ได้อย่างแท้จริง จะต้องยืนอยู่ได้ แม้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยร้อยปีเป็นอย่างต่ำ
หลังจากที่เขาทำธุรกรรมเสร็จสิ้น เมอร์ลินก็มุ่งหน้ากลับไปที่หอคอย เขาจำเป็นต้องบอกลาพ่อมดลีโอ
เมอร์ลินไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยทันทีและกล่าวออกมาเบา ๆ “พ่อมดลีโอขอรับ เมอร์ลินเองขอรับ!”
"เข้ามา"
เสียงของพ่อมดลีโอมาจากภายในห้อง เมอร์ลินผลักประตูเข้าไป และเห็นร่างของพ่อมดลีโอ ปัจจุบันพ่อมดลีโอยังผอมเท่าไม้ขีดไฟและดูเหมือนโครงกระดูกที่มีผิวหนัง นอกจากดวงตาแนวตั้งสีแดงเลือดที่หน้าผากแล้ว เขายังดูน่ากลัวอีกด้วย
เมอร์ลินรู้ดีว่านี่เป็นผลกระทบที่หลงเหลือจากการกระตุ้นรูปแบบที่สี่ของดวงตาแห่งความมืดเมื่อตอนที่เขาอยู่ในเมืองอิมพีเรียล
ดวงตาแห่งความมืดเป็นพลังต้องสาป การบังคับให้ใช้รูปแบบที่สี่เห็นได้ชัดว่าพ่อมดต้องแลกมันด้วยราคาที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จ่ายราคานี้และได้รับน้ำตาแห่งพระเจ้า พ่อมดลีโอก็ไม่สามารถแก้ไขความผิดปกติของดวงตาแห่งความมืดได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง