MDB ตอนที่ 5 การประเมินสัตว์วิเศษที่ชนบท
หลินจินแบกสัตว์เลี้ยงที่เขาทำพันธสัญญาโลหิตอย่าง เสี่ยวฮั่ว ไปตลอดการเดินทาง เขาขอให้จ้าวหยิงช่วยระบุสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอาการป่วยของเสียวฮั่วแต่เด็กสาวบอกได้เพียงว่ามันอยู่ในภาวะหิวโหยเท่านั้น เธอยังถามเขาอีกว่าทำไมเขาไม่ให้อาหารมัน
หลินจินรู้สึกหนักใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการให้อาหารมันแต่เขาทำไม่ได้ เนื่องจากเสี่ยวฮั่วไม่ต้องการกินอาหาร
เหตุผลอาจเป็นเพราะเสี่ยวฮั่วได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร มันไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำที่เขาได้รับเช่นกัน แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขามีพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เขามีวิธีการรักษาหลายสิบวิธีและหนึ่งในนั้นก็มั่นใจว่าจะรักษาสัตว์เลี้ยงของเขาได้
ตอนนี้หลินจินไม่มีเงินติดตัว ดังนั้นเขาจึงขอยืมบางส่วนจากจ้าวหยิง เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง เขาจะรีบไปซื้อส่วนผสมยาทันที
...
สมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล
“รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง? เรื่องที่ผู้ประเมินหลินกับจางเฮอได้มีการประลองการประเมินสัตว์วิเศษในที่สาธารณะน่ะ…”
“หลินจิน? หลินจินคนที่ประเมินพลาดคนนั้นน่ะเหรอ นี่เขายังอับอายไม่พอหรือไง?”
"ถูกต้อง แล้วเจ้าคิดว่าใครชนะ?”
“ถึงหลินจินเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งแต่ทุกคนรู้ว่าเขาไร้ความสามารถ ถ้าเขาแข่งขันกับเด็กฝึกหัดคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จางเฮอ ชัยชนะก็เป็นของหลินจินอย่างแน่นอน ท้ายที่สุด อูฐผอมบางก็ยังใหญ่กว่าม้า แต่จางเหอไม่ใช่เด็กฝึกงานทั่ว ๆ ไป เขาอยู่ในอันดับที่สาม ในบรรดาเด็กฝึกงานที่ได้รับการประเมินครั้งล่าสุด เด็กฝึกหัดทั้งสามอันดับแรกมีคะแนนมากกว่าหลินจิน นอกจากนี้ หัวหน้าหวังจีให้คำชี้แนะจางเฮอเป็นการส่วนตัวอีกด้วย ทำให้เขามีทักษะที่เหนือล้ำอย่างรวดเร็ว ความสามารถของเขาต้องเหนือกว่าหลินจินอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจ เขาคงจะไม่คิดท้าแข่งขันกับหลินจินหรอก ดังนั้นข้าจึงเดาว่าจางเฮอเป็นฝ่ายชนะ”
"ผิดแล้ว หลินจินเป็นฝ่ายชนะ…และอีกอย่างในระหว่างการแข่งขันนี้ค่อนข้างน่าตื่นเต้น…”
"อะไรนะ? จางเฮอพบว่าสัตว์วิเศษมีสายเลือดที่ซ่อนอยู่? นี่เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทำไมเขาถึงยังแพ้ล่ะ?”
“นี่เรื่องจริงเหรอ? คิดว่าหลินจินสามารถบอกสายเลือดที่ซ่อนอยู่ได้หรือ มันไม่แปลกเกินไปเหรอ?”
“เขาคงจะโชคดีจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่าเขาได้รับการรับรองเพราะโชคเข้าข้างเขา เขาได้รับการทดสอบจากคำถามที่เขาศึกษา ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่ได้รับการรับรองแม้จะผ่านไปสิบปี”
ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินจินและจางเฮอแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่าและกลายเป็นที่พูดถึงกันทั้งเมือง
“จางเฮอแพ้หลินจินจริงหรือ?” ภายในโรงน้ำชาอันวิจิตรงดงาม หญิงสาวผู้สง่างามขมวดคิ้วขึ้นมา เธออยู่ข้างสัตว์เลี้ยงของเธอ มันเป็นงูเหลือมสีงาช้างยาว 3 เมตร มันใหญ่โตจนหนาเท่าเอวมนุษย์ มันที่พ่นเสียงฟู่เพื่อตอบสนองต่อความไม่พอใจของเจ้าของ
ฝั่งตรงข้ามคือลูกน้องของเธอซึ่งได้รับการว่าจ้างเป็นพิเศษให้เป็นคนส่งข่าวของเธอ
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นโบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอออกไป จากนั้นเธอก็โน้มตัวไปข้างหน้าในท่าที่สบายแต่มีเสน่ห์ ร่างกายที่โค้งมนของเธอราวกับงูที่สวยงาม เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงของเธอ
เจียเฉียนเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษฝึกหัดของสมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล เธอได้อันดับหนึ่งในการประเมินของสมาคมซึ่งคะแนนของเธอห่างไกลกว่าหลินจินหลายปีแสง
ด้วยชื่อเสียงและความงามของเธอที่ส่องประกาย ทำให้สถานะของเธอตอนนี้เทียบเท่ากับผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่ผ่านการรับรอง ผู้คนคิดว่าด้วยทักษะและความรู้ของเธอในการประเมินสัตว์วิเศษ เธอสามารถเอาชนะหลินจินผู้ที่โด่งดังได้
“หลินจินเอ๋ย ข้ารู้ถึงความสามารถของเจ้าดีที่สุด เราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ถ้าข้าไม่ล้มป่วยและก่อนวันสอบ เจ้าจะผ่านการประเมินได้อย่างไร?”
เมื่อนึกถึงอดีตของเธอ เจียเฉียนกัดฟันของเธอ
เธอเกลียดหลินจิน
ในปีเดียวกันนั้น เธอได้เข้าร่วมในการสอบเดียวกันกับหลินจิน อนิจจา เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เธอจึงล้มเลิกการสอบ เช่นเดียวผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่หลายคนประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน ส่งผลให้หลินจินได้เปรียบอย่างล้นหลาม
ด้วยเหตุนี้ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของหลินจิน จากนั้นมันก็แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
แม้เจียเฉียนอาจจะมุ่งมั่นในการสอบในครั้งถัดไปแต่ก็เธอก็พลาดถึงสองครั้งซ้อน นั่นทำให้เธอเสียศูนย์ เช่นเดียวกับคนที่พลาดโอกาสที่จะไปถึงยอดเขา เส้นทางเดียวของพวกเขาคือการมุ่งหน้ากลับลงไป
และเจียเฉียนตอนนี้กำลังตกต่ำ
เธอปฏิเสธที่จะทบทวนตัวเองและโยนความผิดให้หลินจินแทน
ตอนนี้ การเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการคือความมุ่งมั่นของเธอ ทางลัดที่จะไปที่นั่นคือการขอคำแนะนำจากสาขาในพื้นที่ ด้วยวิธีนี้ เธอสามารถทำให้ผลการสอบครั้งสุดท้ายของเธอที่ขาดไปหนึ่งคะแนนเพิ่มขึ้น เมื่อได้รับการเสนอ มันจะกลายเป็นข้อยกเว้นและทำให้เธอกลายเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ
อย่างไรก็ตาม การได้รับคำแนะนำจำเป็นต้องมีข้อกำหนดเบื้องต้น
เฉพาะในกรณีนี้มีแค่หัวหน้าสมาคมเท่านั้นจึงจะสามารถรับรองได้ ตอนนี้ทางหัวหน้าหวังจีสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ ดังนั้นตอนนี้เธอเพียงแค่ขับไล่หลินจินออกไปหรือไม่ก็คิดหาทางทำให้เขาพลาดพลั้งเพื่อใบอนุญาตของเขาจะถูกเพิกถอน นั่นคือกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่ความสำเร็จ
ภายในสมาคมเมืองเมเปิล มีเพียงสองตำแหน่งสำหรับผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการ นอกจากหลินจินแล้ว อีกคนคือเกาเจียงซึ่งเป็นนายน้อยของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองเมเปิ้ล นั่นคือตระกูลเกา
ตระกูลเกามีรากฐานที่ลึกซึ้งภายในเมืองและมีอิทธิพลมหาศาล แม้แต่หัวหน้าหวังจียังต้องสุภาพเมื่อพบหน้ากับผู้อาวุโสตระกูลเกา ดังนั้นคนอย่าง หลินจินที่ไม่มีการสนับสนุนหรือภูมิหลังธรรมดา ๆ จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับเจียเฉียนและหวังจี เขาได้กลายเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางสู่ความรุ่งโรจน์ของเธอ
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไป การอาศัยโชคในการประเมินสัตว์วิเศษเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน อุบัติเหตุจากการประเมินครั้งก่อนได้รับแจ้งเบื้องบนของสมาคมแล้ว ราว ๆ ครึ่งเดือน ทางการจะส่งผู้ตรวจสอบมาและใบรับรองของหลินจินจะถูกเพิกถอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นข้าต้องรออีกสองสัปดาห์เท่านั้น
แถมหลินจินถูกส่งไปยังหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่งเพื่อประเมินสัตว์วิเศษซึ่งเป็นงานที่ไม่คุ้มค่า ถ้าเขาประเมินน้อยเกินไป จะทำให้คนในพื้นที่ผิดหวัง ถ้าเขาประเมินมากเกินไป… ฮึ่ม! ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็มีเพียงสองคน คนหนึ่งเป็นสาวน้อยมือสมัครเล่น พวกเขาจะสามารถประเมินสัตว์วิเศษได้กี่ตัวกัน พวกเขาคงจะตายจากความอ่อนเพลียเป็นแน่แท้
ถ้าพวกเขาทำได้ไม่ดีก็จะเป็นที่ไม่พอใจต่อคนในหมู่บ้านอีก ด้วยเหตุการณ์นี้จะกลายการสาดเกลือบนแผลสด หึหึ ไม่นานจุดจบของหลินจินคงจะมาถึงแล้ว
เมื่อพูดถึงการทรมานผู้คน หัวหน้าหวังจีนั้นเก่งเสียจนหาที่เปรียบมิได้อย่างแท้จริง”
...
การประเมินสัตว์วิเศษในชนบทเป็นงานที่หนักหน่วงและน่าเบื่อ แม้แต่เด็กฝึกงานก็ไม่อยากรับงานนี้เพราะว่ารายรับนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงกายที่ต้องเสียไป
ถ้าาเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งอย่าง หลินจิน เขาไม่จำเป็นต้องทำงานดังกล่าวแต่ในความพยายามของหวังจีที่จะเล่นงานเขา หวังจีมักจะทิ้งงานสกปรกทุกอย่างให้เขาโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร
ขณะที่เธอมองดูแถวที่ยาวเยียดที่ไม่มีที่สิ้นสุดข้างหน้า จ้าวหยิงก็รู้สึกชาที่หนังศีรษะของเธอ
พวกเขาควรจะประเมินสัตว์วิเศษบนถนนในหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง และสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน สมาคมประเมินสัตว์วิเศษได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น โดยที่การประเมินสัตว์วิเศษแต่ละตัวจะใช้ 40 เหรียญทองแดงเท่านั้น ดังนั้น เหตุการณ์เหล่านี้มักจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากที่ต้องการให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขาได้รับการประเมิน โดยปกติจะมีเด็กฝึกหัดอย่างน้อยหกหรือเจ็ดคนตามไปด้วย แต่คราวนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้น ลืมไปได้เลยว่าครึ่งวันพวกเขาจะทำการประเมินเสร็จ แม้ว่าจะอยู่อีกเดือนก็ไม่รู้ว่าจะประเมินเสร็จหรือไม่
“ผู้ประเมินหลิน ท่าน…ท่านเคยทำให้หัวหน้าหวังจีขุ่นเคืองมาก่อนหรือไม่?” จ้าวหยิงไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นที่เอ่อล้นของเธอได้อีกต่อไปและถามด้วยเสียงเล็ก ๆ
หลินจินส่ายหัว
จากความทรงจำของเขา เจ้าของร่างคนเก่าของเขามีความเคารพต่อหวังจีมากและไม่เคยโกรธเคืองชายผู้นี้
ทว่าแถวพวกนี้ มันช่างน่ากลัวจริง ๆ
ชาวบ้านที่สิ้นหวังต่างอุ้มหรือลากสัตว์เลี้ยงที่ถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอรับประเมินอย่างซื่อสัตย์ เมื่อมองแวบเดียว สถานที่แห่งนี้ก็แน่นเหมือนปลาซาร์ดีนในกระป๋อง เสียงพูดคุยที่ประสานกันด้วยเสียงอึกทึกของสัตว์วิเศษในอากาศ ช่างเป็นเสียงทำให้ชวนอึดอัด
เนื่องจากเขาอยู่ที่นี่ เขาจะพยายามทำให้ดีที่สุด
หลินจินไม่เคยคิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับการประเมินสัตว์วิเศษแต่ด้วยพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเขา นี่ควรจะเป็นเรื่องกล้วย ๆ
โดยใช้เงินที่เขาให้ยืมมาก่อนหน้านี้ เขาค้นหาวิธีการรักษาของเสี่ยวฮั่วที่เขียนไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ เขาเลือกใบสั่งยาที่พอจะทำได้ ซื้อส่วนผสมยาและทำยาเม็ดจากมัน
แม้ว่าเสี่ยวฮั่วจะไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่ดีเลิศแต่เจ้าตัวเล็กก็มีพันธสัญญาโลหิตกับเขา ดังนั้นหลินจินต้องดูแลมันอย่างดี
การอัดเม็ดยาเป็นทักษะพื้นฐานของผู้ประเมินสัตว์วิเศษ แต่น่าเสียดายที่หลินจินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร โชคดีที่จ้าวหยิงอยู่ที่นี่ หลินจินสามารถขอให้เด็กฝึกงานคนนี้ทำยาแทนเขา ในขณะที่เขาทำการประเมินสัตว์วิเศษ
วิธีการประเมินของเขาไม่เหมือนใคร เขาไม่ได้ใช้ยันต์หรือตราประทับ เขาใช้มือสัมผัสศีรษะของสัตว์วิเศษเท่านั้นแล้วยกปากกาขึ้นเพื่อจดรายงานการประเมินของเขา
ความเร็วดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ