บทที่ 109 เริ่มการสังหารหมู่
“นายน้อยท่านใจเย็นๆก่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิตเอง” เงาเยือกเย็นเอ่ยออกพร้อมหันไปใช้ปราณน้ำแข็งปิดปากแผลห้ามเลือดให้แก่สหายของมัน
“เจ้าอัคคีพวกเราต้องช่วยกัน อาศัยข้าคนเดียวคงไม่มีทางหลบพ้นก้อนหินทั้งหมดได้แน่” สิ้นคำกล่าวนั้นทั้งสามทะยานร่างถอยหลบก้อนหินทีละก้อนด้วยความยากลำบาก
แต่ด้วยประสบการณ์ต่อสู้นับร้อยๆปีของพวกมันแล้วการจะเอาตัวรอดและรอจนกว่ากำลังเสริมของพวกมันตามมาช่วยเหลือได้ทันละก็ คงจะพอเป็นไปได้มากกว่าการจะหาจุดวางอาคมประดิษฐ์และทำลายมันทิ้ง
ทั้งสามหลบหนีอย่างจวนเจียนอยู่ราวๆ30-40ลมหายใจ กลุ่มคนของนิกายเคลื่อนเมฆาก็ได้ตามมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที
แม้ในเขตแดนอาคมประดิษฐ์พวกมันจะถูกกดพลังลงไปถึง2ดินแดนแต่ด้วยจำนวนผู้ฝึกตนที่มากกว่าจำนวนลูกหินแล้วมันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำลายค่ายกลนี้ทิ้ง
เวลาเดียวกับที่หรงจื่อและพวกหลุดพ้นออกมาจากลูกหินยักษ์นับสิบๆก้อน ร่างของหลี่เฟิง เฉียนหยางและมู่เสวี่ยได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกมันทั้งสามได้แต่กวาดสายตามองหาร่องรอยด้วยความเคียดแค้น
…..
เวลาเดียวกันในทิศทางที่ห่างออกไปไม่มากนัก เงาสีดำสองร่างทะยานอยู่เหนือหมู่ต้นไม้ๆนานาชนิด
“จะ...เจ้าล่วงรู้ถึงเส้นทางเดินพวกนี้ได้อย่างไรกัน!!??”หมิงหยูรีบกล่าวถามด้วยความสงสัยในขณะที่สองเท้าของนางไม่ได้หยุดก้าวตามหลังหนิงเทียนเลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก“เจ้าคิดว่ายาพิษของเจ้าทำให้ข้าสลบได้จริงๆนะหรือ? แต่เอาเถอะอย่าพึ่งได้สงสัยอะไรตอนนี้เลย
ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิดเวลานี้กลุ่มของหัวหน้าหลี่คงจะปะทะกับพวกดาบอัปลักษณ์หรงจื่ออยู่ที่ชายป่ารกร้าง ส่วนกองทัพของขุนพลอัคคีก็คงจะว่ายน้ำเล่นอยู่ในน้ำตกแน่นอน”
“ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนั้น แล้วทำไมถึงยังต้องการไปที่ค่ายของพวกมันอีก พวกเราไปถึงแล้วจะไม่เจอแต่เพียงค่ายที่ว่างเปล่าหรอกหรือ” หมิงหยูกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจในความคิดของชายผู้นี้แม้แต่น้อย
“นั้นสิถึงจะเป็นเรื่องดี ยิ่งว่างเปล่ามากเพียงใด พวกเรายิ่งจะประหยัดแรงได้มากเท่านั้นและถ้าเจ้ามีเวลาว่างที่จะคิดถามถึงเรื่องพวกนี้แล้วละก็ข้าว่าเจ้าเอาเวลาไปตั้งสมาธิอยู่กับท่าเท้าของเจ้าจะดีกว่า”
สิ้นคำกล่าวของหนิงเทียน มันรีบพุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหนิงเทียนพุ่งตัวออกไปแล้ว หมิงหยูที่เดินตามอยู่ด้านหลัง มองไปยังหนิงเทียนด้วยดวงตาที่หรี่แคบลง
แม้ตัวของหมิงหยูเองจะมีพลังในระดับดินแดนนักรบเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรตัวนางก็สมควรที่จะต้องมีความเร็วมากกว่าหนิงเทียนที่เป็นเหมือนเช่นคนพิการทางลมปราณ
แต่ไม่ว่าหมิงหยูจะพยามหรือเร่งความเร็วถึงเพียงใดถ้าหากหนิงเทียนไม่หยุดรอแล้วละก็ ตัวนางไม่มีทางไล่ตามหนิงเทียนทันได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
ใช้เวลาอยู่ไม่นานทั้งสองพุ่งร่างตรงมายังทะเลสาบเขียวขจีอันเป็นที่พักของกองทัพอัคคีและผู้ฝึกตนนิกายเคลื่อนเมฆา
หนิงเทียนกวาดสายตามองเข้าไปภายใน มันมองผ่านไปยังเวรยามที่คอยทำหน้าที่คุ้มกัน “หนึ่ง สอง ....หก เจ็ดคน มีเวรยามคุ้มกันเหลือเพียงเจ็ดคนเท่านั้นอีกทั้งยังเป็นเพียงแดนแห่งปราชญ์ขั้นแรกอีกด้วย
หรงจื่อ เจ้าช่างประมาทเสียงจริง” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือนำโอสถเก้านิทราออกมา มันใช้มือขวากำแน่นจนกลายเป็นผงจากนั้นมันโปรยออกไปในทิศทางเดียวกับลม
ใช้เวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ร่างของทหารยามทั้งเจ็ดคนล้มพับลงกับพื้นทันที
“นะ....นะ นั้นเจ้าใช้พิษอะไรกันเพียงแค่สูดดมเข้าไปเท่านั้นกับออกฤทธิ์รวดเร็วถึงเพียงนี้??”หมิงหยูที่มองดูการกระทำของหนิงเทียนอย่างเงียบๆอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
ตัวของหมิงหยูเองก็เป็นผู้ใช้พิษด้วยเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะทนความอยากรู้อยากเห็นนี้ไม่ได้
“อย่าได้คิดเอาพิษของข้าไปเปรียบเทียบกับพิษหนอนดักแด้ของเจ้า” เมื่อหนิงเทียนมองไปยังสายตาที่เป็นประกายของหมิงหยูมันระบายลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวต่อว่า
“เอาเถอะถ้าเจ้ามีชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ ข้าจะสอนเจ้าปรุงโอสถนิทราชนิดรุนแรงสักครั้งแล้วกัน
แต่ตอนนี้เจ้าจงนำสิ่งนี้ไปใส่ให้ทั่วทั้งค่ายของนิกายเคลื่อนเมฆา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สุราและน้ำดื่มหรือแม้แต่น้ำในทะเลสาบเจ้าก็อย่าได้เว้น และเรื่องนี้ห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาดเพราะมันสำคัญต่อแผนการของข้ามาก”
กล่าวจบหนิงเทียนโยนขวดโอสถที่บรรจุของเหลวบางอย่างให้แก่หมิงหยู
หมิงหยูรับขวดหยกมาด้วยสีหน้าสงสัย “ถ้ามันสำคัญกับเจ้ามากแล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ทำมันด้วยตัวเองละ?”
หนิงเทียนหรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวออกด้วยเสียงเย็น “ข้าจะไปสร้างความวุ่นวายให้กองทัพอัคคีที่เลื่องชื่อลือชา เสียหน่อย”
หมิงหยูได้ฟังคำกล่าวของหนิงเทียนแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ“เจ้า...เจ้าบ้าไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้ค่ายของขุนพลอัคคีจะเหลืออยู่เพียงสิบกว่าคนก็ตาม
แต่ข้าแน่ใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นถึงทหารในดินแดนแห่งปราชญ์อย่างแน่นอน ละ..แล้วเจ้าที่พิการลมปราณจะสามารถเข้าไปก่อกวนพวกมันได้อย่างไรกัน อีกทั้งที่ตั้งค่ายของกองทัพอัคคีนั้นอยู่เหนือลม พิษของเจ้าไม่สามารถใช้ได้แน่นอน”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องไปสนใจ ตัวเจ้ามีหน้าที่เดียวคือทำตามในสิ่งที่ข้าสั่ง และจงจำไว้ให้ดีอย่าได้สร้างความเสียหายใดๆให้แก่ค่ายของนิกายเคลื่อนเมฆาเด็ดขาด
ไปได้แล้วเจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นก่อนที่พวกมันจะตื่นขึ้น” สิ้นคำสั่งการ หนิงเทียนก้าวเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
จากนั้นหนิงเทียนสะบัดมือเพียงครั้งเดียว พิรุณโปรยศาสตราวุธคู่ใจของมันปรากฏขึ้นในมือของมัน ‘เพื่อนยากเจ้าไม่ได้ดื่มเลือดมานานแล้วคงจะเหงามากสินะ ไม่ต้องห่วงวันนี้ข้าจะละเลงโลหิตของศัตรูให้ชะโลมไปทั่วร่างของเจ้า’
กี๊ดๆ!!! เสียงของปลายกระบี่ลากยาวไปกับพื้น มันกรีดร้องดังออกมาอย่างน่าหวาดกลัว ตามทางที่พิรุณโปรยถูกลากไปกับพื้นปรากฏร่องรอยของชั้นน้ำแข็งบางๆไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ปลายกระบี่ที่ถูกลากไปกับพื้นส่งเสียงดังเรียกความสนใจของเหล่าทหารในค่ายได้เป็นอย่างดี จนทำให้เวลานี้ทหารพวกนั้นมุ่งตรงมายังต้นตอของเสียงเป็นทางเดียวกัน
ทหารนายหนึ่งกล่าวออกมา“เจ้าเป็นใคร!! กล้าดียังไงถึงบุก.....” ยังไม่ทันจะได้กล่าวจบประโยคดี ศีรษะของมันก็ลอยหลุดออกจากร่างไป โลหิตที่ไหลพุ่งราวกับน้ำพุกำลังถูกแช่แข็งอยู่กลางอากาศราวกับว่ามันเป็นปะติมากรรมสีเลือดอันงดงาม
“ถ้าพวกเจ้าคิดจะสาปแช่งใครละก็ ให้ไปกล่าวโทษแก่หัวหน้าของตัวเองที่ไม่ยอมพาพวกเจ้าไปร่วมสำรวจเส้นทางด้วย” สิ้นเสียงกล่าว หนิงเทียนสะบัดพิรุณโปรยออกอีกครั้ง เสียงกู่ร้องของมังกรวารีดังสนั่นออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
ณ. สายธารเขียวขจีที่เคยเงียบสงบแต่ในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของมนุษย์ดังระงมจนไม่สามารถฟังออกมาเป็นศัพท์ได้
เศษชิ้นเนื้อและอวัยวะของมนุษย์กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น สายน้ำที่เคยเป็นสีเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
ทหารในชุดเกราะสีแดงเพลิงนับสิบคนยืนล้อมรอบเด็กหนุ่มผู้ไร้ซึ่งลมปราณผู้หนึ่ง พวกมันรายล้อมเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สายตาของพวกมันเหลือบมองร่างของสหายที่ถูกแยกออกจนกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อจากคมกระบี่ในมือของเด็กหนุ่ม บัดนี้สองขาที่องอาจของพวกมันกลับค่อยๆเสือกเท้าก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
ชายร่างผอมสูงในชุดคลุมสีแดงกลางหน้าอกของมันปักไปด้วยรูปเปลวเพลิงสีดำตัดกับเสื้ออย่างชัดเจน ดูจากตำแหน่งและท่าทางแล้วหนิงเทียนสามารถบอกได้ว่า
เวลานี้ชายร่างผอมน่าจะมีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในหมู่ของศัตรูและก็เป็นอย่างที่มันคาดคิด เมื่อชายร่างผอมคนนั้นกล่าวสั่งการทหารของมันออกมา ว่า
“อย่า...อย่าไปกลัวศัตรูเด็ดขาด มันมีเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเจ้าจงตั้งสติให้ดี และอย่าได้คิดว่ามันเป็นเพียงมนุษย์พิการอีกต่อไป จงคิดเสียว่า
เจ้ากำลังต่อสู้กับผู้ฝึกตนในแดนวีรชนคนหนึ่ง จงอย่าได้หลงกลไปกับความอ่อนแอที่มันปล่อยออกมาและใช้ความอ่อนแอนั้นสร้างความกลัวในใจของพวกเจ้าเด็ดขาด”
ชายร่างผอมในชุดคลุมสีแดงรีบกล่าวปลุกขวัญกำลังใจของเหล่าทหารโดยเร็ว และที่มันพูดออกนั้นก็ไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย
การที่หนิงเทียนสามารถสังหารทหารในแดนแห่งปราชญ์ขั้นแรกได้อย่างง่ายดายเป็นเพราะความตกตะลึงปนความหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งพิษภัย
ถ้าจะให้เปรียบละก็ มันก็เหมือนกับมดตัวหนึ่งที่อยู่สามารถกัดหมาป่าตายได้ภายในเขี้ยวเดียว
แม้มันจะสามารถสร้างปาฎิหาริย์สังหารหมาป่าได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่สามารถหนีพ้นจากความจริงไปว่ามันคือมดได้
เมื่อกลุ่มของทหารในชุดเกราะสีแดงได้ยินดังนั้น ใบหน้าของมันเริ่มที่จะมีความกล้าขึ้นมา สองขาที่กำลังสั่นและก้าวถอยอย่างลืมตัวหยุดชะงักลงในทันที
“หืมม์ดูเหมือนว่า ขุนพลอัคคีแห่งเมืองจี้จะพอมีความสามารถมากกว่าเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างหรงจื่อเสียอีก”
การที่จี้ซวนทิ้งคนที่มีสติและสามารถปลุกขวัญกำลังใจของทหารเช่นนี้ไว้เฝ้าค่ายของมันก็สามารถบอกได้ถึงความรอบครอบในการศึกของมันได้แล้ว
ซึ่งนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างหรงจื่อที่ทิ้งเพียงผู้ฝึกตนปลายแถวในระดับปราชญ์ขั้นแรกเพียงเจ็ดคน ไว้คอยปกป้องค่ายของตัวเอง
“หนุ่มน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่!!?? ข้าแน่ใจว่าพวกเรากองทัพอัคคีไม่เคยมีความโกรธแค้นกับเจ้ามาก่อน” ชายร่างผอมกล่าวออกอย่างระวังขณะที่สองมือของมันที่ไขว้อยู่ด้านหลังกำลังทำบางสิ่งกับหยกสื่อสารอยู่
“เจ้าต้องการรู้ชื่อของข้า หรือต้องเจ้าต้องการถ่วงเวลากันแน่?” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มที่รู้เท่าทัน
“นับว่าเจ้าฉลาดไม่เบา แต่มันสายไปแล้ว ตั้งแต่ที่เจ้าก้าวเข้ามา ข้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจึงได้ส่งสัญญาณกลับไปยังทัพหลักแล้ว
อีกไม่เกิน1เค่อเจ้าก็จะไร้ซึ่งทางหนีอีกต่อไป แต่ถ้าเจ้ายอมทิ้งกระบี่และยอมจำนนเสียตอนนี้บางทีข้าอาจจะขอให้ท่านขุนพลมอบความตายที่สบายๆให้แก่เจ้าก็ได้” ชายร่างผอมกล่าวออกพร้อมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมา
“หนึ่งเค่อหรือ...มากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” น้ำเสียงของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามกล่าวจบหนิงเทียนไม่รอช้าอีกต่อไปมันพุ่งร่างออกด้วยท่าเท้าเก้าวิญญาณท่องนภา
ด้วยความประหลาดล้ำลึกของท่วงท่าแล้วมันทำให้เพียงแค่การก้าวเท้าธรรมดาที่ไร้ซึ่งการส่งเสริมด้วยลมปราณมีความเร็วเทียบเคียงกับผู้ฝึกตนในแดนแห่งปลายขั้นปลายได้อย่างน่าตกตะลึงและเหนือกฎแห่งความเข้าใจ
“ท่าเท้านั้น จะต้องเป็นทักษะที่เหนือกว่าระดับปราชญ์ขึ้นไปอย่างแน่นอน”ชายร่างผอมมองไปตามการเคลื่อนไหวของหนิงเทียนพร้อมกล่าวออกแก่ทหารของมัน
“ระวังตัว มันกำลังมาแล้ว” สิ้นเสียงกล่าวร่างกายของมันพลันหายไปในอากาศทันทีด้วยระดับพลังครึ่งก้าวสู่แดนวีรชนของมัน ทำให้มีเพียงแต่ตัวมันเท่านั้นที่ตามความเร็วของหนิงเทียนได้ทัน
เวลานี้ มันและหนิงเทียน ยืนประจันหน้ากันด้วยระยะห่างเพียงสามก้าวเท่านั้น มันสะบัดมือขวาปรากฎง้าวสีแดงในมือของมันทันที
ต่อมาแสงสีส้มค่อยๆสว่างออกมา ชั้นของเปลวเพลิงขนาดย่อมโหมปกคลุมด้านคมของง้าวที่มันเรียกออกมา จากนั้นมันสะบัดมือขวาลงมาสุดแรงหมายจะผ่าร่างของหนิงเทียนออกเป็นสองส่วน
เปลวไฟที่เดิมปกคลุมด้านคมของง้าวอยู่นั่นพุ่งตัวออกมาเป็นรูปลักษณ์ของมังกรอัคคี จงรับ“คลื่นมังกรเพลิง”ของข้าดู
หนิงเทียนยกยิ้มออกมา มันพูดออกอย่างใจเย็นโดยที่ไม่ได้หันไปมองด้านหลังเลยด้วยซ้ำ “ทำงานได้เร็วนิ สมแล้วที่เป็นนางโจร แต่เรื่องต่อไปนี้มันเกิดความสามารถของเจ้า
จงหาที่หลบให้ดีและอย่าได้ออกมาเป็นตัวถ่วงให้ข้าเด็ดขาด” กล่าวจบหนิงเทียนจับกระบี่พิรุณโปรยในแนวนอนให้ขนานกับพื้น เพียงพริบตาเดียวบรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเยือกเย็นในทันที
พิรุณโปรยในมือของหนิงเทียนสั่นออกเล็กน้อยก่อนจะแผ่ไอเย็นกลายเป็นรูปลักษณ์ของมังกรวารีพุ่งเข้าใส่ มังกรอัคคีที่ชายร่างผอมปล่อยออกมา
การโจมตีทั้งสองนี้แม้จะดูคล้ายคลึงกันก็จริงแต่แก่นแท้ของมันแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มังกรอัคคีที่ชายร่างผอมปล่อยออกมานั้นเป็นการใช้ออกด้วยลมปราณผสมกับธาตุไฟที่หลอมรวมเข้าสู่ร่าง
แต่สำหรับมังกรวารีของหนิงเทียนที่ทะยานออกไปนั้น หนิงเทียนใช้ออกด้วยความคิดที่สัมพันธ์กับจิตวิญญาณของกระบี่พิรุณโปรยเท่านั้น มันเป็นหนึ่งในความวิเศษที่อาวุธลมปราณทั่วไปไม่สามารถทำได้เหมือน
ในเวลานี้กระบี่พิรุณโปรยของหนิงเทียนยังเป็นเพียงอาวุธในระดับปราชญ์เท่านั้น พลังการโจมตีของมันจึงไม่สามารถข่มทำลายมังกรอัคคีของชายร่างผอมได้ในทันที
เมื่อชายร่างผอมได้เห็นการตอบโต้ของหนิงเทียนดวงตาของมันเบิกกว้างพร้อมกับจ้องมองไปยังกระบี่ในมือของหนิงเทียนด้วยอาการตกตะลึงก่อนจะแปรเปลี่ยนสายตาเป็นความโลภอย่างไม่สามารถหยังถึงได้
“อะอา..อาวุธในตำนาน มันคืออาวุธจิตวิญญาณ ...ไม่ผิดแน่อาวุธในมือเจ้าหนุ่มนั้นต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้คนพิการลมปราณเช่นมันปล่อยคลื่นพลังออกมาได้”
เวลานี้ภายในหัวของชายร่างผอมเปลี่ยนความคิดไปทันทีเดิมมันต้องการต่อสู้อย่างระวังและถ่วงเวลาให้กองทัพของขุนพลอัคคีมาถึง
แต่ตอนนี้ในหัวของมันมีเพียงแต่ต้องสังหารหนิงเทียนและแย่งชิงกระบี่นั้นมาเป็นของตัวเองให้ได้ก่อนที่กองทัพของขุนพลอัคคีจะมาถึง เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายร่างผอมไม่รีรอที่จะพุ่งตัวเข้าประชิดโดยเร็ว
“น่าประทับใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กอย่างเจ้าจะมีสมบัติวิเศษในตำนานเช่นนี้ ด้วยอาวุธจิตวิญญาณในมือของเจ้า ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงกล้าบุกเข้ามาในค่ายของพวกเรา”