ตอนที่แล้วบทที่ 106 แผนการช่วยเหลือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 108 การปะทะกันที่ชายป่ารกร้าง

บทที่ 107 มุ่งเข้าสู่ปากเสือ


กำลังโหลดไฟล์

เวลาผ่านไปไม่ถึง100ลมหายใจ หลี่เฟิงได้กล่าวขึ้นมา “พี่ชายพวกข้าได้หารือกันแล้ว กลุ่มที่สองนี้จะมีตัวข้า ผู้อาวุโสเฉียนและหมิงหยู 3คน”

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงกล่าวห้ามจากทุกคนว่าไม่ให้หลี่เฟิงเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในภารกิจที่อันตรายเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรตัวมันก็ยังยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว

เมื่อเห็นท่าทีที่แข็งกร่าวของหลี่เฟิง เสียงกล่าวค้านจากคนของมันค่อยๆเบาเสียงลงจนเงียบไป

หนิงเทียนกวาดสายตามองไปยังสมาชิกทั้ง5คนในกลุ่มของมัน จากนั้นมันจึงยกมือขึ้นชี้ฟ้า และกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว

“ที่บ้านข้ามีตำราอยู่เล่มหนึ่ง มันกล่าวด้วยคำว่า ‘ดุจฟ้าอยู่เหนือน้ำ’ คำว่าน้ำหมายถึงความแข็งแกร่ง ส่วนคำว่าฟ้านั้นหมายถึงความอ่อนแอ

เมื่อรวมกันแล้ว จะหมายถึงความว่า 'อ่อนชนะแข็ง' พวกเราจะใช้แผนการตามคำกล่าวนี้ เราจะใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง ฉวยจังหวะและโอกาสในการทำลายและบั่นทอนให้พวกมันทั้งสองทัพต้องแตกแยกกัน”

จากนั้นหนิงเทียนหันไปทางซีหมินและเตี่ยชาง “พวกเจ้าทั้งสองรับหน้าที่เป็นผู้นำการหลบหนี? ความหวังและความอยู่รอดของผู้คนทั้งหมดอยู่ที่เจ้าทั้งสองฉะนั้นทุกๆย่างก้าว

เจ้าทั้งคู่จะต้องตื่นตัวอยู่เสมอ และจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี ทุกๆการเดินทาง1ชั่วยามให้พวกเจ้าหยุดเดินทางและสั่งให้ชาวบ้านทุกคนโห่ ร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง”

เมื่อได้ยินถึงแผนการหลบหนีของหนิงเทียน สีหน้าของทุกคนบังเกิดอาการงุนงงขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน ภายในใจของมันเกิดคำถามเดียวกันอย่างน่าตกตะลึง 'ไม่ใช่ว่าการหลบหนีจะต้องทำให้เงียบเสียงที่สุดหรอกหรือ???'

เตี่ยชางรีบกล่าวถามออกด้วยความงุนงงและสงสัยเป็นอย่างมาก “เอ๋...เจ้าหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกเรายิ่งตะโกนร้องป่าวออกไปดังเพียงใดความตายยิ่งก้าวเข้ามาใกล้พวกเราเร็วเท่านั้น”

ซีหมินเองก็ไม่ต่างกันนัก มันรีบกล่าวเสริมขึ้นมา “จะ...เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!!??? หัวหน้าท่านให้คนเสียสติมาเป็นผู้นำภารกิจที่สำคัญเช่นนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ???”

ตัวของหลี่เฟิงเองก็รู้สึกสงสัยไม่ต่างจากลูกน้องของมันเท่าไรแต่จะมีเพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไปคือว่า ตัวมันเคยเห็นปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากชายผู้นี้มาก่อน

มันจึงกล่าวออกแก่ซีหมินและเตี่ยชางด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “ฟังคำสั่งของเขา พวกเราจะต้องไว้ใจซึ่งกันและกันถึงจะก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้”

แม้แต่ตัวของเฉียนหยางเองยังนิ่งเงียบไม่กล่าวความเห็นใดออกมา ตัวของมันนั้นรู้สึกว่าหลักเหตุผลใดๆก็ไม่สามารถใช้กับเด็กหนุ่มคนนี้ได้เลย

หนิงเทียนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีของซีหมินและเตี่ยชางมากนัก มันเพียงแต่หันไปกล่าวออกแก่เฉียนหยา “สำหรับอาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าพอจะมีวิธี แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะยอมรับมันหรือไม่”

เดิมทีเฉียนหยานั้นยืนนิ่งและเฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆอยู่โดยสงบ แต่เมื่อมันได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ร่างที่นิ่งสงบกลับสั่นออกมาด้วยความตื่นเต้น มันรีบกล่าวถามโดยเร็ว “เจ้าหนุ่มเจ้ากำลังจะบอกว่ามีวิธีรักษาข้าอย่างนั้นหรือ?”

“เส้นลมปราณของเจ้าได้รับบาดเจ็บและไม่ได้รับวิธีรักษาอย่างถูกต้องและที่สำคัญเจ้าปล่อยมันทิ้งไว้เนิ่นนานจนทำให้เกิดอาการตีกลับของเส้นลมปราณ

อาการพวกนี้สำหรับข้าแล้วมันไม่ได้สำคัญอะไรนักหนาและวิธีรักษาตัวเจ้าในยามปกตินั้นเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่ทว่าตัวข้าเองก็ไม่ใช่หมอเทวดาหรือแพทย์วิเศษ

การที่จะรักษาให้เจ้าหายเป็นปกติภายในหนึ่งหรือสองชั่วยามนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน แต่สิ่งที่ข้าต้องการจะกล่าวกับเจ้าไม่ใช่เรื่องพวกนี้

เพราะข้านั้นมีวิธีทำให้เจ้าสามารถใช้พลังปราณออกโดยไร้ซึ่งอาการเจ็บปวดใดๆในระยะเวลาสั่นๆได้” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือส่งโอสถสีขาวให้เฉียนหยารับไว้

“นั้นคือโอสถปฐพีร่างไร้จิต มันช่วยให้ร่างกายและจิตใจของเจ้าแยกออกจากกันชั่วเวลาหนึ่ง ความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับจะไม่ส่งผลกระทบถึงจิตใจเด็ดขาด

คุณสมบัติของมันแม้จะฟังดูเหมือนดั่งของวิเศษ แต่แท้จริงแล้วมันคือโอสถพิษที่ไว้ใช้ทรมานร่างกายคน สิ่งที่เจ้าต้องตอบแทนมัน คือความเจ็บปวดทรมานจนอยากที่จะตายลงเสียเดียวนั้นเลยละ”

ไม่ทันสิ้นคำกล่าวของหนิงเทียน เฉียนหยาโยนโอสถร่างไร้จิตเข้าปากอย่างไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

สำหรับเวลานี้แล้วเฉียนหยาต้องการพลังมากยิ่งกว่าใครทั้งหมด ตัวมันนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสเพียงคนเดียวของกองโจรพิทักษ์ฟ้า อีกทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงแดนวีรชนของทุกคนอีกด้วย

ถ้าอาการบาดเจ็บของมันจะกลายมาเป็นสาเหตุของการเกิดโศกนาฎกรรมกับลูกๆหลานๆในค่ายเงามายาละก็ เห็นทีว่า ต่อให้มันต้องตายไป มันก็ไม่สามารถหลับตาลงได้อย่างสนิทแน่

เวลาผ่านไปไม่นานนักด้วยความวิเศษของโอสถ ไม่สิต้องบอกว่าด้วยความรุนแรงของพิษร่างไร้จิตมากกว่า มันทำให้เฉียนหยางโคจรลมปราณทั่วร่างได้โดยที่สีหน้าของมันไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ

พลังปราณในดินแดนวีรชนขั้นที่7 คละลุ้งไปทั่วทั้งห้อง และด้วยพลังที่เฉียนหยาปล่อยออกมานั้นสร้างความฮึกเหิมและอุ่นใจให้แก่ทุกคนในห้องไปในเวลาเดียวกัน

“จงจำเอาไว้ให้ดี คำกล่าวของข้านั้นหาใช่คำขู่ไม่” กล่าวจบหนิงเทียนหนิงเทียนพยักหน้าให้ทั้งห้า “ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ” จากนั้นหนิงเทียนเดินนำออกไปโดยมีมู่เสวี่ยเดินตามมาติดๆ

“ซีหมิน เตี่ยชางพวกท่านนำชาวบ้านหลบหนีออกไปทางเมืองฉางผิงพวกเราจะเจอกันอีกครั้งที่หน้าประตูเมืองฉางผิง เช่นนั้นแล้วข้าขอฝากชาวบ้านทั้งหมดไว้กับพวกท่านทั้งสองด้วย”

สิ้นเสียงพูดหลี่เฟิงยกมือของมันขึ้นไปวางไว้บนบ่าของทั้งคู่และยิ้มออกด้วยความเชื่อมั่น จากนั้นมันตะโกนออกด้วยท่าทางจริงจัง

“ทุกคนตามพี่ชายหยางกวงไป ไม่ว่าเข้าจะบุกน้ำลุยไฟมุดถ้ำเสือออกแดนมังกรพวกเราก็อย่าได้สงสัยและกล่าวแย้งคำใดเด็ดขาด” สิ้นเสียงหลี่เฟิง เฉียนหยา และหมิงหยู ทั้งสามพุ่งร่างตามออกไปโดยเร็ว

..

...

“หัวหน้า ผู้อาวุโสเฉียน นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น เหตุใดพวกเราถึงต้องทำตามที่ชายคนนั้นสั่งทุกอย่าง”ระหว่างทางหมิงหยูที่รั้งท้ายรีบกล่าวถามถึงความผิดปกติที่ทั้งสองแสดงออกมา

“นี้ไม่ใช่เวลามาถาม หมิงหยูเวลานี้ข้าขอสั่งเจ้า อย่าได้เอาแต่ใจตัวเองเด็ดขาด” เฉียนหยากล่าวดุโดยทันที

“หมิงหยู เรื่องนี้ข้าจะบอกท่านทีหลัง แต่ตอนนี้พวกเราต้องทำตามเขาอย่างเชื่อฟัง ข้ามั่นใจว่าข้าดูคนไม่ผิด”หลี่เฟิงกล่าวเสริมโดยเร็ว

แม้หมิงหยูจะมีสีหน้าและท่าทีที่สงสัย แต่ด้วยคำสั่งของหัวหน้ากอปรกับคำพูดของผู้อาวุโสเฉียนแล้ว หมิงหยูก็ไม่ลังเลที่จะทำตามอย่างเคร่งครัด

เวลานี้พวกมันทั้งห้าพุ่งตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับค่ายเงามายา ใช่แล้วพวกมันทั้งห้ากำลังพุ่งตรงเข้าสู่จุดหมายที่คาดว่าจะเป็นที่ตั้งของกองทัพแห่งเมืองจี้และผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆา

การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินทางเข้าสู่ปากเสือ.....

ไกลออกไปจากกลุ่มของหนิงเทียนไม่มากนัก ณ ทะเลสาบเขียวขจี อันเป็นที่พักของกลุ่มทหารนับร้อยคน ปรากฏบุรุษร่างยักษ์

ส่วนสูงของมันเทียบเท่ากับมนุษย์ปกติถึง2เท่า ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งประกอบกับชุดเกราะสีแดงดุจเปลวไฟ ทำให้ผู้ที่ได้เห็นบังเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงอย่างที่สุด

“พวกเจ้ายังไม่สามารถค้นหาเส้นทางไปยังค่ายของพวกโจรชั่วนั้นได้อีก??” บุรุษในชุดเกราะสีแดงตวาดทหารของมันเสียงดัง จากนั้นมันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชา “พวกขยะ รีบๆออกไปให้พ้นหน้าข้าให้หมด”

ขณะที่มันกำลังแสดงอารมณ์เดือดดานออกมานั้น หรงจื่อแห่งนิกายเคลื่อนเมฆาก้าวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนจะกล่าวออกมา

“ท่านจี้ซวน อย่าพึ่งเกรี้ยวกราดไป ต่อให้พวกโจรชั่วมีปีกบิน มันก็ไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของขุนพลอัคคีแห่งเมืองจี้เช่นท่านไปได้หรอก”

“น้องหรงจื่อเจ้าได้เบาะแสเส้นทางไปค่ายของพวกมันแล้วหรือ? จี้ซวนตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา”

หรงจื่อถอนหายใจออกยาว“เฮ้อออ... ในเรื่องนี้แม้ว่านิกายเคลือนเมฆาของเราจะแข็งแกร่งและกว้างขวาง แต่มันคงยากเกินไปที่จะหาเส้นทางเข้าสู่ค่ายโจรเงามายาที่ก่อตั้งมานับสิบๆปีได้ภายในวันเดียว

แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในวันพรุ่งนี้ผู้อาวุโสของสำนักเราจะสามารถแกะรอยค้นพบเส้นทางเข้าไปข้างในได้อย่างแน่นอน”

จี้ซวนหรี่ตาแคบก่อนจะกล่าวถามออกไปอย่างระวัง “น้องหรงจื่อเมื่อพวกเราปราบกองโจรพิทักษ์ฟ้าได้แล้ว ทรัพย์สมบัติของพวกมัน เราจะแบ่งกันอย่างไร?”

“ฮ่าฮ่าๆ ท่านจี้ซวน แน่นอนว่าพวกเราสามารถแบ่งมันเท่ากันได้” หรงจื่อกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มของมันนั้นสามารถบอกได้เลยว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความจริงใจ

สมบัติของกองโจรพิทักษ์ฟ้าที่ดักปล้นผู้มีฐานะมานับๆสิบปีนะหรือ ถ้าให้คำนวณคราวๆมันอาจจะมากกว่า500หยกนิลด้วยซ้ำไป

ระหว่างที่พวกมันกำลังปั้นหน้าสนทนากันอยู่นั้นเสียงโห่ร้องโหวกเหวกดังขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสาย มันดังระงมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป

สิ้นเสียงโห่ร้องไม่นานนัก ทหารในชุดเกราะวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ มันรีบกล่าวรายงานออกไปว่า “รายงานท่านขุนพล จู่ๆก็เกิดเสียงร้องของชาวบ้านดังขึ้นมาจากทิศตะวันตก มันห่างไปจากที่นี้ราวๆ200ลี้ขอรับ”

“ดีมาก ในที่สุดพวกมันก็โผล่หัวออกมา เร็วเข้ารีบสั่งการลงไปให้ทหารของเราสะกดรอยทิศทางต้นตอของเสียงนั้นทันที หึ!! คิดจะหนีจากข้าหรือ ช่างโง่เขลาจริงๆ” จี้ซวนรีบกล่าวสั่งการทหารของมันด้วยรอยยิ้ม

หรงจื่อได้ฟังดังนั้น มันรีบกล่าวห้ามโดยไว“เดี๋ยวก่อน ท่านจี้ซวน ท่านว่ามันไม่แปลกไปหรือไง ถ้าพวกมันต้องการจะหลบหนีจริงๆเหตุใดถึงต้องส่งเสียงเอะอะให้ดังไปทั่วเช่นนี้

ไม่ใช่ว่าคนที่กำลังหลบหนีจะต้องระวังตัวทุกฝีก้าวและทุกย่างก้าวจะต้องทำมันอย่างเงียบเฉียบที่สุดหรอกรึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจื่อ จี้ซวนฉุกคิดขึ้นมาทันใด “ใช่แล้ว ข้าเกือบจะหลงกลของมันจนได้ มันต้องการล่อพวกเราให้ไปตามทิศทางของเสียงนั้นเพื่อจะหลบหนีออกมา ฮาฮ่าๆ ไม่เลวเลยจริงๆ”

จากนั้นจี้ซวนหันไปกล่าวกับทหารของมันอีกครั้ง “จงสั่งการออกไป อย่าได้สนใจเสียงโห่ร้องของพวกมัน เป้าหมายของเราคือการบุกเข้าไปทลายค่ายโจรชั่วพวกนั้นให้สิ้นซาก”

“น้องหรงจื่อท่านมีความเห็นอย่างไร” จี้ซวนรู้สึกว่าใบหน้าของมันเย็นยะเยือกถ้าไม่ได้หรงจื่อคอยเตือนสติ เกรงว่ามันจะต้องปล่อยไก่ออกมาตัวใหญ่ให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลกแน่นอน

“กองโจรพิทักษ์ฟ้าอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะว่ามันแข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะภูมิทัศน์โดยรอบที่เหมาะแก่การหลบซ่อน อีกทั้งยังมีเส้นทางเดินมากมายที่วนบรรจบกลับมาในทิศทางเดิมคล้ายกับเขาวงกตขนาดยักษ์

ทั้งนี้ข้าคิดว่าพวกเราควรจะแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่มและค้นหาจากทิศทางตรงข้ามให้กลับมาบรรจบกันจะเป็นอันดีมากกว่า”

“เป็นความคิดที่ดีถ้าเช่นนั้น กองทัพอัคคีของข้าจะเริ่มค้นหาจากเส้นทางตะวันตกบรรจบทิศเหนือ” แม้ว่าจี้ซวนจะกล่าวเห็นด้วยแต่ภายในใจมันอดก่นด่าออกมาไม่ได้

‘เจ้าเด็กของนิกายเคลื่อนเมฆาช่างเจ้าเล่ห์นัก เห็นได้ชัดว่าที่มันเสนอแผนการเช่นนี้ออกมาเพื่อทีต้องการจะให้กลุ่มของมันเข้าถึงค่ายโจรเงามายาเป็นกลุ่มแรก

แต่ก็ดีเหมือนกันข้าเองก็ไม่เชื่อว่าทหารจำนวนสองร้อนนายของข้าจะไม่สามารถสู้กับคนของนิกายเคลื่อนเมฆาเพียงไม่กี่คนได้’

“ถ้าท่านจี้ซวนเห็นตรงกันแล้ว ข้าจะรีบไปแจ้งคนของข้าให้ออกเดินทางในทันที”กล่าวจบหรงจื่อยกยิ้มออกมาเล็กน้อย

มันรู้อยู่เต็มอกว่าความสัมพันธ์ของนิกายเคลื่อนเมฆากับเมืองจี้ ทั้งสองนั้นแม้ภายนอกจะคอยเกื้อกูลอาศัยกัน แต่ภายในลึกๆแล้วพวกมันหาได้รักใคร่กลมเกลี้ยวกันเลยไม่

ขณะที่พวกมันกำลังสนทนากันอยู่นั้น ทหารในชุดเกราะวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนอีกครั้งมัน มันคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะเหลือบตามองไปยังผู้มาเยือนอย่างหรงจื่อ

หรงจื่อเห็นดังนั้น มันได้แต่หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าพวกท่านคงมีเรื่องสำคัญต้องหารือกัน เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” กล่าวจบหรงจื่อหันหลังเดินกลับไปในทิศทางที่มันมา

เมื่อทหารผู้นั้นเห็นหรงจื่อเดินจากไปแล้ว มันรีบกล่าวออกมาว่า “ท่านขุนพล พวกเราเจอเรื่องแปลกๆขอรับ คือระหว่างทางที่เราสำรวจกันอยู่พบว่ามีผงประหลาดคล้ายโอสถสะท้อนแสงถูกโปรยเว้นระยะไว้ตามทาง

พวกเราจึงได้เดินตามมันไปด้วยความสงสัยแต่กลับต้องพบว่า ผงสะท้อนแสงนั้นมันทอดยาวไปสู่น้ำตกขนาดใหญ่ ที่เป็นทางตัน” จี้ซวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวสั่งการแก่ทหารให้นำทางไป

เรื่องผิดปกติเช่นนี้เห็นทีว่ามันจะต้องลงไปค้นหาด้วยตัวเองแล้ว

ในระหว่างทางเดินกลับมาจากกระโจมของขุนพลอัคคี หรงจื่อเดินอย่างไม่ช้าและไม่เร็วมากนัก ขณะที่มันกำลังก้าวเดินอยู่นั้นร่างสีดำร่างหนึ่งพุ่งตรงมาเข้าราวกับภูตผี

จากนั้นเงาร่างสีดำรีบกล่าวรายงานถึงการค้นพบผงสะท้อนแสงประหลาดๆที่โปรยยาวไปตามเส้นทางราวกับจะเชิญชวนให้พวกมันไป

“นายน้อยผงสะท้อนแสงนั้นนำพวกเราไปหยุดอยู่ตรงพื้นที่รกร้างมันเต็มไปด้วยป่าไม้หนาทึบนานาพันธุ์ ข้าได้ให้คนของเราเฝ้าปากทางไว้แล้ว พวกเราจะทำอย่างไรต่อดี?”

หรงจื่อคิดตามก่อนจะตระหนักถึงสาเหตุได้ว่า นอกจากผงสะท้อนแสงนั้นจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์แล้ว มันจะเป็นอย่างใดไปได้อีก

“ดูเหมือนว่าภายในของพวกมันจะแตกแยกกันเองหรือไม่คนในของมันนั้นแหละที่ต้องการจะเห็นกองโจรพิทักษ์ฟ้าล่มสลาย... ดีเมื่อเจ้าโปรยทางให้เดิน ถ้าข้าไม่เดินเข้าไปคงจะกลายเป็นคนโง่แน่”

จากนั้นมันกล่าวออกแก่ชายชุดดำ “ผู้เฒ่าเงา ท่านให้คนของเราไปรวมตัวกัน พวกเราจะเดินเข้าไปในเส้นทางที่ว่านั้น....”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด