บทที่ 106 แผนการช่วยเหลือ
“เอ๋...อาการบาดเจ็บ” และด้วยสิ่งที่ได้ยินจากปากของหนิงเทียนนั้น มันทำให้สายตาทุกคู่หันไปมองยังผู้อาวุโสเฉียนอย่างพร้อมเพียง
แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่กล้าจะถามคำใดออกแก่ผู้อาวุโสเฉียน พวกมันทำได้แค่เพียงตั้งตารอฟังคำอธิบายจากหนิงเทียนเท่านั้น
หนิงเทียนหาได้สนใจที่จะตอบคำถามใดๆแม้แต่น้อย มันเพียงแต่กล่าวต่อไปว่า
“คนฉลาดต่างจากคนโง่ตรงที่พวกมันรู้ว่าเวลาไหนควรถอย เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเจ้าควรหันหลังและถอยหนีด้วยรอยยิ้ม การกระทำเช่นนี้สิถึงสมควรแก่การถูกยกย่องโดยคนรุ่นหลังมากกว่าการต่อสู้จนตัวตายไป
อีกอย่างค่ายเงามายาของพวกเจ้าก็เป็นแค่เพียงสถานที่เท่านั้น ตราบใดที่พวกเจ้ายังมีชีวิต จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกกี่ที่ก็ย่อมได้ แต่เอาเถอะบางครั้งความสิ้นหวังก็ทำให้คนเราคิดอะไรที่โง่ๆแบบนี้ออกมาได้”
กล่าวจบหนิงเทียนระบายลมหายใจออกยาว มันอดหวนนึกถึงตัวมันที่ไม่ฟังคำเตือนของกุนซือเฒ่าและตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงที่ผาบรรจบเมฆได้ดี...
หลี่เฟิงได้ยินเช่นนั้นมันหาได้มีความรู้สึกโกรธไม่ มันเพียงแต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายในสิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้น ตัวข้าเองก็ได้คิดถึงมันอยู่บ้าง แต่ว่าโอกาสที่พวกเราจะหลบหนีและรอดออกไปทั้งหมดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
และที่สำคัญการที่จะให้ข้าทิ้งคนชราและสตรีหนีไปละก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าอาจจะสามารถช่วยเจ้าได้” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้านิ่งเฉย ถึงอย่างไรเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะตัวมัน มันไม่สามารถพลักภาระให้ผู้อื่นคลายปมที่ตัวเองผูกไว้ได้
“ช่วยได้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร!!!???” ซีหมินรีบกล่าวออกถามออกมา
หนิงเทียนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับ“ข้าพูดไม่ชัดเจน? เอาละข้าจะพูดมันอีกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อครู่ข้าบอกว่า ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าให้หนีรอดไปจากเหตุการณ์ตรงนี้ได้”
“อย่าได้โกหก ถ้าเจ้ามีความสามารถถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะถูกข้าจับมาได้”หมิงหยูกล่าวอออกด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่านางไม่เชื่อในคำพูดนั้น
หนิงเทียนยักไหล่พร้อมกล่าวออก“เชื่อหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวของเจ้าเอง...แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรตัวข้าเองไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“พี่ชายท่านมีแผนการณ์อะไร สามารถบอกให้ข้ารู้สักเล็กน้อยได้หรือไม่?” หลี่เฟิงกล่าวถามอย่างไม่สนใจคำแย้งของหมิงหยู
เวลาเช่นนี้ ถ้ามีแสงแห่งความหวังเกิดขึ้นมาจริงๆละก็ แม้มันจะริบหรี่เพียงใด ตัวมันในฐานะหัวหน้าจะไม่ยอมเพิกเฉยต่อแสงนั้นเด็ดขาด
“ข้านั้นมีเรื่องที่จะคุยกับเจ้าและตาแก่นั้นเพียงสองคน ส่วนคนอื่นๆให้รออยู่ที่นี้” หนิงเทียนกล่าวสั่งราวกับว่าตัวมันเป็นผู้นำ จากนั้นหนิงเทียนหันไปกล่าวกับมู่เสวี่ย “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”
ส่วนของหลี่เฟิงเองก็หันไปพยักหน้ากับกลุ่มของซีหมิน จากนั้นมันเดินนำพร้อมพายมือในลักษณะเชิญก่อนที่ทั้งสามจะเดินตามกันเข้าไปในห้องด้านใน
ขณะที่พวกมันกำลังก้าวเข้าไปในห้อง น้ำเสียงของผู้อาวุโสเฉียนได้ดังขึ้นมาทันที “เจ้าหนุ่มพวกเราทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว ถ้าเจ้ามีแผนการณ์ใดก็รีบๆพูดออกมา”
หนิงเทียนหรี่ตามองไปยังเฉียนหยาง“อย่าได้ใจร้อนไปฟังที่ข้าพูดให้จบเสียก่อน...ตัวข้าเองไม่ใช่นักบุญ การจะช่วยเหลือใครซ้ำๆถึงสองครั้งนั้นแน่นอนว่าไม่
แต่ถ้าพวกเจ้ามีสิ่งแลกเปลี่ยนให้กับข้า นับว่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงของมัน
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น ดวงตาของหลี่เฟิงเบิกกว้าง มันกล่าวออกด้วยเสียงติดๆขัดๆ
“นะ...น้องชายหนิง ปะ..เป็นเจ้า เจ้าจริงๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี้ได้?แล้วหน้ากากนั้นคือ????”คำถามมากมายออกจากปากของหลี่เฟิงไม่หยุดหย่อน
“หัวหน้าหลี่ เรื่องนั้นเอาไว้กล่าวกันที่หลัง สำคัญตอนนี้คือข้าจะพาพวกท่านรอดไปจากที่นี้แต่ข้าต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน” หนิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง
“หัวหน้า ท่านรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้” ผู้อาวุโสเฉียนกล่าวถามอย่างเงียบๆ
หลี่เฟิงหยักหน้าตอบ พร้อมกล่าวกับหนิงเทียน “น้องชาย เจ้าต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”
“พี่ชายหลี่ บอกตามตรง ตัวข้าพึ่งจะก่อตั้งตระกูลซือหม่า ที่เมืองฉางผิงขึ้น และตระกูลของข้ากำลังสั่งสมกำลังเป็นอย่างมาก
ข้าจึงต้องการกองโจรพิทักษ์ฟ้าของท่านมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซือหม่า” หนิงเทียนกล่าวถึงความต้องการของมันอย่างไม่อ้อมค้อม
“ไม่ได้!! ไม่ได้เด็ดขาด กองโจรพิทักษ์ฟ้าสร้างขึ้นมาช่วยเหลือผู้คนยากไร้ มันไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยเหลือตระกูลของเจ้าเพียงตระกูลเดียว”เฉียนหยากล่าวค้านออกมาทันที
“ปล้นคนเลว ช่วยเหลือคนจน เจ้าคิดว่ามันเป็นอุดมการณ์ที่สูงส่งแล้ว? เปล่าเลยมันเป็นเพียงคำกล่าวที่เพ้อฝันเท่านั้น
พวกเจ้าคิดกันหรือไม่ หลังจากที่คนชั่วพวกนั้นถูกพวกเจ้าปล้นทรัพย์สินไปแล้วมันจะไปทำอะไรต่อไป?" กล่าวถึงตรงนี้หนิงเทียนหยุดคำพูดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป
"ข้าจะตอบแทนให้ พวกมันก็ไปขูดรีดเอาจากคนบริสุทธิ์เหมือนเช่นเคย แต่ที่แย่กว่านั้นคือพวกมันจะเอาสิ่งที่มันได้สูญเสียไปกลับคืนเป็น2เท่าเป็น4เท่าหรือเป็น10เท่า
เรื่องพวกนี้นะหรือ? คือสิ่งที่เจ้าเรียกกว่าอุดมการณ์อันสูงส่ง” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น
ได้ฟังดังนั้นดวงตาของเฉียนหยาเต็มไปด้วยไฟโทสะ มันกล่าวถามหนิงเทียนด้วยคำพูดสอดเสียดกึ่งประชดประชัน
“เจ้าหนุ่มเจ้ากล้าดูถูกอุดมการณ์ของพวกเรากองโจรพิทักษ์ฟ้า เช่นนั้นเป้นหมายของเจ้าคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้มากสินะ ให้ข้าได้ฟังมันหน่อยเป็นอย่างไร?”
หนิงเทียนตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย“เป้าหมายของข้ามีเพียงหนึ่ง ข้าจะรวมทั้งสี่ทวีปเข้าเป็นหนึ่งและปกครองทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน”
“ระ...รวมสี่ทวีป ช่างเป็นคำกล่าวที่เพ้อฝันและไม่มีทางเป็นจริง”เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวนี้ของหนิงเทียนไม่ได้รับความเชื่อถือจากเฉียนหยามากนัก
หนิงเทียนยักไหล่พร้อมกับยกยิ้มอย่างไม่สนใจ “เชื่อหรือไม่ เจ้าสามารถใช้สมองที่มีอยู่ไม่มากนั้นตัดสินใจเอาเองได้”
ก่อนที่ทั้งสองจะปะทะคารมกันไปมากกว่านี้ หลี่เฟิงรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกล่าวออกอย่างระวัง “น้องชายหนิงเจ้าสามารถช่วยเหลือทุกคนในค่ายเงามายาได้อย่างปลอดภัย?”
“ข้ามั่นใจว่าเด็ก สตรีและคนชราในกลุ่มของเจ้า จะหนีได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับกลุ่มที่ค่อยทำตามแผนการของข้า โอกาสรอดมีเพียงครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น”
คำกล่าวของหนิงเทียนหาใช่คำขู่แม้แต่น้อย มันกล่าวออกมาจากการประมวลแผนการและคำนวณถึงสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ไว้แล้ว
หลี่เฟิงพยักหน้าพร้อมกล่าวออกมา“ขอแค่พวกเขาปลอดภัย ข้าเชื่อว่านักรบทุกคนของกองโจรพิทักษ์ฟ้าหาได้เกรงกลัวความตาย”
จากนั้นมันหันไปทางเฉียนหยา "ผู้อาวุโสเฉียน การที่พวกเราต้องหลบหนีและทิ้งถิ่นเกิดคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเราจะหาพื้นที่และสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ข้าได้ใคร่ครวญดูแล้ว การที่พวกเราจะขึ้นตรงกับตระกูลซือหม่านั้นพวกเราหาได้มีผลเสียใดๆเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญข้าอยากให้กองโจรพิทักษ์ฟ้า ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ใหม่นี้
ข้าเชื่อว่าน้องชายหนิงจะสามารถรวบรวมสี่ทวีปเข้าด้วยกันได้"
เฉียนหยาได้ยินเช่นนั้นมันไร้ซึ่งคำกล่าวค้านใดๆออกมาอีก คำพูดของผู้นำถือเป็นประกาศิต นี้คือสิ่งที่กองโจรพิทักษ์ฟ้าทุกคนท่องจำจนขึ้นใจ แต่ถึงอย่างไรเฉียนหยาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามหนิงเทียนครั้ง
"เจ้าหนุ่มแต่ข้ายังไม่สามารถมองเห็นถึงทางหนีที่เจ้าว่าได้เลย ศัตรูนั้นต่ำสุดก็เป็นผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์รวมถึงยังมีผู้ฝึกตนในแดนวีรชนอีกไม่รู้กี่คนที่พวกมันขนกันมา
เจ้าไม่ต้องกล่าวถึงความเร็วในการไล่ตามของพวกมัน แค่พลังเพียงอย่างเดียวพวกมันก็มีมากเหลือล้ำกว่าเราราวฟ้ากับเหว"
หลี่เฟิงพยักหน้าให้กับคำกล่าวของเฉียนหยา มันรีบกล่าเสริม "น้องชายหนิง ทหารของพวกเราส่วนมากอยู่ในดินแดนนักรบและแดนองครักษ์เท่านั้น
จะมีก็เพียงแต่ซีหมินและเตี่ยชางสองคนเท่านั้นที่อยู่ในแดนแห่งปราชญ์ขั้นปลาย และสำหรับแดนวีรชนพวกเรามีผู้อาวุโสเฉียนคนเดียว ไม่ว่าข้าจะมองทางไหน ข้ายังไม่เห็นหนทางรอดของพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
“หัวหน้าหลี่คำกล่าวของท่านไม่ผิด กองโจรพิทักษ์ฟ้าของท่านก็เปรียบเสมือนเปลือกไข่ การที่จะเข้าปะทะกับศัตรูที่แข็งแกร่งดุจหินแล้ว
ต่อให้มีปาฎิหาริย์บังเกิดขึ้น มันก็ยังไม่สามารถช่วยให้พวกท่านเอาชนะการต่อสู้ได้อยู่ดี ด้วยเหตุผลนี้เป็นตายอย่างไรพวกเราจะให้มันได้เห็นแผ่นหลังของเราไม่ได้เด็ดขาด”
ได้ยินเช่นนั้นหลี่เฟิงรีบกล่าวถามโดยเร็ว“น้องชายหนิงท่านมีแผ่นการอย่างไร คนชราและสตรีของพวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกตนในแดนนักรบเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากผู้ฝึกตนในดินแดนแห่งปราชญ์ได้แน่นอน”
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆพร้อมกล่าวขึ้น“ถ้ามีเพียงแค่กองทัพของเมืองจี้อย่างเดียว แน่นอนว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์รอด แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป พวกเรากำลังถูกกลุ่มคนของนิกายเคลื่อนเมฆาไล่ล่าด้วยเช่นกัน”
“เจ้าหนุ่มข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด การที่พวกเราถูกกองกำลังทั้งสองไล่ล่ามันจะดีกว่าการถูกทัพของ เมืองจี้เพียงทัพเดียวไล่ล่าได้อย่างไรกัน?”
เฉียนหยานั้นหาใช่คนโง่แต่ที่มันต้องกล่าวถามออกมาเช่นนี้เป็นเพราะมันนั้นไม่สามารถหาคำตอบจากสิ่งที่หนิงเทียนกำลังกล่าวออกมาได้เลย
ถ้าจะให้มันเลือกมันยินยอมที่จะถูกกองทัพ เพียงทัพเดียวเข้าโจมตีเสียมากกว่ากว่าถูกรุมล้อมเช่นนี้
หนิงเทียนมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉียนหยา มันจึงกล่าวออกมา“เจ้ากำลังคิดว่าการถูกขนาบด้วยสองพลังเป็นเรื่องที่เลวร้ายใช่หรือไม่ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นแสดงว่าเจ้ากำลังมองมันแค่เพียงเปลือก
ดูจากการที่คนของเจ้ามารายงานเรื่องลำดับการมาถึงแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าทัพทั้งสองไม่ได้เดินทางมาพร้อมเพียงกันแต่อย่างใด
นั้นก็พอแล้วที่จะบอกได้ว่านิกายเคลื่อนเมฆาและกองกำลังของขุนพลอัคคี ทั้งสองไม่ได้มีการติดต่อกันที่ดีสักเท่าไร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันเหมาะแก่การที่พวกเราจะถอนฟืนใต้กระทะเป็นที่สุด”
“ถะ...ถอนฟืนใต้กระทะ น้องชายหนิงนี้ไม่ใช่เวลามาล้อกันเล่น พวกเรากำลังคิดถึงวิธีหลบหนี แต่ทำไมเจ้าต้องการให้พวกเราไปถอนฟืน??” หลี่เฟิงกล่าวถามด้วยความงุนงง
ได้ยินคำกล่าวของหลี่เฟิงคิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันอีกครั้ง มันลืมนึกไปเลยว่า ในโลกแห่งนี้ ใช้เพียงแต่กำลังและพลังฝึกตนในการเข้าต่อสู้ซึ่งกันและกัน
พวกมันนั้นไม่ได้รู้จัก ตำราพิชัยสงครามแต่อย่างใด คิดเช่นนั้นหนิงเทียนจึงกล่าวออก “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายความว่า การที่พวกเราจะชนะศึกครั้งนี้ได้
พวกเราจะต้องหาทางบั่นทอนกำลังของศัตรูลง วิธีการที่ดีที่สุดคือการใช้ช่องว่างทางการสื่อสาร บั่นทอนให้ทัพของเมืองจี้หลินหวาดระแวงกลุ่มคนของนิกายเคลื่อนเมฆา
เอาละตอนนี้พวกเราออกไปด้านนอกกันเถอะ ข้านั้นต้องการอธิบายแผนการเพียงครั้งเดียว” กล่าวจบหนิงเทียนหันไปกำชับกับหลี่เฟิงว่า
“ข้านั้นมีความจำเป็นต้องปิดบังใบหน้าและชื่อ ข้าหวังว่าหัวหน้าหลี่จะช่วยข้าปกปิดมันและทำเหมือนว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”กล่าวจบหนิงเทียนนำหน้ากากหนังมนุษย์สวมเข้าไปอีกครั้งพร้อมก้าวเดินออกมารวมกลุ่มกับมู่เสวี่ย
...
“พวกเราได้หารือกันแล้ว พวกเราจะทำตามแผนการของคุณชายหยาง ข้าขอให้พวกเจ้าฟังคำสั่งของเขาเหมือนเช่นเป็นคำพูดของข้าเอง”หลี่เฟิงกล่าวออกให้ได้ยินอย่างทั่วถึง
แม้ว่าด้วยคำพูดนี้ของหลี่เฟิงจะสร้างความสงสัยให้กับพวกของหมิงหยูเป็นอย่างมากแต่พวกมันก็ไม่กล้ากล่าวคำใดแย้งออกมา
หนิงเทียนมองไปรอบๆครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา“เมื่อพวกเจ้าไม่มีใครคัดค้าน ข้าจะเริ่มอธิบายถึงแผนการให้พวกเจ้าฟัง อันดับแรกพวกเราจะแบ่งกลุ่มออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกนั้นมีหน้าที่ในการพาทุกคนอพยพไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ข้าต้องการให้หัวหน้าหลี่เลือกคนที่เหมาะสมเป็นผู้นำในกลุ่มแรกสองคน”
เมื่อหนิงเทียนกล่าวจบ หลี่เฟิงไม่รอช้า “เตี่ยชาง ซีหมินเจ้าทั้งสองคนคอยดูแลกลุ่มแรก”
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ เห็นได้ชัดว่าหลี่เฟิงนั้นมีความสามารถในการเลือกใช้คนอยู่ไม่น้อยจากนั้นหนิงเทียนได้กล่าวต่อ
“ส่วนกลุ่มที่สองนั้น มีหน้าที่ถ่วงเวลาและปั่นป่วนสองทัพ โดยพวกเจ้าจะต้องยอมรับเสียก่อนว่าในกลุ่มที่สองนี้เป็นกับตายเท่ากัน
ในกลุ่มที่สองตัวข้าจะเป็นผู้สั่งการทั้งหมด และพวกข้ามีกันแล้วสองคนแต่ยังต้องการสมาชิกเพิ่มอีกสามคน พวกเจ้าตกลงกันให้ดีว่าจะให้ผู้ใดเข้ากลุ่มของข้า
ข้าต้องการผู้ที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดยามจำเป็นได้ดีและจงจำไว้กลุ่มที่สองนั้นไม่ต้องการพวกใจกล้าไม่กลัวตาย คนที่รักชีวิตเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมกลุ่มสองได้ ข้าให้เวลาพวกเจ้าตัดสินใจกัน100ลมหายใจ...”