ตอนที่แล้วบทที่ 102 เดินทางผ่านมิติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 104 กองโจรพิทักษ์ฟ้า

บทที่ 103 หมิงหยู


กำลังโหลดไฟล์

ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนโค้งศีรษะเชิงขอบคุณลงเล็กน้อย ก่อนที่จะสะบัดมือนำหีบหยกนิลที่ได้มาจากอานซือ ออกมาจ่ายเป็นค่าเดินทางครั้งนี้

แม้เงินนั้นจะไม่ได้ออกมาจากกระเป๋าของมันแม้แต่หยกนิลเดียวก็ตามแต่หนิงเทียนก็อดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้ ‘ดูเหมือนว่าราชวงศ์เย่ที่ปกครองทวีปฟ้าสวรรค์อยู่ จะหน้าเลือดไม่เบาเหมือนกัน’ นั้นเป็นสิ่งที่หนิงเทียนคิดภายในใจเท่านั้น

เมื่อเสร็จสิ้นการชำระค่าเดินทางเรียบร้อยแล้ว หนิงเทียนและมู่เสวี่ยเดินขึ้นมายังลานกว้างที่สร้างไว้สูงจากพื้นดินเล็กน้อย

ภายในลานโล่งกว้างนั้นมีศิลาโปร่งแสงขนาดเท่าตัวคนวางอยู่รอบๆตามจุดของทิศทั้งแปด และทุกๆศิลาแต่ละก้อนจะมีผู้ฝึกตนนั่งประจำอยู่ก้อนละสองคน

พวกมันแต่ละคนนั้นล้วนเป็นผู้ใช้มิติธาตุทั้งหมด โดยธาตุมิตินั้นเป็น1ใน3ธาตุที่หายากที่สุด นี้ก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าอาณาจักรฟ้าสวรรค์นั้นมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงใด

เมื่อได้กำหนดเวลา ชายชราคนหนึ่งเปิดตาขึ้น มันส่งผ่านพลังปราณเข้าไปในศิลาโปร่งแสง ไม่นานนักลายสลักอาคมค่อยๆปรากฏขึ้นจนทั่วศิลาก้อนนี้

“เป็นอย่างที่ข้าคิด การจะส่งผู้คนข้ามมิตินับหมื่นๆลี้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนเพียง10กว่าคนจะทำได้ง่ายๆ ศิลาที่วางไว้ทั้งแปดทิศนั้นคงจะเป็นตัวกลางสำคัญที่ช่วยให้การเดินทางสำเร็จเสียมากกว่า

ถ้าข้าเดาไม่ผิด มันจะต้องเป็นอาคมประดิษฐ์ระดับสูงอย่างแน่นอน”เพียงแค่ได้เห็นการกระทำของชายชราคนนั้นหนิงเทียนก็สามารถคาดเดาถึงความลับที่ซ่อนอยู่ของการเคลื่อนย้ายมิติได้อย่างแม่นยำ

พริบตาเดียว แสงที่สะท้อนจากศิลาโปร่งแสง กระจายตรงเข้ามาหาหนิงเทียนและมู่เสวี่ยราวกับว่ามันมีชีวิต

เพียงไม่นานศิลาโปร่งแสงก้อนอื่นๆก็ได้เปล่งแสงสว่างออกมาทีละลูกจนครบทั้งหมด หนิงเทียนและมู่เสวี่ยรู้สึกเหมือนตกลงไปในทะเลแห่งแสง

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ร่างของหนิงเทียนและมู่เสวี่ยก็ได้หายไปจากลานกว้างอย่างน่าอัศจรรย์ หนิงเทียนนั้นเคยเดินทางผ่านมิติมาก่อนแล้วในยามที่หนีตายจากมังกรพิษฟ้าคราม มันจึงรู้สึกเป็นปกติ

แต่สำหรับมู่เสวี่ยแล้วนี้นับว่าเป็นการเดินทางครั้งแรกของตัวนาง มันทำให้นางรู้สึกเวียนหัวคล้ายจะอาเจียนออกมาเล็กน้อย

ในที่สุดเมื่อแสงสว่างรอบตัวจางหายไป พวกมันทั้งสองก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในลานกว้างธรรมดาที่รอบข้างนั้นไร้ซึ่งผู้คน แม้แต่ทหารก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่คนเดียว

มู่เสวี่ยรีบกล่าวถามออกมา “อาจารย์พวกเราอยู่ที่ไหนเหตุใดถึงไม่มีคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว”

“เจ้าไม่ได้ฟังที่ทหารนายนั้นบอกเล่าหรือว่า การเดินทางระหว่างเมืองด้วยประตูมิตินั้นไม่มีผู้ใดเขาทำกัน มันจึงไม่แปลกหรอกที่พวกเราจะไม่พบใคร”

จากนั้นหนิงเทียนมองไปยังถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้ามันจึงกล่าวออก “ไปเถอะ นั้นคงเป็นถนนที่ทอดยาวไปสู่เมืองจี้หลิน”

ขณะที่มู่เสวี่ยเดินตามหลังของหนิงเทียน นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามอย่างสงสัย“อาจารย์ เมืองจี้หลินนั้นกว้างใหญ่ไพร่ศาลยังไม่ต้องกล่าวถึงพื้นที่รอบๆ

แค่ระยะทางที่มากมายขนาดนี้พวกเราจะหาหรงจื่อและศิษย์ของนิกายเคลื่อนเมฆาเจอได้อย่างไรกัน?”

“เจ้าจะให้ข้าไปถามใคร?” หนิงเทียนตอบกลับโดยที่ไม่หันหน้าไปมอง

ได้ยินดังนั้นคิ้วของมู่เสวี่ยย่นเข้าหากันทันที“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร หรือว่าพวกเราจะไปเคาะประตูนิกายเคลื่อนเมฆากัน”

ด้วยคำถามของมู่เสวี่ยนั้นทำให้หนิงเทียนต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เจ้าอยู่ในแดนนักรบขั้นปลาย? และข้าพิการทางลมปราณ พวกเราจะวิ่งไปให้พวกมันซ้อมหรืออย่างไร?

เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ข้านั้นไม่รู้ว่าหรงจื่ออยู่ที่ใด แต่ข้ารู้ว่าถ้าเราหากองโจรพิทักษ์ฟ้าเจอ พวกเราก็จะพบตัวหรงจื่อเองนั้นแหละ”

ระหว่างทางเดินนั้นแม้หนิงเทียนจะกล่าวกับนางว่า ไม่ต้องถาม แต่ถึงอย่างไรมู่เสวี่ยก็ยังอดสงสัยไม่ได้

“อาจารย์นี้ก็รวมวันที่10ไปแล้วหลังจากที่หรงจื่อออกจากโรงเตี๊ยมอันอัน ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกมันจะไม่ได้ทำลายกองโจรพิทักษ์ฟ้าไปหมดสิ้นแล้ว”

เวลานี้หนิงเทียนถึงกับต้องกรอกตามองสูง มันได้แต่ส่ายหัว และกล่าวถามกับสวรรค์ด้วยเสียงที่แผ่วเบา“ท่านสร้างสตรีที่งดงามมาเพื่อให้นางนั้นไร้ด้วยสมองอย่างนั้นหรือ??”

มู่เสวี่ยที่ได้ยินแต่เสียงพึมพำ นางจึงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม“อาจารย์เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าอะไรนะ?”

“เปล่า!! ข้าเพียงแต่บอกว่า พวกเรานั้นเดินทางมาด้วยประตูมิติ แต่พวกของหรงจื่อมันใช้เพียงสัตว์พาหนะในการเดินทาง ข้าคิดว่าเวลานี้พวกมันยังคงมาไม่ถึงเมืองจี้หลินเลยด้วยซ้ำไป”

“อ่อเป็นเช่นนี้เอง ข้าลืมไปได้อย่างไรกันนะ” สิ้นเสียงของมู่เสวี่ย เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องไห้ของเด็กทารก

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!!! “ใครก็ได้ชะ ช่วยข้าด้วย”

เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือหนิงเทียนและมู่เสวี่ยรีบหันไปทางต้นตอของเสียงอย่างรวดเร็ว มันพบว่าไกลออกไปช่วง5-6ต้นไม้ใหญ่ ปรากฎร่างของสตรีที่กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในมือ นางทรุดกายลงด้วยท่านั่งราบกับพื้น

ด้านหน้าของนางนั้นมีหมีขาวตัวขนาดยักษ์ มันใหญ่ราวๆ4-5ตัวคนโอบ แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมีขาวตัวนี้คือเขี้ยวสีแดงที่ยาวออกจากปาก

“นั้นมันหมีเขี้ยวโลหิต สัตว์ป่าระดับ2” เพียงแค่มองเห็นรูปลักษณ์หนิงเทียนก็สามารถบอกได้ถึงเผ่าพันธุ์และระดับของมันได้ในทันที

“อาจารย์ เหตุใดท่านยังอยู่เฉยอยู่อีก ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขากำลังถูกหมียักษ์ตัวนั้นกินเป็นอาหาร” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยความร้อนใจ

หนิงเทียนได้ยินน้ำเสียงที่ร้อนรนเช่นนั้น มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย มันเพียงแต่มองไปยังสตรีตรงหน้าด้วยสายตาที่หรี่ลงและกล่าวออก

“ถ้าเจ้าอยากจะช่วยใครก็จงใช้พลังของตัวเอง ระดับของเจ้ากับหมีตัวนั้นเท่าเทียมกัน จงแสดงเพลงกระบี่ตัดชีพจรที่ข้าได้สอนไปให้ประจักษ์แก่สายตาของข้าหน่อยเป็นไง”

เมื่อได้ยินคำพูดเชิงคำสั่งของหนิงเทียน แววตาที่ร้อนรนของมู่เสวี่ยกลับกลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที นางไม่รอช้าอีกต่อไปพุ่งร่างเข้าใส่หมีเขี้ยวโลหิตอย่างรวดเร็ว ....

มู่เสวี่ยวาดมือเรียกกระบี่ออกมาจากแหวนมิติและเหวี่ยงมันออกพร้อมส่งปราณกระบี่พุ่งตัดอากาศเข้าหยุดกรงเล็บของหมีเขี้ยวโลหิตโดยเร็ว!!! เสียงปะทะกันระหว่างกระบี่และกรงเล็บดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

ถึงแม้ว่าปราณกระบี่ของนางจะถูกหยุดไว้ได้ แต่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้ร่างของมู่เสวี่ยพุ่งตรงมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสองแม่ลูกคู่นี้ได้

“ท่านพอจะลุกไหวหรือไม่? ถ้ายังไหวให้รีบวิ่งไปหาบุรุษที่ยืนอยู่ตรงด้านโน้นแล้วท่านจะปลอดภัย” กล่าวจบมู่เสวี่ยเคลื่อนไหวร่างอย่างอ่อนช้อยไปด้านหน้า

เวลาเดียวกับที่หมีเขี้ยวโลหิตกู่ร้องด้วยโทสะ หนึ่งมนุษย์หนึ่งเดรัจฉานพุ่งเข้าหา โดยหมายที่จะเอาชีวิตซึ่งกันและกัน....

หนิงเทียนที่มองดูการต่อสู้ของมู่เสวี่ยอย่างไม่กระพริบตา มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา “ถึงนางจะโง่แต่พรสวรรค์ด้านกระบี่ รู้สึกว่าจะได้จากปู่ของนางมาเยอะทีเดียว”

ขณะที่กำลังคิดอยู่ สตรีนางนั้นได้อุ้มทารกน้อยวิ่งตรงมายังหนิงเทียนอย่างเต็มกำลัง

เพียงไม่นานนางได้ทิ้งร่างลงเบื้องหน้าของหนิงเทียนด้วยลมหายใจที่ลากยาว นางหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหล้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวขอบคุณออกมา

หนิงเทียนไม่แม้แต่จะตอบรับคำขอบคุณนั้นมันเพียงแต่มองไปยังการต่อสู้ตรงหน้าอย่างไม่สนใจ

เวลาเดียวกันมู่เสวี่ยจับจ้องหมีเขี้ยวโลหิตอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มทีบเท้าพุ่งร่างไปข้างหน้า นางเหลือไว้เพียงเงาร่างลางๆเท่านั้น กระบี่ที่แหลมคมของนางพุ่งตรงไปยังจุดตายของหมีเขี้ยวโลหิตอย่างน่ากลัว

ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉานหมีเขี้ยวโลหิต ยกกรงเล็บที่แหลมคมของมันขึ้นมาป้องกันโดยเร็ว การปะทะกันของกระบี่และกรงเล็บเกิดขึ้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้ปลายกระบี่ของมู่เสวี่ยคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา มันแหวกว่ายรอดผ่านช่องว่างเล็กๆระหว่างกรงเล็บทั้งห้า

ฉับ!!! รอยเลือดสีแดงสดเริ่มซึมออกมาจากลำคอของหมีเขี้ยวโลหิต น่าเสียดาย!!ที่การโจมตีนี้ของมู่เสวี่ยโดนเพียงแค่เฉียดๆลำคอไปเท่านั้น

มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยเพลงกระบี่ตัดชีพจรที่ถูกพัฒนาจนเป็นกระบวนท่าในระดับเทพสงคราม มันสามารถที่จะทำให้สตรีที่บอบบางเช่นนางสังหารหมีเขี้ยวโลหิตได้ภายในการแทงกระบี่ครั้งเดียวอย่างแน่นอน

เพลงกระบี่ตัดชีพจรที่หนิงเทียนได้สอนสั่งแก่มู่เสวี่ยนั้นเป็นทักษะวิชาในระดับเทพสงครามขั้นต่ำ เดิมทีแล้วพื้นฐานของเพลงกระบี่นี้เป็นเพียงทักษะวิชาในระดับปราชญ์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เองเพลงกระบี่ตัดชีพจรจึงไม่สามารถพัฒนาไปอยู่ในขั้นกลางและสูงของระดับเทพสงครามได้

แต่สำหรับผู้คนในพื้นที่รอบนอกที่มีพลังเฉลี่ยอยู่ในแดนแห่งปราชญ์ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เพลงกระบี่นี้ถูกจัดเป็นทักษะวิชาอันดับหนึ่ง

มู่เสวี่ยร่ายรำกระบี่อย่างอ่อนช้อยดุจผีเสื้อที่กำลังสยายปีกและบินวนอยู่เหนือเกสรของดอกไม้ ส่งผลให้เวลานี้บาดแผลจากรอยกระบี่นับสิบๆแห่งปรากฏขึ้นบนตัวของหมีเขี้ยวโลหิต

มันกู่ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด โลหิตไหลออกมาจนย้อมร่างของมันเป็นสีแดงไปทั้งตัวก่อนที่มันจะทิ้งร่างอันใหญ่โตล้มลงกับพื้นจนแน่นิ่งไป ดวงตาของมันสูญเสียสัญญาณแห่งชีวิต

เมื่อเห็นว่าหมีเขี้ยวโลหิตล้มลง มู่เสวี่ยเป่าลมออกจากปากพร้อมเก็บกระบี่ลง จากนั้นนางพุ่งร่างมายังหนิงเทียนและสตรีผู้นั้น

“อาจารย์เพลงกระบี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง มันไม่ทำให้ท่านผิดหวังใช่หรือไม่” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางสามารถเอาชนะสัตวป่าขั้นที่2ได้ด้วยตัวเอง

“ยังห่างอีกไกล พลังที่แท้จริงของกระบี่ตัดชีพจรไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะคาดคิดได้ เวลานี้เจ้าสามารถแสดงอานุภาพของมันได้เพียง2ใน10ส่วนเท่านั้น”

“2ใน10ส่วน”มู่เสวี่ยทวนคำพูดของหนิงเทียนซ้ำด้วยความประหลาดใจ แค่พลังเพียง2ใน10ส่วนก็สามารถทำให้นางสังหารสัตว์ป่าในระดับเดียวกับตัวนางเองได้โดยปราศจากบาดแผลบนร่างแม้แต่รอยเดียว

จากนั้นเหมือนมู่เสวี่ยจะฉุกคิดอะไรออกมาได้ เวลานี้พวกมันไม่ได้อยู่กันเพียงสองคน นางจึงหันหน้าไปทางสตรีที่นางได้ช่วยมาเมื่อครู่ก่อนจะกล่าวถามออกมา “ท่านเป็นใคร เหตุใดถึงถูกหมีเขี้ยวโลหิตไล่ทำร้ายได้”

สตรีนางนั้นรีบกล่าวตอบ “ผู้มีพระคุณ ข้ามีชื่อว่าหมิงหยูเป็นคนของเมืองจี้หลิน ข้ามาที่นี้เพื่อจะเก็บสมุนไพรและนำมันกลับไปขายเท่านั้นแต่ไม่คิดว่าจะโชคร้ายพานพบกับสัตว์ป่าระดับ2ได้

ถ้าไม่ได้คุณชายที่เดินทางผ่านมาเกรงว่าข้าและลูกน้อยจะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงของวันพรุ่งนี้” กล่าวจบสตีนามหมิงหยูคุกเข่าทั้งสองข้างลงพร้อมกับก้มศีรษะลงแนบพื้น

มู่เสวี่ยเห็นดังนั้นนางรีบก้มตัวลงพยุง หมิงหยูให้ลุกขึ้นมา พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“อย่าทำเช่นนี้เลย ข้านั้นอายุน้อยกว่าท่านมาก ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะให้ข้าอายุสั่นลง”

กล่าวจบมู่เสวี่ยรีบเอ่ยแนะนำตัวตามมารยาท “ตัวข้ามีนามว่า มู่...เอ่อมู่เฉิง ส่วนด้านข้างนี้คืออาจารย์ของข้าชื่อว่าหยางกวง”

หนิงเทียนปลายตามองไปยังหมิงหยูแม้ใบหน้าของนางจะมอมแม่มและเปรอะเปื้อนคาบโคลนที่แห้งกังจนติดไปกับผิวหน้า แต่นั้นก็ไม่สามารถปิดบังผิวขาวเนียนที่หลบซ้อนอยู่หลังคาบดินนี้ได้

หลังจากปลายตามองเรียบร้อยแล้ว หนิงเทียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจหมิงหยูกับทารกในมืออีกเลย มันเพียงแค่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “พวกเราเดินทางต่อกันเถอะ”

“คุณชายหยาง โปรดเมตตา ช่วยพาข้ากับลูกไปส่งที่เมืองจี้หลินด้วย” เมื่อเห็นหนิงเทียนกำลังเดินจากไปอย่างไม่สนใจ หมิงหยูรีบร้องขอออกมาเสียงดัง

“อาจารย์เมื่อเราช่วยเขาแล้ว เราก็ช่วยเขาให้ถึงที่สุดเถอะ” มู่เสวี่ยรีบกล่าวเสริมออกมา

“แล้วแต่เจ้า” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินไปอย่างไม่สนใจ

เมื่อหมิงหยูเห็นทิศทางที่กลุ่มหนิงเทียนก้าวเดินไป นางรีบร้องตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย ท่านไม่ใช่จะไปเมืองจี้หลินกันหรอกหรือ!!?”

ได้ยินเช่นนั้นมู่เสวี่ยรีบเอ่ยถามขึ้นมา “พี่สาวหมิงหยูพวกเราต้องการเดินทางไปเมืองจี้หลินแน่นอน”

สีหน้าของหมิงหยูกลายเป็นประหลาดใจ นางรีบกล่าวถามออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก “แต่ว่าทิศทางที่พวกท่านกำลังมุ่งหน้าไปคือป่าวิญญาณอสูร

เส้นทางที่ทอดยาวไปยังเมืองจี้หลินคือเส้นทางนั้น”กล่าวจบหมิงหยูยกมือชี้ปลายนิ้วไปเส้นทางเล็กๆที่ทอดยาวแยกออกไป

“เอ๋... แต่ว่าพี่ทหารบอกเราว่ามันเป็นถนนสายหลักนี่นา” มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยความตกใจ

หนิงเทียนยกยิ้มให้แก่หมิงหยูก่อนจะกล่าวออกมา“ขอบคุณแม่นางที่กล่าวเตือนพวกเราทั้งสองพึ่งจะเคยมาเมืองจี้หลินเป็นครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคยเส้นทาง เช่นนั้นขอให้แม่นางหมิงหยูนำพาพวกเราด้วย”

“คุณชายท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ชีวิตข้าและลูกเป็นพวกท่านที่ให้ความช่วยเหลือ แค่ได้ทำประโยชน์ให้แก่พวกท่านทั้งสอง ข้าเองก็มีความสุขแล้ว” หมิงหยูกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นหมิงหยูเดินนำกลุ่มของหนิงเทียนไป เวลานี้หนิงเทียนกลายมาเป็นผู้รั้งท้ายกลุ่มอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่มู่เสวี่ยเดินขนาบข้างหมิงหยูและสนทนากันอย่างถูกคอ

หนิงเทียนได้แต่ส่ายหน้าเมื่อมองไปยังแผ่นหลังของมู่เสวี่ย “ไม่ใช่ว่านางลืมตัวไปแล้วหรือว่าตอนนี้นางกำลังเป็นผู้ชายอยู่?”

...

เนื่องจากพวกมันมีเด็กและสตรีเข้าร่วมทางด้วย หนิงเทียนและมู่เสวี่ยจึงไม่ได้เร่งความเร็วในการเดินมากนักและด้วยเหตุนี้การเดินทางจึงกินเวลาไปมากกว่าที่ควร

ระหว่างทางเดินพวกมันทั้งสามได้ยินเสียงกู่ร้องของสัตว์ดังออกมาเป็นระยะๆ

มู่เสวี่ยได้ยินเสียงนั้นบ่อยขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกตามนิสัยที่อยากรู้อยากเห็นของตัวเอง “พี่สาวหมิงหยูเสียงกู่ร้องนี้เป็นของสัตว์ชนิดใดกันหรือ?”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่จากที่ชาวบ้านเขาพูดๆกัน มันน่าจะเป็นเสียงของนกป่าธรรมดาเท่านั้น คุณชายมู่ ท่านอย่าได้ไปสนใจเลย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด