MDB ตอนที่ 4 อกสั่นขวัญหาย
หลินจินเป็นเพียงผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งแรกที่จางเฮอคิดได้คือ หลินจินกำลังปั้นน้ำเป็นตัวเท่านั้น ด้วยความคิดนี้ทำให้จิตใจที่ร้อนรนของเขาผ่อนคลายลง
‘ใช่แล้ว เขาคงกลัวที่จะแพ้ข้า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งใจทำแบบนั้น เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะบอกคุณสมบัติของสายเลือดที่ซ่อนอยู่ได้ ถ้าเขาทำได้ เขาจะไม่น่าทึ่งไปกว่าหัวหน้าวังจีซึ่งเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับสองหรอกหรือ? ได้ ๆ หลินจิน เจ้าจะถูกทำลายโดยปัญญาที่โง่เขลาของตัวเจ้าเอง การโกหกลูกค้าและการปลอมแปลงรายงานการประเมินถือเป็นข้อห้ามสูงสุด ข้าจะดูว่าเจ้าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร'
แววตาเจ้าเล่ห์แวบเข้ามาในดวงตาของจางเฮอ
หลังจากตกใจ ทุกคนรอบ ๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน
บางคนถึงกับมองดูหลินด้วยสายเหยียดหยาม
แม้ไร้ความสามารถแต่สามารถกอบกู้ได้ด้วยการทำงานหนัก มิใช่การใช้วิธีการผิดศีลธรรม ในฐานะผู้ประเมินสัตว์วิเศษ การปลอมรายงานการประเมินเป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีใครมานับถือเกียรติของผู้ประเมิน
แม้แต่จ้าวหยิงที่สงสารหลินจินก็ยังส่ายหัว
“หลินจิน! เจ้านี่มันบังอาจจริง ๆ ไม่เพียงแต่เจ้าจะกล้าที่จะสร้างรายงานการประเมินปลอม ๆ เท่านั้น แต่ยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระด้วยหรือ?” จางเฮอตะคอกตอกกลับไป
หลินจินยังคงสงบนิ่ง เขาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้าจะตะโกนไปเพื่ออะไร? ในหนังสือ [การประเมินสายเลือดของสัตว์วิเศษ] มีวิธีการตรวจสอบสายเลือดของมังกรทอง สิ่งที่ข้าพูดนั้นมันจริงหรือไม่ แค่ใช้วิธีการตรวจสอบตามที่หนังสือระบุไว้เจ้าก็จะรู้ด้วยตนเอง”
การประเมินสายเลือดของสัตว์วิเศษ เป็นหนังสือทั่วไปในการศึกษาการประเมินสัตว์วิเศษ แม้จะผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว มันก็ยังเป็นหนังสือที่บังคับให้ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษต้องศึกษามัน
หนังสือเล่มนี้มีอัดแน่นไปด้วยข้อมูลมหาศาล ดังนั้นจึงไม่สามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม ในสมาคมมีหนังสือดังกล่าว จึงมีคนไปหยิบมันขึ้นมาทันทีเพื่อหาวิธีการประเมินมังกรทอง
หากมีการคาดเดาว่าสัตว์วิเศษตัวนั้นมีสายเลือดหายาก แล้วพวกเขาต้องการจะตรวจสอบ พวกเขาจะใช้วิธีการตรวจสอบของสายเลือดนั้น ๆ ในหนังสือเพื่อพิสูจน์ให้ชัดเจน หากไม่ระบุสายเลือดก่อน ถึงจะมีวิธีตรวจสอบแต่ด้วยจำนวนวิธีที่มากมาย มันก็ไม่ต่างจากการเข็มในมหาสมุทร
สิ่งนี้บ่งบอกถึงความสำคัญของการมีอยู่ของผู้ประเมินราคาสัตว์วิเศษ
วิธีการตรวจสอบนั้นง่ายดาย ต้องใช้วัสดุเฉพาะเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น โดยการเพิ่มเลือดของกิ้งก่าหินหยดเดียวลงในถ้วย หากมีสายเลือดของมังกรทองจริง ๆ หยดเลือดนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ทุกคนมองดูเลือดที่หยดลงสู่ถ้วย หลังจากที่มองดูสักพัก ถ้วยใส่เลือดตรงเบื้องหน้าพวกเขาได้มีเลือดจะผลิบานเป็นสีทอง
“มันเป็นสายเลือดของมังกรทองจริง ๆ!”
ใครบางคนตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ สายเลือดของมังกรทองนั้นหายากมาก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้สัตว์วิเศษตัวนี้ได้แต่เขาก็สามารถขายมันได้ในราคาที่สูงอย่างแน่นอน
ในขณะนั้น ทุกคนจ้องไปที่หลินจินราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด
โดยเฉพาะจางเฮอ หลังจากที่เห็นเลือดของสัตว์วิเศษเปลี่ยนเป็นสีทอง กรามของเขาก็ลดลงและถึงกับพูดไม่ออก
“แท้จริงแล้วมันเป็นสายเลือดของมังกรทอง เขาบอกได้อย่างไร?”
หลินจินทำมากกว่าแค่สังเกตเห็นสายเลือดที่ซ่อนอยู่ของกิ้งก่าหิน เขายังประเมินสายพันธุ์และคุณสมบัติของสายเลือดที่ซ่อนอยู่นั้นด้วย ความสามารถดังกล่าวเหนือกว่าจางเฮอมาก
ด้วยข้อมูลนี้ถึงแม้จะมีพลังอันยิ่งใหญ่ของกิ้งก่าหินแต่ก็ขัดแย้งกับลูกค้าซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมหลินจินจึงถึงแนะนำจิ้งจอกวิญญาณวายุซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงดีกว่า เนื่องจากไม่มีข้อบกพร่องและได้รับการแนะนำโดยใช้ข้อมูลของลูกค้าประกอบการพิจารณาด้วย
สำหรับจางเฮอ ถ้าเขาทำให้ลูกค้าทพันธสัญญาโลหิตกับกิ่งก่าหินจริง ๆ เมื่อสายเลือดถูกเปิดใช้งานในอนาคต พวกเขาจะเกิดการขัดแย้งกัน ทั้งทองและดินเป็นการปะทะกันอย่างมโหฬารกับคุณสมบัติของลมและหากเป็นเช่นนี้ มันคงสายเกินไปที่จะแก้ไข
แค่คิดก็สยองแล้ว
ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้ชัดเจน แม้แต่ลูกค้าที่ดูถูกหลินจินก่อนหน้านี้ก็ยังขอบคุณเขาอย่างจริงใจ ท้ายที่สุด พวกเขาได้รับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ก่อนพวกเขาตัดสินทำพันธสัญญาโลหิต
การแสดงออกของจางเฮอมืดมน เขารู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาเดือดปุด ๆ เขาตั้งใจจะทำให้หลินจินอับอาย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องอับอายแทน แต่ความพ่ายแพ้ก็คือความพ่ายแพ้ หากเป็นที่ลับ เขาสามารถหนีไปได้ดื้อ ๆ อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาไม่สามารถหนีได้แม้ว่าเขาจะไร้ยางอายมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น เขากัดฟันพูดกับหลินจินอย่างไม่เต็มใจนัก
“ข้าแพ้แล้ว!”
ตอนนี้เขาแค่อยากจะออกไปให้เร็วที่สุด
หลินจินหยุดเขาและยิ้มอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวก่อน เจ้ายังไม่ยอมรับความผิดพลาดของเจ้าเลย”
จางเฮอหน้าแดงด้วยความโกรธ เขากำหมัดแน่นเสียจนกระดูกข้อนิ้วของเขาแทบแตก
'ข้าต้องอดทน'
'ข้าต้องอดทนกับมันให้ได้'
"ข้าผิดไปแล้ว!"
"อะไรนะ? ปกติเจ้าไม่ได้พูดเบาขนาดนี้นี่ ข้ายังไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลย” หลินจินพูดประชดประชัน
"ฉันผิดไปแล้ว!!!"
จางเฮอกรีดร้อง เขาอยากจะร้องไห้ วันนี้เขาได้ทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าไปหมดแล้ว คราวนี้ หลินจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“แค่รู้ว่าตัวเองว่าผิดคงไม่พอ เจ้าต้องถ่อมตัวและแก้ไขทัศนคติของเจ้าของเจ้า! แต่น่าเสียดาย วันนี้ข้ายุ่งมาก ข้าจะไม่พูดอะไรกับเจ้าอีก เจ้าจงไปทบทวนตัวเองซะ!”
เมื่อพูดจบ หลินจินก็หันหลังกลับและเดินจากไปอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้ความสนใจของทุกคน ราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว
เมื่อออกไปข้างนอก หลินจินก็หัวเราะออกมา
มีเพียงไม่กี่คนที่ยิ่งละเลยพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งกดดันคุณมากขึ้นเท่านั้น ทำไมคุณต้องแสดงความเมตตาต่อพวกเขาอีก? แทนที่จะพูดว่าจางเฮอล่อหลินจินมาติดกับดัก หลินจินต่างหากที่ลากเขาลงไปข้าง ๆ เขา ทั้งสองคนมีเจตนาของตัวเอง แต่ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถหลบหนีกับดักออกมาได้
แล้วในท้ายที่สุด หลินจินก็เป็นฝ่ายชนะแล้วปีนขึ้นมาอยู่บนกับดักและเตะให้จางเฮอตกหลุมที่ตัวเองขุดลงไป
และต้องขอบคุณเหตุการณ์นี้ ทำให้หลินจินเข้าใจถึงพลังของพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษมากขึ้น
อันที่จริง หลินจินได้เขียนผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยในรายงานการประเมิน ถ้าเขาเขียนทุกอย่างลงบนแผ่นหินจริง ๆ เขาจะไม่เพียงแค่ทำให้ฝูงชนประหลาดใจแต่เขาอาจจะทำให้พวกเขาตกใจจนตายเลยก็ได้
หลินจินฉลาดพอที่จะรู้ว่าจะไม่เปิดเผยความลับทางการค้าของเขา พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษนั้นน่าทึ่งมาก เขาต้องรักษาความลับนั้นไว้และไม่เปิดเผยให้ใครรรับรู้
หลินจินเชื่อในโชคชะตา เนื่องจากโชคชะตานำพาเขามาสู่โลกนี้แทบจะถาวร ในขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะกลับไปอย่างไร ทำไมไม่เพียงแค่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างสบาย ๆ และสัมผัสกับความงามของจักรวาลคู่ขนานนี้
เขาต้องเปิดใจให้กว้าง
เขาคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีใจที่เปิดกว้าง?
หลินจินออกไปข้างนอกเพียงไม่กี่ก้าวและเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่มีที่ไป โชคดีที่มีคนวิ่งมาข้างหลังเขามา
“ผู้ประเมินหลิน!”
จ้าวหยิงรู้สึกเบิกบานใจ ตลอดชีวิตของเธอ ความฝันของเธอคือการเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษ เธอทำงานอย่างหนักเพื่อความฝันนี้มาโดยตลอด
หลังจากผ่านค่ำคืนแห่งการเรียนรู้อันไม่รู้จบ เธอเริ่มก้าวแรกและในที่สุดก็กลายเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษฝึกหัด
เมื่อเข้าสู่แวดวงการประเมินสัตว์วิเศษอย่างเป็นทางการ มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าอาชีพนี้ลึกซึ้งเพียงใด การเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่ผ่านการรับรองนั้นจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ ความพยายามและเวลา หากขาดหนึ่งในปัจจัยทั้งสามนี้ไป เธอคงไม่มีทางไล่ตามความฝันของเธอได้แน่นอน
ในเส้นทางอันยาวไกลในการเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่ง ในระหว่างนี้ ยิ่งเธอศึกษามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเข้าใจว่างานของผู้ประเมินสัตว์วิเศษน่าทึ่งเพียงใด
สิ่งที่หลินจินทำในวันนี้ได้ปรับเปลี่ยนความคิดของเธอและให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่แก่เธออีกครั้ง
ในตอนนี้ เธอได้ศึกษาสัตว์วิเศษสองตัวนี้อย่างระมัดระวังเช่นกัน และไม่มีอะไรมากที่เธอสามารถบอกได้ยกเว้นสายพันธุ์และคุณสมบัติของพวกมัน
จางเฮอถือว่าน่าทึ่งมากที่สามารถบอกสายเลือดของมันได้แต่หลินจินนั้นเหนือกว่ามากในการลงรายละเอียดในเชิงลึก ผลการแข่งขันนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นคือจ้าวหยิงได้ฟังข่าวลือโดยเชื่อว่าหลินจินไม่สมควรการยกย่องในฐานะผู้ประเมินสัตว์วิเศษ ระดับหนึ่งและผ่านการรับรองด้วยความโชคดี นอกจากนี้ คะแนนการประเมินของเขานั้นเทียบไม่ได้กับหัวหน้าหวังจีและผู้ประเมินสัตว์วิเศษทางการรายอื่น ๆ ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกหัดหลายคนถึงกับทำคะแนนได้เหนือเขา เรื่องนี้จึงทำให้หลินจินกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วไป
อุบัติเหตุในครั้งนั้นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อาชีพของหลินจินที่เป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งตกต่ำ เขาถูกทุกคนเย้ยหยันและดูถูกเหยียดหยาม
แม้แต่เด็กฝึกงานหน้าใหม่อย่างจ้าวหยิงก็ดูถูกหลินจินด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเธอจะไม่เคยพูดจาดูถูกแต่เธอก็รู้สึกแย่กับความคิดนั้น ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ต้องการรับภารกิจพาหลินจินไปที่ชนบทเพื่อประเมินสัตว์วิเศษ เธอไม่อยากทำเพราะเธอคิดว่าเธอไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากหลินจินได้ ดังนั้นมันจะเสียเวลาเปล่า
แต่ตอนนี้ มุมมองและความประทับใจของเธอถูกพลิกกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ผู้ประเมินหลินได้เอาชนะจางเฮออย่างสงบและง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยับยั้งชั่งใจและนี่เป็นความรู้และความสามารถที่ผู้ประเมินสัตว์วิเศษ ระดับหนึ่งควรมี
ข่าวลือที่ผ่านนั้นต้องเป็นเท็จอย่างแน่นอน
“ผู้ประเมินหลินเจ้าคะ เราอาจจำเป็นต้องพักค้างคืนระหว่างเดินทางไปหมู่บ้านเอเวอลาสซิ่ง ท่านต้องเตรียมอะไรหรือไม่?”
ก่อนหน้าจ้าวหยิงสุภาพตามมารยาทเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอได้เคารพในตัวหลินจินเพิ่มขึ้น
หลังจากครุ่นคิด หลินจินก็คิดว่าเขาไม่มีอะไรจะพกมากนัก เขาเพียงต้องการนำสัตว์เลี้ยงของเขาไปด้วย
หมู่บ้านเอเวอลาสซิ่งเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดหมู่บ้านภายใต้เมืองเมเปิ้ล แม้จะอยู่ไม่ไกลแต่การเดินทางก็ยากเย็นแสนเข็ญ ต้องขึ้นไปบนภูเขา 10 กิโลเมตร ลงเขาอีก 10 กิโลเมตร เดินต่อด้วยถนนคดเคี้ยวที่ทอดยาวและในที่สุด ก็จะถึงหมู่บ้านเอเวอลาสซิ่ง